บทที่ 795 กระบี่จักรพรรดิสังหารองค์ชาย
คำว่ากระบี่จักรพรรดิสะท้อนทั่วทิศกึกก้องทั่วฟ้า ท้องนภาในวังศึกษาสั่นสะเทือน เมฆหมอกกระจายครืน ครั่นซ่านกระเซ็น กลายเป็นคลื่นวงๆ ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ทรงพลังดุจสายรุ้ง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ยิ่งมีพลังอำนาจไร้เทียมทานมาเยือนจากความว่างเปล่า เกิดเป็นพายุล่องหนกดทับวังศึกษา
บริเวณที่พาดผ่าน เจดีย์ขาวทั้งหมดในวังศึกษาล้วน สั่นคลอน มิติไหวกระเทือน เหล่าผู้ร่ำเรียนพากันหวาดกลัว ทุกสายตาถูกดึงดูดด้วยเงาร่างที่แต่งกายเหมือนพวกเขาบน แท่นเต๋าสีขาว
ยามนี้ คนหนึ่งอยู่ด้านบน ฝูงชนจ้องมอง
‘เมื่อครู่เขาพูดว่า…กระบี่จักรพรรดิ?’
‘ฐานะของคนผ้นี้…’
เสียงฟ้าร้องข่มขวัญระเบิดสั่นในใจผู้ร่ำเรียนทั่งวังศึกษา และดังขึ้นในหัวแต่ละขั้วอำนาจภายนอก
ดวงตาเจ้าสายเซียนต่างวิถีก็ฉายแววเหลือเชื่อ เดิมเขาคิดว่าเสวียนเหลยจื่อที่ปรากฏตัวอาจเป็นผู้อาวุโสลึกลับผู้นั้น แต่ความเป็นไปของเรื่องนี้ทำให้เขาสับสนเล็กน้อย อีก ฝ่าย…เหมือนจะไม่ใช่ผู้อาวุโสท่านนั้นทว่าฐานะของเขาทำให้ คนสั่นสะท้านเช่นกัน
‘เป็นเขานั่นเอง! ข้าถึงกับดึงเขามาสายเซียนต่างวิถีข้าได้ เลยรึ’
เจ้าสายเซียนต่างวิถีไม่รู้ตกใจหรือดีใจ แม้อีกฝ่าย ไม่ใช่คนที่คิดไว้ แต่ฐานะเช่นนี้ก็ทำให้ใจเขาโหมซัด อดมองไป ไม่ได้
สวี่ชิงยืนตัวตรงบนแท่นเต๋า อยู่ในชุดยาวสีขาวเนื้อหยาบ สวมหน้ากากผู้รํ่าเรียนสีเดียวกัน เขาในลักษณะนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรต่างกับผู้รํ่าเรียนทั้งหมดในวังศึกษา
เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ลมปราณแบบเดียวกัน อยู่ภายใต้ กฎพิเศษของวังศึกษายากจะถูกเห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่บางครั้ง เสื้อผ้าแบบเดียวกันสวมอยู่บนกายคนละ คนก็ไม่เหมือนกัน
โดยเฉพาะในสถานการณ์เฉพาะบางอย่าง ความต่าง เช่นนี้จะถูกขยายใหญ่ไม่สิ้นสุด อย่างเช่นตอนนี้
แต่คนอื่นเป็นอย่างไรสวี่ชิงไม่สนใจ ที่เขาคิดอยู่ตอนนี้ มีแค่คำว่าฆ่า เขาอยากฆ่าองค์ชายเจ็ดมานานแล้ว
ตั้งแต่ตอนอีกฝ่ายจงใจมาช้าเพื่อเอาผลงานคนเดียว และบีบให้เจ้าวังคนก่อนต้องตายที่เขตปกครองผนึกสมุทร ความคิดสังหารของสวี่ชิงก็ฝังลงไปแล้ว แต่ตอนนั้นเขาทำไม่ได้ บัดนี้ต่างออกไป
ยามนี้ดวงตาเขาแฝงพลังอำนาจ พลังนี้ประดุจ ฟ้าประหนึ่งวิถี ยิ่งแฝงด้วยเจตจำนงของเผ่ามนุษย์ มองไปยัง องค์ชายเจ็ดอย่างเยือกเย็น
ตอนนี้เขาอยู่ที่สูง แม้องค์ชายเจ็ดยืนอยู่กลางอากาศ แต่ ยังคงเป็นตำแหน่งที่ตํ่ากว่า
