บทที่ 783 ในสายเซียนต่างวิถีมีสิ่งชั่วร้าย
สวี่ชิงทอดสายตามองไปทางวังศึกษา คืนนี้ลมหนาวฤดูเหมันต์พัดผ่านเมืองหลวงจักรพรรดิ พัดพาเศษหิมะที่บนพื้นจนปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า
ศิษย์หลักสายเซียนต่างวิถีที่ได้รับเกล็ดหิมะสีเขียว เริ่มต้นชีวิตใหม่ของพวกเขาท่ามกลางสายลมเหมันต์นี้
จำนวนไหมวิญญาณของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่มีเพียงไม่กี่ร้อยเส้น
ในฐานะศิษย์หลักสามคนแรกของสายเซียนต่างวิถี แม้ว่าวิชาฝึกบำเพ็ญสายเซียนต่างวิถีไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ เพราะหมั่นฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด ทำให้วิญญาณของพวกเขา แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปไม่น้อย
ดังนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ลอยขึ้นมากลางท้องนภา ขับไล่ ความมืดมิดออกไป แสงสว่างส่องทั่วแผ่นดิน ร่างกายของ พวกเขาทั้งสามก็แผ่รัศมีที่แตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน
จากการที่พลังบำเพ็ญของพวกเขาเพิ่มขึ้น ดวงตา ทั้งสองข้างก็ยิ่งเฉียบคม
ร่างกายของพวกเขาแผ่คลื่นวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะสายเซียนต่างวิถีออกมา จำนวนไหมวิญญาณอย่างน้อยที่สุดมีถึงสามพันกว่าเส้น มากที่สุด…มีถึงหกพันกว่าเส้น
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากกลิ่นอายนี้ เมื่อพวกเขาทั้ง สามมาถึงเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถี ก็ถูกศิษย์หลักอีก 9 คน รวมถึงสตรีลึกลับสังเกตเห็นในทันที แต่ละคนต่างประหลาดใจ
ฝั่งเจ้าสายที่นั่งอยู่ด้านในเจดีย์ขาว เมื่อเห็นทั้งสามคนเดินมา ดวงตาก็ฉายแววชื่นชม
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์!”
ทั้งสามมองหน้ากัน ต่างมองความซาบชึ้งในใจกันและกันออก เทียบกับภัยแฝงเร้น ได้ไหมวิญญาณเพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ เช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นและแน่วแน่
“พวกเจ้าผสานเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีได้ดีมาก สิ่งที่พวก เจ้าต้องทำต่อไปคือเร่งเสริมความแข็งแกร่งให้แก่วิญญาณของตน เพื่อให้วิญญาณของตนทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ”
“จงจำไว้ว่ายิ่งวิญญาณของพวกเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด จำนวนไหมวิญญาณก็จะยิ่งน่าตื่นตะลึงมากเท่านั้น”
“เมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีของข้าเป็นเมล็ดพันธุ์พลังเฉพาะของสายเซียนต่างวิถี เหมือนกับวิชาระดับจักรพรรดิ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ถึงจะฝึกบำเพ็ญได้!”
