บทที่ 971 สะอาดหมดจด
ความรอบรู้ เป็นแนวคิดที่มีเฉพาะในหมู่เทพเจ้าเท่านั้น
องค์ท่านลึกลับ คาดเดาไม่ได้
แม้แต่ในใจของผู้บำเพ็ญจำนวนมาก 2 คำนี้สื่อถึงความกลัวอยู่ด้วย
เพราะเมื่อเป็นผู้รอบรู้ ไม่ว่าอดีตหรืออนาคต แม้แต่โชคชะตาก็จะถูกควบคุม ไม่อาจหลุดพ้น และยากที่จะเปลี่ยนแปลง
และมันยังเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตในระดับหนึ่งด้วย
ก่อนที่จะเข้าใจถึงอำนาจเทพเจ้าแห่งเสียง ความเข้าใจของสวี่ชิงเกี่ยวกับความรอบรู้ แม้จะเหนือกว่าผู้บำเพ็ญ แต่เมื่อเทียบกับเทพเจ้าแล้ว ก็เหมือนนักปราชญ์กับเด็กที่เพิ่งหัดเรียนรู้
จนกระทั่งวินาทีนี้ เขาควบคุมอำนาจเทพเจ้านี้ได้อย่างแท้จริงด้วยบรรลุด้วยตนเอง จึงต่างไปจากเดิม
อำนาจเทพเจ้าแห่งเสียง เป็นส่วนสำคัญของความรอบรู้
ควบคุมทุกสรรพเสียง
ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ไขประตูแห่งความรอบรู้
เมื่อเทียบกับการควบคุมอำนาจเทพเจ้านี้ กระบวนการในระหว่างนั้นมีความหมายต่อสวี่ชิงยิ่งกว่า
สิ่งนี้นำมาซึ่งแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่คืออำนาจเทพเจ้า
อำนาจเทพเจ้ามีชีวิตและไม่มีชีวิต องค์ท่านเปรียบเสมือนกับสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่ล่องลอยไปมา
เมื่อเจ้าพยายามรับรู้ องค์ท่านก็มีชีวิต มีปฏิกิริยาตอบโต้ และจะรุกรานตัวตนทั้งหมดของเจ้า
แต่เมื่อเจ้าไม่รับรู้แต่ยังรับรู้ได้ องค์ท่านก็ปราศจากชีวิตเช่นกัน
คำกล่าวนี้ ขัดแย้งกันอยู่บ้าง
หากเข้าใจ ก็คือเข้าใจ
ไม่เข้าใจ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางเข้าใจ
สวี่ชิงพึมพำ
และสิ่งที่มาถึงพร้อมอำนาจเทพเจ้า คือข้อมูลระดับความรอบรู้แห่งเทพที่ล่องลอยนับไม่ถ้วน
ข้อมูลเหล่านี้แพร่หลายไปทั่วโลกยุคบรรพกาล บางข้อมูลมีประโยชน์ บางข้อมูลก็ไม่มีระเบียบและขัดแย้งกันเอง แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ไหลบ่าเข้ามาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการบอกกล่าวข่าวสาร
บอกกล่าวผู้ที่มีคุณสมบัติในการใช้อำนาจเทพเจ้านี้ว่าจะใช้มันอย่างไร
ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่เป็นเจตจำนงที่สับสนวุ่นวายจากทะเลแห่งจิตสำนึกของทุกคนที่มีคุณสมบัติเข้าถึงอำนาจเทพเจ้านี้หลังจากยุคแรกเริ่ม
กระจัดกระจายออกไปตามสัญชาตญาณ
การทำความเข้าใจและควบคุมข้อมูลเหล่านี้ เป็นกระบวนการอันยาวนาน
และการมีคุณสมบัติที่จะใช้มันจนเชี่ยวชาญถึงแก่นแท้ จนกลายเป็นหนึ่งเดียวที่มีอำนาจเทพเจ้า กีดกันเทพเจ้าองค์อื่นจากคุณสมบัติการใช้งานอำนาจเทพเจ้านั้น
คือการเลื่อนขั้นอำนาจเทพเจ้าของเหล่าเทพเจ้า ในระดับหนึ่ง มันก็เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในระบบเทพเจ้าด้วย
“สิ่งมีชีวิตประเภทเทพอาจมองว่าเป็นกระบวนการสะสมพลังต้นกำเนิดเทพ เมื่อพลังต้นกำเนิดเทพเข้มข้นถึงระดับหนึ่ง ไฟเทวะจะถูกจุดขึ้นและกลายเป็นเทพเจ้า”
“ในเวลานี้ ด้วยการสั่งสมและความเข้าใจก่อนหน้านี้ ด้วยความรอบรู้แห่งเทพ หากสามารถเข้าใจอำนาจเทพเจ้าได้ในความมืดมน ก็แปลว่ามีคุณสมบัติที่จะใช้งานมัน”