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป หลายครั้งที่วันเวลามีเสน่ห์ เฉพาะตัว นั่นเป็นเพราะการสับเปลี่ยนของตำแหน่งอันเกิด จากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตท่ามกลางวันเวลาที่ไหลผ่าน ครั้งแรกที่สวี่ชิงเห็นองค์ชายเจ็ด อีกฝ่ายขี่มังกรทองอยู่บนฟ้า ล้อมรอบด้วยหมื่นม้าพันกองทัพ ปรากฏตัวบน สนามรบชายแดนเขตปกครองผนึกสมุทรดุจดวงอาทิตย์สีแดง
ครั้งที่ 2 เป็นที่เมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร อีกฝ่ายมีกลุ่มผู้บำเพ็ญห้อมล้อม องอาจห้าวหาญ ประชาชน รอบด้านก้มกราบ จับจ้องเขาเป็นตาเดียว
ตอนนั้นสวี่ชิงอยู่ในทัพที่เหลืออยู่นอกเมืองหลวง หาก จะเปรียบก็เหมือนฟ้ากับดิน องค์ชายเจ็ดก็เป็นเมฆบนท้องฟ้า สวี่ชิงเป็นโคลนบนผืนดินที่ไม่มีใครเหลือบแล
และครั้งที่ 3 ครั้งที่ 4 ล้วนเป็นเช่นนั้น กระทั่งสวี่ชิงกลับจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา ทุกอย่างถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลง และวันนี้…ยิ่งกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
นี่คือเสน่ห์ของวันเวลา
อีกทั้งเป็นมูลเหตุที่ทำให้คนเฝ้าปรารถนาจังหวะเวลายิ่ง เป็นสิ่งที่สวี่ชิงต่อสู้เพื่อให้ได้มาตลอดบนเส้นทางนี้
เมื่อก่อนเขาสวี่ชิงมิใช่เมฆ บัดนี้กู่เยวี่ยจางอั้นเป็นโคลน ความรู้สึกคล้ายคลึงกันนี้ผุดขึ้นในใจองค์ชายเจ็ด ความสุขุมทั้งหมดของเขาบัดนี้ยากประคองแม้เพียงครึ่ง พังทลายในพริบตา สีหน้าผันเปลี่ยนอย่างรุนแรง
ในสายตาเขา เงาร่างของคนที่ยืนแย้งเสด็จพ่ออยู่บน แท่นเต๋าดูสูงส่งอยู่เบื้องบน หากจะเปรียบกับเมฆโคลน คนผู้ นั้นองอาจห้าวหาญเหมือนดวงอาทิตย์สีแดงบนฟ้ามากกว่า ความรู้สึกนี้กลายเป็นความสับสนและความสั่นสะท้านที่ไม่เคยมีมาก่อน มันปะทุจากจิตใจและซัดสาดไปทั่วร่าง สายตาที่มองสวี่ชิงยิ่งเดือดดาลและบ้าคลั่ง
“เจ้าคือสวี่ชิง!”
เสียงองค์ชายเจ็ดแหบแห้ง เอ่ยออกมาทีละคำ
ฉากที่เกิดขึ้นกลางฟ้าดินนี้ทำให้ฐานะของสวี่ชิงผุดขึ้นใน
ใจผู้ชมทั้งหลายแต่แรกแล้ว ทว่าเสียงขององค์ชายเจ็ดเปิดเผย ฐานะนั้นออกมา
ทันใดนั้น บรรยากาศทั้งวังศึกษาไปจนถึงทั้งเมืองหลวง จักรพรรดิพลันหนักหน่วงอย่างที่สุด เพราะสวี่ชิงผู้นี้ไม่ธรรมดา
เขาไม่เพียงเป็นเจ้าแดนเพียงหนึ่งเดียวของเผ่ามนุษย์ใน ปัจจุบัน ยิ่งถือครองกระบี่จักรพรรดิ!
และการมีอยู่ของกระบี่จักรพรรดิ ในแง่หนึ่งก็ทำให้เขามีสิทธิ์โต้แย้งจักรพรรดิมนุษย์อย่างแท้จริง
แต่การมีสิทธิ์กับการกล้าทำเช่นนั้นหรือไม่เป็นคนละ แง่กันโดยสิ้นเชิง
ชัดทีเดียว สวี่ชิงกล้าทำเช่นนั้น!
