Skip to content

Outside Of Time 728

บทที่ 728 ตกปลาในเขตปกครองผนึกสมุทร

เสียงนั้นเดี๋ยวสูง เดี๋ยวต่ำ เดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวช้า เมื่อประกอบรวมกันแล้วทำให้ประโยคเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด

ตัวของมันก็แฝงความแปลกประหลาดไว้จริงๆ!

เมื่อมันแผ่ลามออกไป ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ผืนแผ่นดินคำราม พืชพรรณที่เติบโตนอกพื้นที่ต้องห้ามต่างแหลกสลาย อาณาเขตที่ส่งผลกระทบของมันขยายออกไปมากกว่าเดิม

แม้ว่าพื้นที่แห่งนี้จะมีผู้คนอาศัยอยู่น้อย เนื่องจากการดำรงอยู่ของพื้นที่ต้องห้าม แต่ไม่เคยขาดแคลนอสูรแมลง

อสูรแมลงที่อาศัยอยู่นอกเขตพื้นที่ต้องห้ามได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ต้องห้าม ได้รับผลกระทบจากไอพลังประหลาดในระดับต่างกัน สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์และแข็งแกร่งขึ้น แต่ตอนนี้พวกมันเริ่มคลุ้มคลั่ง ภายใต้เสียงพึมพำนั้น

เมื่อมองไป อสูรแมลงทุกชนิดนับไม่ถ้วนต่างโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินทุกทิศทาง ล้อมสวี่ชิงไว้ ส่งเสียงร้องระงม แน่นขนัดน่าสยดสยอง

สีหน้าของสวี่ชิงเป็นปกติ สายตากวาดมองอสูรแมลงรอบๆ สัมผัสได้ถึงร่องรอยการถูกควบคุมของพวกมัน นั่นเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของเจ้าเงา

เพียงแต่ตอนนี้ขยายอาณาเขตกว้างขึ้น จำนวนที่ควบคุมได้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือไม่ถูกการผสานเงาจำกัดอีกต่อไป เพียงเปล่งเสียงพึมพำก็ควบคุมได้

‘กลืนกินพื้นที่ต้องห้าม เสียงควบคุม…’ สวี่ชิงหรี่ตามองเงาสีดำที่ขยุกขยิกอยู่บนพื้นดินสีเทาเบื้องหน้า

ขณะที่เวลาไหลผ่านไป เงาสีดำก็เคลื่อนไหวช้าลงมาก ดูเหมือนจะค่อยๆ เสถียรยิ่งขึ้น

รูปร่างของมันก็ค่อยๆ เสถียรเป็นรูปคล้ายกับศีรษะ

ที่หว่างคิ้วของศีรษะนั้น ถึงแม้ว่าจะดำสนิท แต่ก็เห็นเป็นภาพสัญลักษณ์รางๆ

รูปร่างของภาพสัญลักษณ์นี้เหมือนกับพื้นที่ต้องห้ามที่เคยถูกเจ้าเงากลืนกินก่อนหน้านี้ทุกประการ!

‘มันไม่ใช่ภาพสัญลักษณ์ นี้มัน…’

สวี่ชิงใจเต้นตึกตัก สังเกตหว่างคิ้วของเจ้าเงาอย่างละเอียด ไม่นานเขาก็ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหว่างคิ้วนั้นไม่ใช่ภาพสัญลักษณ์ นั่นเป็นพื้นที่ต้องห้าม

พื้นที่ต้องห้ามที่ถูกเจ้าเงากลืนกิน จะปรากฏขึ้นที่กลางหว่างคิ้วของเจ้าเงา กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างมัน

การค้นพบนี้ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ม่านตาของเขาหดเล็กลง คือใจกลางพื้นที่ต้องห้ามซึ่งหดเล็กลงหลายต่อหลายเท่านั้น มีต้นไม้ที่มีลักษณะเฉพาะเติบโตอยู่ที่นั่น