“การฝึกฝนและเข้าใจแก่นแท้ของอำนาจเทพเจ้าคือเป้าหมายของระดับเพลิงเทวะ กระบวนการนั้นยากลำบากและอันตราย แต่เมื่อทำได้…ก็จะกลายเป็นแท่นเทวะ”
“เทพเจ้าทั้ง 3 แห่งนภาคิมหันต์ อาศัยการเลื่อนขั้นของแผ่นดินเทวะ กลายเป็นเทพสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ มองย้อนกลับไปตอนนี้ จุดสำคัญของพลังเลื่อนขั้นนี้ คือการช่วยให้เหล่าองค์ท่านเข้าใจแก่นแท้ของอำนาจเทพเจ้า”
“ตอนนี้ที่เส้นทางสู่แท่นเทวะได้เปิดออก นั่นหมายความว่าเหล่าองค์ท่านเข้าใกล้การบรรลุมากแล้ว และเกือบจะเข้าใจและเชี่ยวชาญในอำนาจเทพเจ้าของตนอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว”
“ส่วนจักรพรรดินี…ด้วยระดับเจ้าเหนือหัวขั้นสูงสุดครึ่งขั้น ประกอบกับดวงชะตาเผ่าพันธุ์ 1 ขั้นสู่แท่นเทวะ หมายความว่าองค์ท่านในเวลานั้น ได้ก้าวข้ามขั้นใช้งาน ไปสู่ขั้นควบคุมได้โดยตรง”
“การก้าวสู่แท่นเทวะในขั้นเดียวเป็นเรื่องยากมาก ต่อให้มีพรสวรรค์อันไร้ผู้ใดเทียบเทียม พลังบำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว ก็เป็นเพียงพื้นฐานในการบรรลุขั้นนี้เท่านั้น ตอนนี้ลองย้อนมองกลับไป จักรพรรดินีน่าจะเริ่มศึกษาอำนาจเทพเจ้ามานานแล้ว…บางที ดวงตะวันแสงอรุณก็อาจจะถือกำเนิดขึ้นด้วยเหตุนี้”
“ดังนั้น องค์ท่านจึงสามารถก้าวสู่แท่นเทวะได้ในขั้นเดียว”
“และเทพแท้จริงที่อยู่ถัดจากระดับแท่นเทวะ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเซียนคิมหันต์…จึงเป็นผู้เดียวที่ครอบครองอำนาจเทพเจ้า จึงมีคำว่า ‘แท้จริง’ อยู่ในชื่อด้วย”
สวี่ชิงบรรลุในใจ
ความกระจ่างเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาได้รับจากความรอบรู้แห่งเทพ อาจจะถูกต้อง แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีข้อผิดพลาดอยู่
แต่จะเป็นอย่างไรนั้น เขาต้องไปพิสูจน์ต่อไปในอนาคต
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาเคยแน่ใจ ตอนนี้ยิ่งแน่ชัดขึ้น
“สิ่งมีชีวิตประเภทเทพ เปรียบเสมือนมหาขั้นเตรียมสู่เทวะของผู้บำเพ็ญ”
“ระดับที่แตกต่างกันของไฟเทวะ เปรียบเสมือนระดับเจ้าเหนือหัวที่ต่างกันของผู้บำเพ็ญ”
“ส่วนแท่นเทวะ มีเพียงระดับเตรียมสู่มหาจักรพรรดิเซียนเท่านั้นที่สามารถต่อสู้ได้”
“และเทพแท้จริง นั่นคือคู่ต่อสู้ของเซียนคิมหันต์”
“เหนือจากเทพแท้จริง เหนือจากเซียนคิมหันต์ นั่นคือทิศทางที่ทั้ง 2 ระบบกำลังแสวงหา แต่น่าเสียดาย…เหนือเทพแท้จริงมีเส้นทางที่เรียกว่านายแห่งเทพอยู่”
“และเหนือเซียนคิมหันต์ ดูเหมือนจะไม่มีผู้บุกเบิก เส้นทางทั้งหมดต้องสำรวจด้วยตัวเอง ทิศทางจะแตกต่างกันไปตามพลังรากฐานที่แตกต่างกัน”
“เหตุผลที่เซียนคิมหันต์หายตัวไปในตอนนั้น คือการออกเดินทางไปแสวงหาเส้นทางการเลื่อนขั้นของตนเอง”
“ด้วยเหตุนี้เอง ท้องฟ้าจึงเต็มไปด้วยเทพเจ้า”
สวี่ชิงสูดหายใจลึกๆ ลืมตาขึ้น และจ้องมองไปที่หยกดำเบื้องหน้า
หยกดำนี้มีรอยแตกมากขึ้นในขณะนี้ และในที่สุดก็กลายเป็นผุยผงและสลายไปอย่างเงียบงัน
“น่าเสียดายที่อำนาจเทพเจ้าแห่งเสียงที่ข้ารู้แจ้งนั้น มีเทพเจ้าที่ครอบครองอำนาจเทพเจ้านี้มากเกินไป…นี่คืออำนาจเทพเจ้าที่กว้างขวางยิ่งนัก”