และเขายังมีฐานะที่จะพูดออกมาว่า ‘ถามระฆัง มิสู้
ถามกระบี่’ ได้อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะพลังในดวงตาเขาตอนนี้ ค่อยๆ กลายเป็น แสงสีทอง แผ่ขยายไปทั่วทิศ
นอกจากมีแสงในดวงตา ยังมีแสงสีทองพุ่งออกจากกาย สวี่ชิงเป็นสายมากกว่าเดิม
พริบตาเดียวก็เป็นแสงสีทองหลายร้อยหลายพันไปจนถึง หลายหมื่นสาย วนรอบสวี่ชิงเป็นทะเลแสง
ขณะแสงแวววามบาดตา กระบี่เล่มใหญ่จำแลงออกมาที่ ด้านหลังเขาท่ามกลางสายตานับหมื่น
มองไกลๆ กระบี่นี้หน้าตาเหมือนสัมฤทธิ์ บนนั้นสลัก ลวดลายวกวน ความหมายโบราณลึกลํ้าแฝงด้วยอำนาจและสูงส่ง
ยังมีความหมายของการเบิกฟ้าดิน แฝงพลังเลิศลํ้าไร้ เทียมทาน น่าตื่นตะลึง
วังศึกษาสั่นสะเทือน ลานพิธีเต๋าพังทลาย ทุกคนที่เห็น ล้วนหวาดผวา
ยิ่งมีดวงชะตาของเผ่ามนุษย์อันไร้สิ้นสุดกลายเป็น เมฆหมอกรวมตัวบนฟ้าเหนือเมืองหลวงจักรพรรดิ แผ่นดินส่ง เสียงเลื่อนลั่นต่อเนื่อง สรรพชีวิตในเมืองหลวงจักรพรรดิต่าง เกิดความรู้สึกเคารพด้วยยำเกรงในใจ
นี่คือกระบี่วิถีแห่งเผ่า นี่คือกระบี่แห่งเจตจำนงเผ่ามนุษย์ นี่คือกระบี่สืบทอดของเผ่ามนุษย์
นี่คือกระบี่จักรพรรดิ!
ทันใดนั้น ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษาพากันหายใจถี่เร็ว คุกเข่า ไปทางกระบี่จักรพรรดิตามสัญชาตญาณ
กระทั่งชั้นสูงสายผสานเทพบนแท่นเต๋าสีดำยังจิตใจโหมซัด เลือกคารวะกระบี่
จักรพรรดิมนุษย์นิ่งเงียบ สายตาจับจ้องสวี่ชิง ไม่เอ่ยคำใด
ส่วนองค์ชายเจ็ด เขารู้ว่าสวี่ชิงอยากฆ่าตนมาตลอด เหมือนกับที่ตนอยากฆ่าอีกฝ่ายให้ตายทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ด้วย เกิดเรื่องมากมาย เขายากจะเตรียมพร้อมให้เหนือกว่า จึงได้ แต่เลือกซ่อนตัวรอโอกาส
ทว่าบัดนี้ เขายังไม่ทันได้สบโอกาสนั้น อีกฝ่ายกลับ ออกมาต่อต้านแล้ว เรื่องในวันนี้และความเป็นความตาย กลายเป็นสายฟ้าครืนครั่นในใจเขาไม่รู้จบ สุดท้ายกลายเป็น เสียงคำรามทุ้มตํ่า
“สวี่ชิง อาวุธเช่นกระบี่จักรพรรดิ เจ้าเอามาใช้ส่วนตัวได้รึ”
องค์ชายเจ็ดกล่าวพลางทอดมองไปยังจักรพรรดิมนุษย์ ดวงตาฉายแววเลื่อมใส สายตาเปี่ยมด้วยความเคารพรักและ ยกย่องเช่นนั้นทำให้ดวงตาของจักรพรรดิมนุษย์บังเกิดคลื่นลูกใหญ่
“เสด็จพ่อ ลูกเป็นถึงองค์ชาย ตั้งแต่เด็กเห็นเผ่ามนุษย์ เราตกตํ่ามากับตา เห็นเสด็จพ่อทุ่มเทแรงใจ เห็นประชาชน ระทมตรอมตรม ใจข้าเศร้าสร้อย และสาบานว่าจะอุทิศตน เพื่อฟื้นฟูเผ่ามนุษย์เราชั่วชีวิต”
“เพื่อการนี้ ลูกเลือกช่วยเขตปกครองผนึกสมุทร สร้าง คุณูปการขยายอาณาเขตให้เผ่ามนุษย์เรา และสิ่งที่ท่านอบรม บ่มสอนตั้งแต่เด็กจนโต ลูกยังจำขึ้นใจอยู่เสมอ จะไปทำเรื่อง ตํ่าช้ากว่าเดรัจฉานเช่นนั้นได้อย่างไร!”