เจ้าสายพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อคำพูดของเขาลอดเข้าไปในหูของศิษย์หลักคนอื่นๆ ระลอกคลื่นในใจแต่ละคนก็โหมสูงหมื่นจั้ง สตรีลึกลับหายใจ หอบถี่เล็กน้อย กำลังจะเอ่ยปากถาม
ตอนนั้นเอง ร่างเงาของสวี่ชิงก็ปรากฎตัวที่ด้านนอก ประตูเจดีย์ขาว ทันทีที่เดินเข้ามา ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่เขา สัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ออกมา
พริบตาต่อมา ศิษย์หลักทั้งสามที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ เหมือนกับเขาต่างก็ใจสั่นสะท้าน ประกายในตาเจ้าสายยิ่งพราวแสงระยิบระยับ ถึงกับลุกขึ้นยืน
ศิษย์หลักอีก 9 คนต่างรู้สึกปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม ร่างกายของสวี่ชิงมีระลอกคลื่นไหมวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ ทำให้รู้สึกว่าจำนวนไหมวิญญาณของเขาก็ต้องมีหมื่นเส้นเป็นอย่างน้อย
“ดีๆๆ เสวียนเหลยจื่อ ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้าก็สัมผัสได้ว่า อนาคตของเจ้าไม่ธรรมดา ตอนนี้ดูแล้วเจ้าช่างเหมาะสมกับสายเซียนต่างวิถีของข้าจริงๆ”
เจ้าสายหัวเราะ สายตากวาดผ่านร่างสวี่ชิง ยิ่งมองยิ่ง ประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ว่าเมล็ดพันธุ์วิญญาณของเขาผสาน กับร่างกายของสวี่ชิงได้ดียิ่ง และสัมผัสได้ว่าวิญญาณของสวี่ชิงแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ มากผ่านเมล็ดพันธุ์วิญญาณ
และการผสานเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ แสดงให้เห็นว่าเสวียน เหลยจื่อผูนี้เป็นคนที่วิญญาณแข็งแกร่งแต่กำเนิด
คนประเภทนี้ แม้จะมีไม่มากแต่ก็มีอยู่ ยิ่งเป็นคนที่เข้าวังศึกษาได้ย่อมมีความพิเศษ
สวี่ชิงโค้งคำนับ รู้สึกจนใจเล็กน้อย
เขาไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนเร็ว เกินไป หากไม่มีไหมวิญญาณเลยก็จะถูกจับผิดได้ง่าย
ดังนั้น เขาจึงพยายามก่อไหมวิญญาณตามปกติบดบัง สัมผัสรับรู้ของคนภายนอก ทว่าไหมวิญญาณพลังต้นกำเนิด เทพของเขานั้นน่าตื่นตะลึงเกินไป แม้จะปล่อยออกมาเพียง เล็กน้อยก็มีระลอกคลื่นไหมวิญญาณปกติหลายหมื่นเส้นแผ่ ออกมา
ลดลงกว่านี้ไม่ได้แล้ว จึงเกิดเหตุการณ์ในตอนนี้ขึ้น แต่เมื่อเทียบกับความกังวลนี้ สิ่งที่ได้รับเมื่อคืนก็ทำให้ เขารู้สึกพึงพอใจมาก
เมื่อคืน จากการที่ศิษย์หลักทั้งสามผสานเมล็ดพันธุ์วิญ ญาณและเริ่มฝึกบำเพ็ญ ก็ส่งผลดีมาถึงเขา ทำให้คลื่นวนใน ทะเลความรู้สึกของสวี่ชิงมีพลังต้นกำเนิดเทพปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เจดีย์ขาวในขณะนี้ เทียบกับความกังวลของสวี่ชิง เจ้า สายฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง เขามองสวี่ชิงและศิษย์หลักอีกสามคน ด้วยความภาคภูมิใจ แล้วหันไปมองศิษย์หลักอีกเก้าคนด้วย ดวงตาดุจสายอัสนี
“พวกเจ้าก็ได้เห็นกันแล้ว ฃ้ารู้ว่าพวกเจ้าต่างมีขั้วอำนาจ อยู่เบื้องหลัง แต่ไม่เป็นไร เพราะพวกเจ้าโชคดีที่ได้เห็นการ ผงาดขึ้นอีกครั้งของสายเซียนต่างวิถี”
“วังศึกษาเป็นที่ที่เปิดกว้าง แม้สายเซียนต่างวิถีจะมีศิษย์หลัก แต่ก็เปิดกว้างให้คนทั่วไป”
“ดังนั้นต่อไปพวกเจ้าต้องตั้งใจทำผลงานให้ดี ในบรรดาพวกเจ้า ใครที่ดึงดูดคนเข้ามาเป็นศิษย์หลักได้ถึงหนึ่งร้อยคน ข้าก็จะยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ มอบเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีให้ หนึ่งเมล็ด!”