“และอำนาจเทพเจ้าเดียวกันนี้ ยิ่งมีผู้มีคุณสมบัติในการใช้งานมากเท่าไหร่ พลังก็ยิ่งถูกกระจายออกไป”
“แต่ในทางกลับกัน อำนาจเทพเจ้าอันไพศาลนี้ หากมีผู้เดียวที่ครอบครอง พลังของมันก็จะน่ากลัวอย่างยิ่ง”
สวี่ชิงครุ่นคิด ดวงตาที่เปิดขึ้นค่อยๆ ปิดลง ความคิดทั้งปวงจดจ่ออยู่กับอำนาจเทพเจ้าที่ 5 ในกองดิน
พลังต้นกำเนิดเทพในร่างกายของเขาพลุ่งพล่าน กลายเป็นค้อน และเคาะลงไปอีกครั้ง
เสียงเหมือนระฆังดังก้องอยู่ในสมองของสวี่ชิง ทว่าเสียงนี้ไม่ได้ส่งออกไปภายนอกร่างกาย
สิ่งที่ส่งออกไปมีเพียงคลื่นโปร่งใสที่ไม่สามารถรับรู้ได้
แผ่กระจายไปทั่วทิศทางโดยมีร่างกายของสวี่ชิงเป็นศูนย์กลาง ชั่วพริบตาก็แพร่กระจายออกจากซากเจดีย์ แพร่กระจายออกจากร่องลึกสมุทร ไปสู่ทะเลต้องห้ามอันกว้างใหญ่
ในพริบตาเดียว ก็ไปไกลถึงร้อยลี้
เสียงนับไม่ถ้วนในระยะร้อยลี้ ปรากฏขึ้นในความรอบรู้แห่งเทพของสวี่ชิงในชั่วพริบตานี้
มีเสียงน้ำไหล มีเสียงคำรามของสัตว์ร้าย มีเสียงหางปลาแกว่งไกว มีเสียงทรายเคลื่อนที่ไปตามกระแสน้ำวน…แม้แต่ทะเลต้องห้ามเอง ก็ส่งเสียงคล้ายเสียงหายใจออกมา
แปลกประหลาดและยาวนาน…
ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏขึ้นในความรอบรู้แห่งเทพของสวี่ชิง เขารู้สึกว่าตราบใดที่เขาต้องการ เสียงทั้งหมดนี้ก็จะถูกเขาใช้งาน
ดังนั้นในชั่วพริบตาต่อมา สรรพเสียงในระยะร้อยลี้ก็เงียบลงฉับพลัน
เสียงทั้งหมดถูกสวี่ชิงกำจัดออกไปและส่งออกไปไกลหลายร้อยลี้ในชั่วความคิดเดียว
อาศัยเสียงของพวกมัน ทำให้ระลอกคลื่นนั้นแพร่กระจายต่อไป
500 ลี้ 1,000 ลี้…
วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สวี่ชิงเหมือนเด็กที่เพิ่งได้ของเล่น พยายามเล่นของเล่นนี้ในรูปแบบต่างๆ ไม่หยุดพัก และพยายามทดสอบขีดจำกัดของตัวเองไปด้วย
เวลาผ่านไปเช่นนี้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาจากสวี่ชิงก็แพร่กระจายไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภายใต้การผลักดันครั้งแล้วครั้งเล่านี้
จนเกินขอบเขตการรับรู้ทางวิญญาณของสวี่ชิงก่อนหน้านี้ไปนานแล้ว
ในช่วงเวลานี้ อสูรทะเลนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตประเภทเทพจำนวนมากที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเล แม้แต่เรือบางลำบนผิวน้ำ ก็ปรากฏในใจของสวี่ชิง ทว่าพวกมันไม่รู้สึกผิดสังเกตเลยแม้แต่น้อยโดยไม่มีข้อยกเว้น
สวี่ชิงไม่ได้สนใจพวกเขาแม้สักเสี้ยว
ยังคงแผ่ขยายคลื่นต่อไป
จนกระทั่งภาพหนึ่งปรากฏขึ้นในความรอบรู้แห่งเทพของสวี่ชิง
พื้นที่ใต้ทะเลที่อยู่ห่างไกลจากที่ที่สวี่ชิงอยู่ไกลมาก ที่นั่นใกล้กับแดนต้องห้ามมรณะ ลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับที่ราบ
เวลานี้ บนที่ราบใต้ทะเลนี้ มีค่ายกลขนาดใหญ่น่าตกตะลึงอยู่ ซึ่งผ่านการจัดวางอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ที่ใจกลางของค่ายกล มีร่าง 2 ร่างนั่งขัดสมาธิอยู่
ร่างทั้ง 2 สวมเสื้อคลุมยาวสีเงิน ผิวที่เผยออกมาเป็นสีคล้ำเหมือนกับผิวของปลาหมึก
ไม่มีเส้นผม เครื่องหน้าคล้ายมนุษย์ เอาแต่นั่งขัดสมาธิ แต่ละร่างสูงถึง 10 กว่าจั้ง