“ในภาพนั้นไม่ใช่ลูก!”
นั้าเสียงองค์ชายเจ็ดปวดร้าว ก้องสะท้อนทั่วทิศ
คลื่นในดวงตาจักรพรรดิมนุษย์หนาขึ้นหลายส่วนในยามนี้ แม้ยังไม่เอ่ยคำ แต่พลังบีบคั้นที่มาจากพระองค์กลายเป็น ความกดดันแผ่ปกคลุมวังศึกษา
พระองค์เป็นจักรพรรดิมนุษย์ แต่ก็เป็นพ่อคน แม้ฐานะข้างหลังถูกพระองค์กดไว้เสียจืดจางลงไปมาก แต่ตอนนี้มีคนจะฆ่าลูกชายต่อหน้า ฐานะพ่อคนของพระองค์ ทำให้ยากสงบใจ
อ๋องสวรรค์ใต้บังคับบัญชาเขาต่างมองหน้ากัน สุดท้าย จับจ้องสวี่ชิง
ผู้ร่ำเรียนในวังศึกษายิ่งพากันอกสั่นขวัญแขวนในใจ ขั้ว อำนาจแต่ละฝ่ายในเมืองหลวงจักรพรรดิล้วนหนักอึ้ง เรื่องในวันนี้ใหญ่โตเหลือเกิน และคำพูดขององค์ชายเจ็ดก็มีเหตุผลจริง แต่ขณะที่ความคิดของทุกคนสับสนวุ่นวาย เสียงเยียบ
เย็นมาเยือนดุจกลางฤดูหนาว “หนวกหู”
สวี่ชิงมององค์ชายเจ็ดอย่างเย็นชา กล่าวคำราบเรียบ เมื่อเขากล่าวออกมา ท่ามกลางม่านฟ้าเมฆหมอกปรวนแปร ฉับพลันเง่าร่างมหึมาปรากฏขึ้นเป็นสาย เงาร่าง
เหล่านี้ใหญ่โตข่มขวัญทุกรูปป ฐานะของพวกเขายิ่งทำให้คน ต้องก้มกราบ
นั่นคือ…เหล่าปูชนียบุคคลผู้เป็นบรรพบุรุษของเผ่ามนุษย์
ยามนี้ ล้วนถูกจำแลงออกมา การปรากฏตัวของพวกเขากลายเป็นความสั่นสะเทือน ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนในวังศึกษาและขั้วอำนาจ ภายนอกแต่ละฝ่าย โหมคลื่นลูกขนาดมหึมาขึ้นอีกครั้ง ทั้งยัง ทำลายข้อสงสัยขององค์ชายเจ็ด
นี่ไม่ใช่การเอาอาวุธจักรพรรดิมาใช้ส่วนตัว นี่คือการ สนับสนันจากดวงชะตาเผ่ามนุษย์ ปูชนียบุคลเป็นพยาน การเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งเผ่า
สวี่ชิงเงยหน้า คารวะให้ปูชนียบุคคลบนนภา
“วันนี้สวี่ชิงเชิญปูชนียบุคลของเผ่ามนุษย์เราเป็นเครื่อง เตือนใจ กำหนดโทษกู่เยวี่ยจางอั้น โอรสองค์ที่เจ็ดแห่ง จักรพรรดิมนุษย์เสวียนอั้น!”
สวี่ชิงกวาดสายตามาหยุดอยู่ที่ร่างขององค์ชายเจ็ดที่ เผยสีหน้าหวาดกลัวในที่สุด
“กู่เยวี่ยจางอั้น โทษของเขามี 4 ประการ”
“โทษที่ 1 สมคบกับเทียนประทีป สบคบกับเผ่าคลื่น ศักดิ์สิทธิ์ที่เคยเป็นศัตรู นี่คือโทษถึงตาย!”