นั่นคือรูปร่างแรกที่เจ้าเงาสำแดงออกมา ต้นไม้เงาต้นใหญ่ยักษ์

มีโลงศพว่างเปล่าห้อยลงมาจากต้นไม้ ซึ่งโลงศพนี้เป็นรูปร่างที่สองของเจ้าเงานั่นเอง

ตอนนี้โลงศพกำลังแกว่งไกวราวกับลูกตุ้มนาฬิกาขนาดใหญ่ เจือด้วยเสียงเล็บครูดเนื้อไม้บาดหู ตลอดจนเสียงพึมพำดังก้องจากทุกทิศทาง

“ข้ามืดมิดไร้ตัวไร้ตน กายสั่งจิตหายคลายวิญญาณ ดั่งแสงดาวถือกำเนิด ร่วงหล่น ดับสูญ สรรพสัตว์เอ๋ยจงสดับบัญชา!”

เมื่อสิ้นถ้อยคำสุดท้าย พลังวิญญาณมหาศาลดุจน้ำทะเลก็ปะทุออกมาจากโลงศพ เป้าหมาย…คือสวี่ชิงนั่นเอง!

สีหน้าสวี่ชิงไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ยังคงยืนนิ่งจ้องมองเจ้าเงาอย่างเย็นชา ดวงตาทั้งสองดำสนิท พิษต้องห้ามพวยพุ่ง

ส่วนพลังวิญญาณขนาดมหึมาหยุดลงต่อหน้า ลอยคว้างแน่นิ่งห่างออกไปหนึ่งจั้งด้วยสายตาของสวี่ชิง บิดเบี้ยวรอบๆ พยายามดิ้นรน ราวกับเกิดความอาฆาตด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่กล้าพุ่งเข้ามาด้วยสัญชาตญาณนั้น

จนสวี่ชิงแค่นเสียงเย็นออกมา

พลังวิญญาณน่าสะพรึงกลัวนั้นพลันโหมซัด ส่งเสียงครืนครันพุ่งตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน กระทบม่านฟ้า ชั้นเมฆรวมตัวกัน เรียงเป็นอักษรตัวใหญ่สามตัว

นายคนดี

ตามมาด้วยอารมณ์ประจบประแจงที่แผ่มาจากเงาดำ

“นาย…เชื่อฟัง…ข้า…”

สวี่ชิงมองเจ้าเงา นับว่าเขามองออกแล่วว่าการที่เจ้าเงาเอ่ยพึมพำนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าอยากพูดอะไรบางอย่างออกมา มักจะเป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าการยกระดับพลังจะสวนทางกับความสามารถในการพูด

แต่ในตอนนี้สวี่ชิงคร้านจะทุบตีมัน สิ่งที่เขาเป็นห่วงยิ่งกว่าคือเพลิงเทวะที่เจ้าเงาแสดงออกมาก่อนหน้านี้ต่างหาก

“เพลิงเทวะเล่า”

สวี่ชิงพูดด้วยเสียงราบเรียบ

“เซ่นสรวง!”

ทันทีที่เปล่งคำนี้ออกมา เหล่าอสูรแมลงที่ถูกเจ้าเงาควบคุมก็มารายล้อมรอบกายสวี่ชิงอย่างหนาแน่น ทั้งหมดตัวสั่นเทา ก่อนจะเริ่มกัดกินกันเองอย่างโหดเหี้ยม แต่ละตัวส่งเสียงร้องโหยหวน

ยิ่งมีบางตัวยังกัดกินตัวเอง ส่งเสียงกรีดร้องอย่างทรมานพลางชำแหละตัวเองไปด้วย

แต่การกระทำของพวกมันไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่น้อย กลับรุนแรงขึ้น ดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพียงสิบอึดใจ อสูรแมลงรอบตัวสวี่ชิงก็ตายตกไปทั้งหมด

ราวกับเป็นการสังเวยตัวเอง!