เมื่อศิษย์หลักทั้งเก้าคนรวมถึงสตรีลึกลับได้ยินต่างก็โค้ง คำนับทันที ในใจเกิดความคิดต่างๆ นานา แต่ไม่ว่าอย่างไร ความสำเร็จของพวกสวี่ชิงทั้งสี่ก็เป็นที่ประจักษ์พวกก็ตื่นเต้นอย่างมาก
การแข่งขันดึงคนมาเข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีก็เปิดฉากขึ้นเช่นนี้
และเรื่องที่พวกสวี่ชิงทั้งสี่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็ แพร่สะพัดไปทั่ววังศึกษาในไม่กี่วันต่อมา ผู้คนเข้ามา ตรวจสอบกันไม่ขาดสาย แม้แต่ผู้รํ่าเรียนยังหลั่งไหลมาพิสูจน์ ด้วยตนเอง เพื่อยืนยันเรื่องนี้
พายุ…จึงก่อตัวขึ้นในวังศึกษาอย่างน่าประหลาดใจ
คำบอกเล่าและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง แสดงให้เห็นว่าวิชาสายในของสายเซียนต่างวิถีมีอยู่จริง
ดังนั้น…ศิษย์หลักคนที่ 14 ศิษย์หลักคนที่ 15 จึงปรากฏตัวขึ้น เรื่อยๆ
เวลาเพียง 7 วัน จำนวนศิษย์หลักของสายเซียนต่างวิถี ก็ทะลุหนึ่งร้อยคน ฟื้นคืนชีพได้อย่างแท้จริง
ส่วนการฝึกบำเพ็ญของพวกสวี่ชิงทั้งสี่ก็คืบหน้าอย่างต่อ เนื่องในเจ็ดวันนี้ อย่างน้อยที่สุดก็มีคนก่อไหมวิญญาณได้ ถึงห้าพันกว่าเส้น ส่วนสวี่ชิงกับศิษย์อีกคนต่างก่อไหมวิญ ญาณได้คนละหนึ่งหมื่นสามพันถึงสี่พันกว่าเส้น
ศิษย์หลักคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็อิจฉาตาร้อน บางคน ฝึกเพื่อตัวเอง บางคนเพื่อภารกิจ แต่ไม่ว่าอย่างไร ความ เย้ายวนของเมล็ดพันธุ์วิญญาณก็ดึงดูดความสนใจทั้งวังศึกษาได้สำ เร็จ
ในที่สุดยามเย็นของวันที่ 12 มีศิษย์หลักคนหนึ่ง ทำ ภารกิจชักจูงคนหนึ่งร้อยคนได้สำเร็จ
เจ้าสายจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ต่อหน้าศิษย์หลักทุกคน ใช้ความเคร่งขรึมของพิธีการมาขับเน้นความลํ้าค่าของเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถี กดเมล็ดพันธุ์กลางมือของศิษย์หลักผู้นั้นให้ผสานกับร่างกายทันที โดยไม่เว้นช่องว่างให้ลังเล
ภาพนี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่สนใจของเหล่าศิษย์หลักที่เพิ่ง เข้าร่วมสายเซียนต่างวิถีในภายหลัง แต่ยังเป็นที่สนใจของสายต่างๆ ทั่วทั้งวังศึกษา
ศิษย์หลักผู้นั้นตัวสั่นเทา ไหมวิญญาณในร่างกาย เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากเดิมที่มีเพียงหลักหน่วย เพิ่มขึ้น เป็นหนึ่งพันเส้นในเวลาหนึ่งชั่วยามท่ามกลางสายตาจับจ้องของทุกคน
กลิ่นอายไหมวิญญาณแผ่ซ่าน ทำให้พายุในสายเซียน ต่างวิถีพัดโหมไปทั่ววังศึกษา
ดังนั้นสายเซียนต่างวิถีจึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ถูก พูดถึงโดยทั่วไปในวังศึกษาในทันใด ศิษย์หลักที่เข้าร่วมสาย เซียนต่างวิถีก็เพิ่มขึ้นทุกวัน
ศิษย์หลักส่วนใหญ่ก็เริ่มดึงดูดคนเข้ารวมสำนัก จากการ ที่เวลาไหลผ่านไป ศิษย์หลักที่ได้รับเมล็ดพันธุ์และเริ่มฝึกฝนพลังเซียนต่างวิถีก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของพวกเขาเป็นดั่งคลื่นวนที่ ดึงดูดเหล่าผู้ร่ำเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก็ใช่ว่าศิษย์หลักทุกคนจะหมายมั่นกับเรื่องนี้กันหมด ยังมีคนที่รอชมสถานการณ์อย่างเดียวส่วนหนึ่ง