แผ่พลังบำเพ็ญออกมา เป็นคลื่นความผันผวนของมหาขั้นเตรียมสู่เทวะระดับ 2 ขั้นสูงสุด
จากการแต่งกายพิเศษนี้และโครงสร้างของค่ายกล เห็นได้ว่าทั้ง 2 มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาเป็นกลุ่มผู้มาเยือนชุดเดียวกับพวกเฟิงหลินเทา
กลุ่มผู้มาเยือนจำนวนมากจากแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น กระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ ของดินแดนต้องประสงค์
พวกเขาทั้ง 2 ตกลงในทะเลต้องห้าม
และในช่วงเวลานี้ พวกเขาได้รวบรวมข้อมูลและทรัพยากรในทะเลต้องห้ามจนเพียงพอ ดังนั้นพวกเขาจึงวางค่ายกลนำทางที่นี่ เพื่อส่งสัญญาณไปยังท้องฟ้า
ตอนนี้พลังบำเพ็ญของพวกเขาแต่ละคนแผ่กระจายออกไป พวกเขาต้องการเพิ่มพลังของค่ายกล เพื่อพุ่งเป้าไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา
ต้องบอกว่าพวกเขาโชคดีมาก ตั้งแต่ที่ลงมาจนถึงตอนนี้ กระบวนการทุกอย่างราบรื่นมาก
พวกเขาแทบไม่ได้พบเจอกับอุปสรรคใดๆ แม้จะสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตประเภทเทพที่ทรงพลังบ้าง พวกเขาก็หลีกเลี่ยงได้ล่วงหน้าด้วยการสำรวจของพวกเขา
จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อทุกอย่างกำลังจะสิ้นสุดลง ทั้ง 2 คนจึงรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
แต่ในขณะนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงแตกหักดังออกมาจาก 1 ใน 2 คนนั้น
เสียงนี้มาจากแผ่นหยกที่เขาวางไว้เบื้องหน้า
แผ่นหยกนี้มีสีเข้มและมีลวดลายสัญลักษณ์ที่ซับซ้อน ทำจากหยกดำพิเศษ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา แผ่นหยกนี้ช่วยให้พวกเขาสำรวจตรวจจับอันตรายล่วงหน้าได้หลายครั้งโดยอาศัยการกะพริบของแผ่นหยก
แต่ในขณะนี้ แผ่นหยกนี้ดูเหมือนจะไม่สามารถกะพริบได้ และแตกออกกะทันหัน
ในชั่วพริบตา ผู้บำเพ็ญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 ก็ลืมตาโพลง ในขณะที่กำลังประหลาดใจนั้นเอง เสียงแตกหักของแผ่นหยกก่อนหน้านี้กลับไม่หายไป แต่กลับกลายเป็นพายุในชั่วพริบตา พัดไปทางพวกเขา
ทั้ง 8 ทิศทางสั่นสะเทือน ผู้บำเพ็ญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 สีหน้าเปลี่ยนไปทันที ถอยหลังไป และขยายการรับรู้ออกไป ตรวจสอบบริเวณโดยรอบ หนึ่งในนั้นยกมือขวาขึ้นทำปางมือ ชี้ไปข้างหน้า
ทันใดนั้นกระแสน้ำเชี่ยวก็โผล่ออกมาจากน้ำทะเลโดยรอบ ถูกเขาควบคุมให้กระจายออกไปใน 4 ทิศทาง ส่งเสียงดังก้องไปทั่ว ทำให้ทรายใต้ทะเลคละคลุ้ง สั่นสะเทือนหินดำทุกด้าน
ค้นหาอันตรายที่ซ่อนอยู่
แต่กลับไม่พบร่องรอยใดๆ
ขณะที่ทั้ง 2 กำลังตกตะลึงและสับสนยิ่งขึ้น ก็มีเหตุการณ์อันน่าตกใจปรากฏขึ้น เสียงทั้งหมดที่เกิดจากการกระทำก่อนหน้านี้ของพวกเขายังไม่จางหายไป
เช่นเดียวกับเสียงแตกของแผ่นหยก กลับกลายเป็นพลังประหลาด มีอานุภาพทำลายล้างอันน่าตกใจ พุ่งเข้าใส่คนทั้ง 2 อย่างกะทันหัน
เสียงคำรามดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
จิตใจของทั้ง 2 คนปั่นป่วน หนึ่งในนั้นส่งเสียงออกมาทันที
“มีเทพเจ้ากำลังจับจ้องเราอยู่!”