ภาพนี้ทำให้สีหน้าสวี่ชิงตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกัน จุดแสงสีน้ำตาลกลับลอยขึ้นมาจากซากอสูรแมลง ลอยไปหาเจ้าเงา

สิ่งที่สวี่ชิงรู้สึกได้จากจุดแสงเหล่านี้ คล้ายคลึงกับพลังของสรรพชีวิตในแดนใหญ่เซ่นจันทรา แต่แก่นแท้ดูเหมือนจะต่างออกไป

เนื่องจากไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

แม้จะใช้พลังบำเพ็ญสัมผัสก็ยากจะตรวจพบ มีเพียงสวี่ชิงเท่านั้นที่ตาสองข้างแฝงพิษต้องห้าม จึงทำให้มองเห็นได้

พวกมันรวมตัวกันและก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีน้ำตาลอย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดเท่าเล็บมือ ส่องแสงวูบวาบ บางครั้งขยายตัว บางครั้งหดตัวอย่างรวดเร็ว คล้ายจะไร้ความเสถียรอย่างยิ่ง

สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือการปรากฏตัวของมัน ทำให้ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆหมอกเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องดังก้อง สายฟ้าแลบแปลบปลาบในพริบตา คล้ายจะถูกดึงดูดและแผ่ออกไป

เจ้าเงายิ่งประจบประแจงหนักขึ้น มันเป่าลมใส่กลุ่มแสงสีน้ำตาล ทันใดนั้นกลุ่มแสงก็ลอยมาหยุดตรงหน้าสวี่ชิง

สายอัสนีในท้องนภา หมุนวนตามกลุ่มแสงที่ลอยคว้าง ตรึงมันไว้

สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขามองไม่ออกว่ามันคืออะไร แต่เขารับรู้ถึงอันตรายได้โดยสัญชาตญาณ ราวกับเลือดเนื้อทั่วทั้งร่างมีจิตนึกคิดอิสระ กำลังป่าวร้องว่าเจ้าสิ่งนี้เป็นมหันตภัย

สวี่ชิงมองไปทางเจ้าเงา

เจ้าเงาจำแลงเป็นหางกระดิกไหวๆ แม้แต่ลิ้นสีทมิฬที่แลบออกมาก็สั่นไปด้วย

เหมือนลูกสุนัขที่พยักหน้าหงึกหงักต่อหน้าสวี่ชิง

“นาย…เซ่น…นาย…ดี…เพลิงเทวะ”

สวี่ชิงครุ่นคิด เขาไม่ไว้ใจเจ้าเงา และลางสังหรณ์ที่รับรู้ถึงอันตรายก็ทำให้เขาระแวงกลุ่มแสงนั้น เขาจึงถอยหลังไปหลายก้าว กำลังจะยกมือขึ้น

แต่สวี่ชิงรู้สึกว่ายังปลอดภัยไม่พอ จึงถอยออกไปอีกนับร้อยจั้ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกเบาๆ ไปทางกลุ่มแสงนั้น

กลุ่มแสงสีน้ำตาลนั้นลอยไปตามทิศทางของมือนั้น กระทั่งลอยออกไปไกลพอสมควร อัสนีบาตบนท้องฟ้ารวมตัวกันจนถึงจุดหนึ่ง ก่อนจะฟาดผ่าลงมาราวกับระเบิด

ทันใดนั้น สายฟ้านับไม่ถ้วนก็ฟาดลงมาจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน พุ่งไปหากลุ่มแสงและโจมตีมันในพริบตา

เสี้ยวขณะที่อัสนีบาตฟาดลงมา กลุ่มแสงที่วูบไหวเป็นทุนเดิมก็ระเบิดทันใด

สายฟ้าแลบแปลบปลาบน่าสะพรึงกลัว ระเบิดออกในห้วงเวหา ยิ่งแฝงความเป็นเทพ กลายเป็นพายุทำลายล้างที่ส่งเสียงครืนครันไปทั่วสารทิศ

ทำลายทุกหนแห่งที่เคลื่อนตัวผ่านไป

พลังแฝงเร้นนั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้พลังบำเพ็ญระดับสวี่ชิงก็ใจสั่นสะท้าน รีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว แต่สายเกินไป ต่อให้เขาระแวดระวังมากพอ และถอยห่างออกไปไกลเพียงใด แต่กลุ่มแสงสีน้ำตาลก็ยังระเบิดอย่างรุนแรง

เสี้ยววินาทีนั้น สวี่ชิงได้รับผลกระทบอย่างจัง พายุที่ก่อตัวจากการระเบิดของกลุ่มแสง โถมเข้ามาหาเขาทันที