สวี่ชิงกล่าวคำออกมา กระบี่จักรพรรดิด้านหลังแผ่รัศมี หมื่นจั้ง เสียงกระบี่คำรามทั่ว 9 ชั้นเมฆ สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
“โทษที่ 2 แย่งแต้มความชอบอันเป็นเหตุให้ข่งเหลียง ซิวเจ้าวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรต้องตาย นั่งมองผู้ บำเพ็ญเขตปกครองผนึกสมุทรนับหมื่นตายไปอย่างไม่ชอบธรรม เพียงเพื่อเสริมบารมีให้ตน นี่คือโทษถึงตาย!”
กระบี่จักรพรรดิสั่นไหวรุนแรง กระบี่คำรนดุเดือดกว่าเดิม ตัวกระบี่สะเทือนรุนแรง กลิ่นอายโหมซัดอยู่ภายในเป็นระลอก
“โทษที่ 3 ร่วมวางแผนฆ่าเจ้าเขตปกครองผนึกสมุทร นี่คือโทษถึงตาย!”
กระบี่จักรพรรดิเสียงดังสนั่น พุ่งขึ้นกลางอากาศ ปลาย กระบี่ชี้ไปทางองค์ชายเจ็ด ดวงชะตานับไม่ถ้วนหนุนนำ แสงพร่างพรายแผ่ปกคลุม พลังทำลายล้างน่าหวาดกลัว สะสมอยู่ข้างในอย่างรวดเร็ว
“โทษที่ 4 ฝึกวิชาผสานเทพนอกรีต กลืนกินวิญญาณ ประชาชนเผ่ามนุษย์ ทำให้ผู้คนเดือดดาล นี่คือโทษถึงตาย!”
สวี่ชิงกล่าวโทษทั้ง 4 ข้อนี้ออกมา จิตสังหารในแววตา ฉายชัด ยกมือชี้องค์ชายเจ็ดที่ตัวสั่นพลางถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ กล่าวคำราบเรียบ
“ขอกระบี่จักรพรรดิ สังหารคนบาปผู้นี้!”
ชั่วขณะที่สวี่ชิงพูดจบ กระบี่จักรพรรดิกลางอากาศแผ่ พลังอำนาจไร้เทียมทาน ม่านฟ้าเป็นสีทอง ผืนแผ่นดินผุดตำหนักใหญ่มายาขึ้นเป็นหลัง ในนั้นยังปรากฏเงาร่าง จักรพรรดิครองกระบี่จ้องมองมาตรงนี้
เมื่อกระบี่จักรพรรดิขยับ ฟาดฟันไปทางองค์ชายเจ็ด พลังอำนาจกระบี่โหมซัด รัศมีดุจสายรุ้ง กลืนภูเขากลืนแม่น้ำได้ ผ่านบริเวณใดล้วนปริแตก
กระบี่นี้รวมวิญญาณเผ่ามนุษย์ แฝงวันเวลาอันผ่าน การเปลี่ยนแปลงนับไม่ถ้วน พลังนี้ไม่อาจต้าน และไม่มีผู้ใด ต้านทานได้
องค์ชายเจ็ดตกใจถึงขีดสุดรีบถลาไปทางจักรพรรดิ มนุษย์ในปากยิ่งร้องเรียกอย่างสิ้นหวัง
“เสด็จพ่อ…”
คำพูดของเขาสิ้นสุดลงตรงนี้
กระบี่จักรพรรดิพร้อมพลังสะบั้นท้องฟ้าตัดผ่านร่างเขา องค์ชายเจ็ดไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน และไม่อาจหลบเลี่ยง ขณะที่ฟาดฟัน ร่างเขาสั่นเทิ้มรุนแรง สองมือแหลกสลาย สองขาไม่เหลือชิ้นดี ร่างระเบิดเป็นจุณ
ความไม่ยินยอมและความกลัวที่หลงเหลือพริบตา สุดท้ายในดวงตาหายไปในโลกหล้าพร้อมศีรษะที่สลายเป็นผุยผง
กลายเป็นเศษธุลี
วิญญาณของเขาก็ยากจะพ้นเคราะห์ แตกแยกพลัด พราย ดับสลายสูญสิ้น จิตวิญญาณแตกดับซ่านกระเซ็น
ไม่เหลือร่องรอย
วิถีที่ฝึกบำเพ็ญมาชั่วชีวิตก็อันตรธานหายไปในชั่วเวลานี้ สายโลหิตเผ่าจักรพรรดิไม่อาจยืดเวลาให้เขาสักน้อยนิด ด้วยกระบี่จักรพรรดิ แม้เป็นจักรพรรดิยังสังหารได้ นับประสาอะไรกับองค์ชายเล่า