แม้แต่การส่งเสียง ยังคงสะท้อนก้องในเวลานี้ เมื่อเขาและสหายได้ยิน มันก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังสังหารประหลาดอีกครา ทำให้ทั้ง 2 หัวสั่นคลอน ใบหน้าซีดเผือด ท้องไส้ปั่นป่วน
ความหวาดกลัวเกิดขึ้นตามมาในใจ
“ที่นี่ถูกช่วงชิงเสียงไป!” ความตระหนักรู้นี้เกิดขึ้นในใจของพวกเขาพร้อมกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดต่อ ต่างมองหน้ากันอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นความตกตะลึงของกันและกัน พวกเขาไม่ลังเลที่จะหลบหนีขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
แต่ยิ่งหนีเร็วเท่าไหร่ เสียงที่เกิดก็ยิ่งดังขึ้นเท่านั้น กระแสน้ำก็เช่นกัน
ดังนั้นพลังสังหารอันแปลกประหลาดที่แปลงมาจากเสียงก็มาถึงตัวอีกครา
ก่อตัวเป็นเสียงกึกก้อง และเพิ่มพลังสังหารอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน ปลาทั้งหมดในบริเวณนี้ อสูรทะเลทั้งหมด แม้แต่ทราย สิ่งมีชีวิตจิ๋ว รวมถึงน้ำทะเลทั้งหมด ในขณะนี้ต่างมีเสียงของตัวเองในระดับที่แตกต่างกัน
บางเสียงสามารถได้ยินได้ บางเสียงหูไม่ได้ยิน แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีอยู่
ตอนนี้มันเหมือนกับว่าวงดนตรีแห่งทะเลต้องห้ามกำลังบรรเลงบทเพลงอันน่าตกตะลึง ดังกระหึ่มในคราวเดียวกัน
พลังสังหารยังคงทวีคูณขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับคลื่นยักษ์ ถาโถมเข้าใส่พวกเขาทั้ง 2 จากทุกทิศทาง รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เสียงคำรามดังขึ้นๆ
ผู้บำเพ็ญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 คน จิตใจสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ พ่นเลือดออกมา และกางโลกของตัวเองออกมา
มีทั้งของจริงและของปลอม ต่อต้านสิ่งประหลาด
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังได้นำของวิเศษเวทมากมายออกมา พยายามที่จะลบเสียงรอบๆ ตัวอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดหลังจากประสบกับอันตรายไม่รู้จบ ทนรับการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า เสื้อผ้าก็ขาดรุ่งริ่ง เนื้อหนังฉีกขาด
ในที่สุดก็พุ่งจากน้ำทะเล ขึ้นสู่ผิวน้ำ
แต่ยังไม่ทันได้ผ่อนคลายลมหายใจ
เสียงที่ดังและอึกทึกกว่าจากภายนอกมาถึงอย่างกะทันหัน
เสียงนกทะเลวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า
เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังตามผืนทะเล
เสียงลมพัดทุกหนทุกแห่ง
เสียงทั้งหมดจากทั่วทุกสารทิศระเบิดขึ้นพร้อมกันในเวลานี้ กวาดล้างทุกสิ่งด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่เคยมีมาก่อน
ราวกับสายฟ้า ในขณะที่ทั้ง 2 เพิ่งพุ่งตัวออกมา ก็ถูกห่อหุ้มไว้ข้างในทันที
เมื่อมองดูจากระยะไกล เสียงเหล่านี้ก่อตัวเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ ภายในมีระลอกคลื่นสาดกระทบต่อเนื่อง แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
เสียงหนึ่งดังขึ้น ก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน “พวกเจ้าทำอะไรอยู่ใต้ทะเล?”