ร่างกายของสวี่ชิงเปล่งแสงวูบวาบ สภาวะเทพขั้นแรกก่อตัวขึ้น เขาถอยร่นไปหลายร้อยจั้งถึงจะหักล้างมันได้

เบื้องหน้าของเขา เป็นพื้นที่กว้างเป็นหมื่นจั้ง จากการที่กลุ่มแสงสีน้ำตาลหายไป พายุกำลังสงบลง บนพื้นดินพลันปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้น

สวี่ชิงมองภาพนี้อย่างหวาดผวา ส่วนเจ้าเงาทางนั้น ไม่รู้ว่าจะหลบหนีหลีกเลี่ยงอันตรายอย่างไร ในตอนนี้มันก็มาปรากฏตัวบนพื้นอีกครั้งโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยแผ่คลื่นอารมณ์ประจบประแจงที่แฝงความภาคภูมิใจเอาไว้ให้สวี่ชิง

“สุดยอด…ข้า…เก่ง!”

สวี่ชิงทำหน้าเหยเก

“นี่น่ะหรือเพลิงเทวะ”

เจ้าเงารีบพยักหน้า แต่เห็นสายตาไม่เป็นมิตรของสวี่ชิง มันก็รีบส่ายหัวอยากอธิบายแต่ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ก็เริ่มร้อนรน และสุดท้ายจึงทำได้เพียง…

“ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

“ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

“ตู้ม…”

“เลิกทำเสียงตู้มได้แล้ว!”

น้ำเสียงของสวี่ชิงเย็นเยียบ ฝั่งเจ้าเงาสับสนเล็กน้อย มันไม่รู้ว่าตัวมันยั่วโมโห สวี่ชิงได้อย่างไร จึงน้อยใจ

เมื่อรับรู้ถึงความน้อยใจของเจ้าเงา สวี่ชิงก็ถอนหายใจออกมา ในใจยิ่งคิดถึงบรรพจารย์สำนักวัชระ ในตอนนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าเจ้าเงาพยายามจะอธิบายลักษณะของเพลิงเทวะ จึงเอาแต่ส่งเสียงตู้มต้าม

การระเบิดของกลุ่มแสงสีน้ำตาลเมื่อครู่…ก็มีเสียงตู้มต้ามเหมือนกันไม่ใช่หรือ

สวี่ชิงมองเจ้าเงา ล้มเลิกความคิดที่จะถามต่อ ร่างไหววูบก่อนจะพุ่งตัววิ่งไปยังที่ที่กลุ่มแสงสีน้ำตาลระเบิดเมื่อครู่ สำรวจที่แห่งนั้น

‘ทันทีที่มันปะทุ กลุ่มแสงก็ปล่อยความเป็นเทพออกมา…’

สวี่ชิงลอยตัวอยู่ในหลุมบนพื้น สัมผัสดินรอบด้าน ดวงตาฉายแววครุ่นคิด แล้วเงยหน้าขึ้นมองเมฆพายุที่เลือนหายไปจากท้องฟ้า ค่อยๆ เริ่มคาดเดาในใจ

‘เจ้าสิ่งนี้เหมือนกับเชื้อเพลิงต้องห้าม ไม่ได้เสถียร ดึงดูดสายฟ้าได้ แม้ว่าอัสนีบาตจะไม่ได้ฟาดผ่าลงมา ลมพายุพัดผ่านก็มีแนวโน้มที่จะระเบิด

‘ขนาดเท่าเล็บมือ แต่กลับปล่อยพลังน่าครั่นคร้ามเช่นนี้ออกมาได้…

‘เช่นนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่เจ้าสิ่งนี้…จะเป็นเชื้อเพลิงจุดเพลิงเทวะ’

ชั่วขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในlสมองสวี่ชิง ดวงตาเขาก็พลันเปล่งประกาย คิดออกแล้วว่าเหตุใดเจ้าเงาถึงมีเชื้อเพลิงเช่นนี้

‘การเซ่นสรวง…

‘เทพเจ้าทุกองค์ที่ข้ารู้จักต่างต้องการการเซ่นสรวงบูชา…หรือว่านี่คือเหตุผลที่เทพเจ้าทั้งหลายชมชอบการบวงสรวง’

สวี่ชิงไม่รู้ว่าการคาดเดาของตนถูกหรือไม่ แต่การที่เจ้าเงาบวงสรวงได้หลังจากยกระดับ ก็เป็นเรื่องน่ากังวลไม่น้อย

‘สูญเสียการควบคุมก่อน จากนั้นเป็นการบังคับบวงสรวง…’

สวี่ชิงมองไปทางเจ้าเงา

เจ้าเงายังแผ่คลื่นอารมณ์ภาคภูมิใจ

“ข้า…มี…ประโยชน์!”