จุดประสงค์ที่คนพวกนี้เข้ารวมสำนักก็คือสังเกตการณ์ ยิ่งมีความลังเลและสงสัยเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์มากขึ้น สตรีลึกลับก็เป็นหนึ่งในนั้น
พวกเขาสังหรณ์ใจมาตลอดว่าเมล็ดพันธุ์พลังเซียนต่าง วิถีอาจมีข้อเสียร้ายแรงถึงชีวิตอยู่
แต่ต้องยอมรับว่าเจ้าสายเป็นคนแรกที่นำเมล็ดพันธุ์เซียนต่างวิถีมาผสานกับวิชาระดับจักรพรรดิ สอดคล้องกับความรู้ความเข้าใจอย่างมาก
ถึงอย่างไรการฝึกบำเพ็ญวิชาระดับจักรพรรดิก็ต้องมีเมล็ดพันธุ์อยู่ในร่างกายจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้แม้ว่าจะมีคนคาดเดาเกี่ยวกับผลเสียอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงการคาดเดา ยากยืนยันอะไรได้ ส่วนสวี่ชิงที่เห็นเจดีย์ขาวสายเซียนต่างวิถีจากเงียบเหงา กลายเป็นแบบทุกวันนี้ ก็รู้สึกนับถือเจ้าสายอย่างยิ่ง
เขารู้ดีว่าเมล็ดพันธุ์ของตน เป็นเพียงโอกาสที่มอบให้อีกฝ่าย แต่ความมุ่งมั่นและความพยายามต่างหากที่เป็นจุดสำคัญชึ่งทำให้สายเซียนต่างวิถีผงาดขึ้นมา
ส่วนข้อเสียของเมล็ดพันธุ์นั้น สวี่ชิงไม่ได้กังวลนัก เขา ศึกษาเกล็ดหิมะสีเขียวแล้ว โครงสร้างของเมล็ดพันธุ์วิญญาณ นี้แปลกประหลาดแต่ก็มีความรู้สึกกลมกลืน สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง
สิ่งที่แปลกเป็นพิเศษคือมีวิถีสวรรค์เลาๆ ราวกับว่าสิ่งนี้ ได้รับพรจากวิถีสวรรค์
และจากการที่มีศิษย์หลักจำนวนมากสูดรับเกล็ดหิมะสีเขียว เห็นได้ชัดว่าเจ้าสายก็สัมผัสได้ถึงประโยชน์ หลังจากที่แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์วิญญาณไป 90 กว่าเมล็ด ไหมวิญญาณ ของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงแปดหมื่นกว่าเส้น
ส่วนสวี่ชิงที่เป็นต้นกำเนิด ยิ่งได้ประโยชน์มากกว่านั้น คลื่นวนในทะเลความรู้สึกของเขามีพลังต้นกำเนิดเทพ ก่อตัวขึ้นทุกวัน กลายเป็นไหมวิญญาณ
จำนวนไหมวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นจากหนึ่งล้านเส้น เป็นหนึ่งล้านหนึ่งแสนกว่าเส้น
ทุกคนที่ผสานเมล็ดพันธุ์วิญญาณเข้าไป เปรียบเสมือนกับรากไม้ ขณะที่เติบใหญ่ ก็ให้สารอาหารกับต้นหลัก
‘ไม่รู้ว่าหากมีศิษย์คนใดฝึกฝนได้ถึงห้าหมื่นเส้น จะมีการแตกแขนงอีกหรือไม่’
สวี่ชิงแอบคาดหวังอยู่บ้าง
ด้วยเหตุนี้สายเซียนต่างวิถีที่เคยรุ่งเรืองแต่เสื่อมถอย ลงมานาน ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาอย่างแท้จริง เรื่องนี้เหล่าขั้ว อำนาจต่างๆ ในเมืองหลวงจักรพรรดิต่างให้ความสนใจ
โดยเฉพาะสายต่างๆ ในวังศึกษาที่ให้ความสนใจกับการ กลับมาของสายเซียนต่างวิถีอย่างยิ่ง
ในบรรดานี้ สายผสานเทพให้ความสนใจยิ่งกว่าใคร ถึงอย่างไรความคิดเซียนต่างวิถีและผสานเทพแตกต่างกันสุดขั้ว ไม่เพียงแต่ไม่ลงรอยกัน แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผงาดขึ้นมาจะส่งผลกระทบกับอีกฝ่ายอย่างรุนแรง