สวี่ชิงไม่อาจโต้เถียง การยกระดับของเจ้าเงาในคราวนี้เปลี่ยนไปมากเหลือเกินทั้งกลืนกินพื้นที่ต้องห้าม ทั้งเสียงควบคุม หรือกระทั่งเซ่นสรวงตัวเอง

ทั้งหมดนี้ล้วนผิดแปลกจากปกติทั้งสิ้น

นั่นคือพลังของเทพเจ้า

‘เช่นนั้นมันคือตัวอะไรกันแน่’

สวี่ชิงหรี่ตา สะกดความคิดและเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“กลับมานี่”

เมื่อเจ้าเงาได้ยินก็ดีใจทันที รีบแผ่กลับมาอยู่แทบเท้า กลายเป็นเงาของเขาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงถอนสายตากลับมา ไม่กล่าวอะไรอีก ลอยตัวขึ้นแล้วพุ่งทะยานกลับสู่เมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร

ขณะนี้ ดวงตะวันส่องแสงเจิดจ้า สวี่ชิงเหาะเหินไปบนท้องฟ้า เจ้าเงาเคลื่อนตัวไปเบื้องหน้าบนพื้นดิน ขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็มีขนาดนับพันจั้ง ไม่สมส่วนกับขนาดตัวของสวี่ชิง

พื้นที่ต้องห้ามหว่างคิ้วพร่าเลือน ดวงตาสีโลหิตคู่นั้นเบิกโพลง มุมปากแสยะออกจากกัน กลายเป็นรอยยิ้มไร้สุ้มเสียง

เฉกเช่นเทพมาร

หากมีใครเห็น จะต้องตกใจกับฉากนี้แน่นอน

เพราะสวี่ชิงเป็นคนเลี้ยงดูเทพมารตนนั้นเอง

เวลาผันผ่าน บางสิ่งบางอย่างที่ควรจะเกิดขึ้น ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้

สาเหตุพื้นฐานที่ทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรต้องเตรียมตัวเข้าสู่สงคราม คือ องค์ชายเจ็ดและอ๋องเทียนหลัน ทั้งสองเปรียบเสมือนมีดคมที่จ่อเหนือศีรษะของเหล่าผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทร

สวี่ชิงเคยคิดจะเปิดเผยทุกอย่างเพื่อปลอบโยนจิตใจของผู้คน

ทว่าทั้งนายท่านเจ็ดและโหวเหยาต่างปรามเขาไว้อย่างละมุนละม่อม พวกเขา…กำลังจะเดินหมากตาต่อไป

แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้อธิบายหมากตานี้ แต่สวี่ชิงผู้ผ่านเรื่องราวมามากมายมองข้อสรุปออกนานแล้ว

นายท่านเจ็ดและโหวเหยากำลังจะตกปลา

ซึ่งวันนี้ปลาตัวแรกติดเบ็ดเข้าให้แล้ว

ข่าวจากแนวหน้าเผ่าฟ้าทมิฬแจ้งว่า ผู้บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรห้ากลุ่มที่เข้าร่วมสงคราม ผ่านสงครามเฉียดตายมาหลายครั้งหลายหน แต่ก็ยังไม่ถึงแก่ความตายทั้งหมด

ยังมีผู้รอดชีวิตมากกว่าหนึ่งหมื่นคน

ในบรรดาผู้บำเพ็ญผนึกสมุทรห้าล้านคน มีเพียงหนึ่งหมื่นคนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตรอด พวกเขาผ่านความเป็นความตายมานานแรมปี ผ่านความทุกข์เข็ญทรมาน แต่สุดท้ายกลับถูกทิ้งขว้างไม่ต่างจากเด็กกำพร้า