ดังนั้นในขณะที่สายเซียนต่างวิถีกำลังฟื้นตัวอยู่นั้น บ่าย วันหนึ่งในเจดีย์ขาวสายผสานเทพก็เริ่มประชุมภายในเกี่ยวกับ สายเซียนต่างวิถี
ผู้เข้าร่วมประชุม นอกจากเจ้าสายผสานเทพแล้ว ยังมี สมาชิกระดับสูงของสาย รวมทั้งสิ้นกว่าหนึ่งร้อยชีวิตนั่งไล่ ไปตามลำดับ
องค์ชายเจ็ดก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยนั่งอยู่ทางซ้ายของเจ้า สาย ผู้รํ่าเรียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีดวงตาสีแดงชาดที่ค่อนข้างโดดเด่น คนผู้นี้คือศิษย์ตัวแทนสายสายผสานเทพ ตอนเริ่มการประชุมไม่ได้พูดถึงสายเซียนต่างวิถี แต่ เป็นการรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์การฝึกบำเพ็ญของสาย และตนเองในช่วงนี้
ในฐานะที่องค์ชายเจ็ดเป็นตัวแทนของสายผสานเทพคน ปัจจุบันก็รายงานการฝึกบำเพ็ญของตน
เมื่อฟังทุกคนรายงานจบ เจ้าสายผสานเทพก็พยักหน้า น้อยๆ กวาดสายตามองทุกคนแล้วให้กำลังใจ จากนั้นมอง ไปทางองค์ชายเจ็ดด้วยแววตาชื่นชม
“องค์ชายเจ็ดทรงมีพระปรีชาสามารถ เหมาะกับวิถี ผสานเทพของเราอย่างยิ่ง หากฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ต่อไป อีก 60 ปี จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่นอนพะยะค่ะ,, องค์ชายเจ็ดประสานมือ ไม่พูดและมองระลอกคลื่น อารมณ์ไม่ออก
เจ้าสายผสานเทพยิ้มน้อยๆ ถอนสายตากลับมาแล้ว หันไปมองศิษย์ตัวแทนสายที่อยู่ทางขวามือ
“หลิงพั่วจื่อ เอาเมล็ดพันธุ์พลังเซียนต่างวิถีที่เจ้าได้มาให้ ข้าดูหน่อย”
ศิษย์ตัวแทนสายสายผสานเทพผู้มีนัยน์ตาสีแดงยก มือขวาขึ้น ทันใดนั้น เกล็ดหิมะสีเขียวก็ปรากฏเบื้องหน้าของเขา
นํ้าเสียงสงบนิ่งเปล่งออกมาจากปาก “นี่คือสิ่งที่ศิษย์หลักคนหนึ่งของสายเซียนต่างวิถีขุดออกมาจากร่างกายให้ข้านอกวังศึกษา เจ้าสายโปรดตรวจสอบ”
กล่าวจบ เขาก็โบกมือ เกล็ดหิมะสีเขียวลอยไปหาเจ้า สายในทันใด
เจ้าสายยกมือขึ้นชี้นิ้วให้เกล็ดหิมะลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตาเปล่งแสงลึกลับ ตรวจสอบอย่างละเอียด
ในทันใดนั้น ม่านตาของเขาหดเล็กลงอย่างชัดเจน ขณะ โน้มตัวเข้าไปสังเกตอย่างละเอียด เส้นใยสีแดงงอกออก มาจากดวงตาของเขาทีละเส้น สอดประสานกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมีมากกว่าร้อยเส้นแทงทะลุเกล็ดหิมะ เกล็ดหิมะสั่นไหว เริ่มสลายตัวจนมลายสิ้น ในระหว่างนั้นกลิ่นอายเคร่งขรึมก็แผ่ออกมาจากตัวเจ้า สายกระจายไปทั่วบริเวณ
เนิ่นนานหลังจากนั้น เส้นใยสีแดงก็หดกลับมา เขา จึงหลับตาลง
ภายในเจดีย์ขาวสงบเงียบ ทุกคนมองไปที่เจ้าสาย
ครู่หนึ่ง เสียงแหบพร่าก็ค่อยๆ ดังออกมาจากปากเจ้าสายผสานเทพ
“สิ่งนี้ชั่วร้ายและทรงพลัง ดูดกลืนวิญญาณของสรรพ ชีวิตทั้งปวง”
“สายเซียนต่างวิถีมีสิ่งชั่วร้ายอยู่”
เขากล่าวพลางลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“พวกเจ้าตามข้า ไปดูสายเซียนต่างวิถีสักหน่อยเถิด”