ข่งเสียงหลงตลอดจนผู้ครองกระบี่ทั้งหลายก็เป็นหนึ่งในนั้น

ทว่าพวกเขาหนีออกมาด้วยความยากลำบาก เลือกที่จะไม่กลับไปร่วมทัพกับ อ๋องเทียนหลัน และหนีจากสมรภูมิ พวกเขาต้องการกลับมายังเขตปกครองผนึกสมุทร

เรื่องนี้ช่างแปลกประหลาด ไร้เหตุผล มีจุดที่อธิบายไม่ได้ ดูเหมือนมีมือทมิฬที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ผลักดันให้ผู้รอดชีวิตเหล่านี้เดินไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดเอาไว้

ไม่ว่าจะอย่างไร ข่าวที่ส่งมาถึงเขตปกครองผนึกสมุทรก็ประกอบด้วยแผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหว ซึ่งบันทึกภาพความเหนื่อยล้าของพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจน

และในระหว่างทาง พวกเขาไม่อาจปกป้องตนเองจากข้อกล่าวหา ก็ถูกองครักษ์ของอ๋องเทียนหลันไล่ล่า จึงหลบหนีจากสมรภูมิรบ

ตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ทำได้เพียงรอคอยความตาย

เขตปกครองผนึกสมุทรเผชิญหน้ากับทางเลือก

จะช่วยเหลือผู้รอดชีวิตเหล่านี้หรือไม่ จะจัดการหรือป่าวประกาศอย่างไร

หากช่วย ย่อมเป็นการยืนยันจุดยืนของพวกเขา หากไม่ช่วย ก็ต้องเฝ้ามองพวกเขาถูกลงทัณฑ์ต่อหน้าต่อตา ใจราษฎรเขตปกครองผนึกสมุทรย่อมระส่ำระส่าย

‘เช่นนั้น เจิ้งข่ายอี้ เหยาเทียนเยี่ยน พวกเจ้า…จะเลือกทางใดเล่า’

ในที่ที่องค์ชายเจ็ดประทับอยู่ในเมืองหลวง เฉินหยางจื่ออดีตผู้นำพันธมิตรแปดสำนัก วางหมากตัวแรกลงบนกระดานว่างเปล่า

‘จากที่ข้าสังเกตเห็นนิสัยการจัดการเรื่องราวของพวกเจ้า อย่างไรก็ต้องช่วยเหลือเป็นแน่

‘คนธรรมดาย่อมเดินทางพันลี้เพื่อไปช่วยเหลือคนเหล่านี้ไม่ไหว คนที่จะไป…ต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง จำเป็นต้องเป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แค่คนเดียวไม่พอ

‘ในกลุ่มคนที่เดินทางไปมีจื่อเสวียนหรือไม่ หากมี ย่อมเชิญผู้อื่นมาเข้าร่วมได้อย่างง่ายดายและราบรื่นขึ้น’

เฉินหยางจื่อยิ้ม เขาไม่ได้สนใจการล้อมโจมตีเพื่อชิงตัวคนสักเท่าไร หากจื่อเสวียนเข้าร่วมด้วยย่อมดีที่สุด หากจื่อเสวียนไม่เข้าร่วม เช่นนั้นก็ต้องใช้แผนล่อเสือออกจากภูเขา

‘ทั่วทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร มีเพียงเจิ้งข่ายอี้และโหวเหยาสองคนเท่านั้นที่ข้าไม่อาจต่อกรได้ พวกเขาคนใดคนหนึ่งจำเป็นต้องไป มิฉะนั้นการช่วยเหลือย่อมล้มเหลว

‘ไหนจะเจ้าหุ่นเชิดสองตัวนั่นอีก…ข้าก็มีวิธีจัดการกับพวกมันเช่นกัน’

เฉินหยางจื่อสายตาเปี่ยมด้วยความหวัง เงยหน้าขึ้นมองไปทางเขตปกครองผนึกสมุทร

เขาไม่ผลีผลามไปที่เขตปกครองผนึกสมุทร แต่ก็ต้องทำภารกิจขององค์ชายเจ็ดให้สำเร็จ ซึ่งไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก

ปิดล้อมชิงตัว เชิญท่านลงโอ่ง ล่อเสือออกจากภูเขา สามกลยุทธ์รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกผันอย่างไร เขาก็ควบคุมสถานการณ์ได้ดั่งใจ

ขณะที่เฉินหยางจื่อทอดสายตามองเขตปกครองผนึกสมุทร จากหอจวนเจ้าเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร สวี่ชิงและนายท่านเจ็ดรวมถึงโหวเหยาต่างยืนมองอดีต เมืองหลวงรัฐสายลมสวรรค์ที่องค์ชายเจ็ดประทับไกลๆ

“สวี่ชิง เจ้าคิดเห็นเช่นไร” นายท่านเจ็ดเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เรียนท่านอาจารย์ ปลากินเหยื่อแล้วขอรับ” สวี่ชิงตอบเสียงแผ่วเบา

นายท่านเจ็ดได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ดวงตาฉายแววชื่นชม

“เช่นนั้น…ท่านจะไปหรือให้ข้าไป” โหวเหยามองนายท่านเจ็ด

“เจ้าไปเถอะ ข้าจะรอดูว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้ครั้งที่สองอย่างไร หากไปพร้อมกันทั้งสองคน อีกฝ่ายอาจสงสัยว่าเหตุใดถึงราบรื่นเกินไป อย่าลืมนำหุ่นเชิดไปด้วยห้ามประมาทเด็ดขาด” นายท่านเจ็ดมองโหวเหยา

โหวเหยาพยักหน้า ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสระดับสูงเพียงหนึ่งเดียวที่ผ่านสงครามเขตปกครองผนึกสมุทร เขาย่อมดำเนินการด้วยความรอบคอบ จึงก้าวไปข้างหน้า และหายตัวไปจากหอในเสี้ยววินาทีต่อมา

ไม่นานนัก เจ้าวังพิธีการและเจ้าวังครองกระบี่ ตลอดจนเจ้าสำนักบางคนก็ เหาะเหินตามโหวเหยาไป

ส่วนนายท่านเจ็ด หลังจากเวลาล่วงเลยไปหลายวัน ก็ได้รับการตอบโต้ครั้งที่สองตามที่รอคอย

จู่ๆ สำนักมากมายในเขตปกครองผนึกสมุทรก็พากันก่อกบฎ

สำนักเหล่านี้กระจายตัวอยู่ตามมณฑลต่างๆ ลุกฮือขึ้นมาพร้อมกัน แพร่ข่าวลือ ก่อความวุ่ยวายไปทั่วทุกแห่งหน เหมือนเป็นไฟลามทุ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น กองทัพต่างเผ่าในทะเลต้องห้ามต่างยกพลมาตามแนวชายฝั่งหลายแห่งของเขตปกครองผนึกสมุทร ส่งกองกำลังไปยังมณฑลต่างๆ รวมถึงมณฑลรับเสด็จราชันด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น นอกท่าเรือสำนักเจ็ดเนตรโลหิตแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณยังปรากฏต่างเผ่าทะเลต้องห้ามจำนวนมาก ตลอดจนผู้แข็งแกร่งหวนสู่อนัตตาซึ่งกองทัพใหญ่ต้องไปกำราบ

ในชั่วพริบตา ผู้คนในเขตปกครองผนึกสมุทรต่างอกสั่นขวัญแขวน สงครามคล้ายจะปะทุขึ้นมาในฉับพลัน

เมื่อเผชิญกับวิกฤตดังกล่าว ผู้ครองกระบี่จำนวนมากต่างออกไปด้านนอก นายท่านเจ็ดยิ่งเลือกจะนำทัพด้วยตนเอง รุดหน้าสะกดกำราบ

ทั้งเขาและโหวเหยาทยอยจากไปทีละคน ทำให้เมืองหลวงเขตปกครองมีช่องโหว่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

การมีช่องโหว่นี้ถูกจับจ้องจากดวงตาคู่หนึ่งเบื้องหลังกระดานหมากล้อม

“ราบรื่นเกินไปหน่อย…”

เฉินหยางจื่อวางหมากตัวที่สอง พร้อมทั้งทอดถอนใจหนักหน่วง จากนั้นไม่นาน เขาก็วางหมากตัวที่สามลงไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!