เมื่อเสียงปรากฏขึ้น ร่างสีม่วงพลิ้วไหวราวกับเทพเจ้า ก็เดินเข้ามาในโลกตามเสียงนี้
ปรากฏอยู่นอกทรงกลมเสียงอันน่าสะพรึงกลัว จ้องมองด้วยสายตาราบเรียบไปที่ผู้บำเพ็ญทั้ง 2 ที่ตอนนี้ความตกตะลึงในใจของพวกเขาได้พุ่งทะลุฟ้าไปแล้ว
ส่วนคำถามนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องตอบ
เพราะในขณะที่ส่งเสียงออกไป เสียงนี้ได้รวมเข้ากับทรงกลมเสียง ดังก้องขึ้น
เมื่เข้าสู่โสตประสาทของผู้บำเพ็ญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 พวกเขาไม่ได้ยินสิ่งที่สวี่ชิงพูด มีเพียงเสียงพึมพำอื้ออึง
เสียงพึมพำนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่สะท้อนกลับไปกลับมาไม่หยุดหย่อน พลังแห่งโบราณกาลก็ส่งมาตามเสียงอื้ออึงนั้น แผ่กระจายไปทั่วร่าง แทรกซึมเข้าไปในจิตใจและแทนที่การรับรู้ของพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ยังช่วงชิงความคิดเรื่องเสียงของพวกเขาไปด้วย
ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตวิญญาณ แม้แต่ตัวตนก็ถูกถอดออกไป
คำตอบก็อยู่ในนั้นโดยธรรมชาติ
สวี่ชิงก้าวลงสู่ใต้ทะเล
ที่บนผิวน้ำ ทรงกลมเสียงกลายเป็นสีเลือดในขณะนี้ เสียงแตกร้าวดังขึ้น ผู้บำเพ็ญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 2 ที่อยู่ภายในนั้น ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณต่างดับสูญ
ทรงกลมเสียงสลายไป เสียงภายในนั้นม้วนเอาความอาฆาตของผู้บำเพ็ญที่ตายไป กลับคืนสู่ฟ้าดิน
สะอาดหมดจด
ส่วนที่ราบใต้ทะเล บนค่ายกลนั้น ร่างของสวี่ชิงก้าวเข้ามาทีละก้าว จ้องมองไปที่ค่ายกลนี้ ยกมือขึ้นโบก
ทันใดนั้นก็เกิดการพลิกผันขึ้นในที่แห่งนี้ ค่ายกลพังทลาย
สวี่ชิงส่ายหน้า
“แม้จะถูกทำลาย แต่สัญญาณถูกส่งออกไปก่อนหน้านี้แล้ว”
สวี่ชิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง หยิบแผ่นหยกออกมา ส่งเสียงบอกเรื่องนี้กับเขตปกครองผนึกสมุทรและหวงเหยียนและคนอื่นๆ ให้พวกเขาเตรียมพร้อมล่วงหน้า
จากนั้น ร่างของสวี่ชิงก็หายไป และยังคงสัมผัสรับรู้พลังเสียงของตัวเองต่อไปในทะเลต้องห้ามนี้ พร้อมกับค้นหารถศึกทองสัมฤทธิ์
7 วันต่อมา…
บนท้องฟ้าเหนือดินแดนต้องประสงค์มีดาวตก 7 ดวงปรากฏขึ้น แสงสว่างเจิดจ้าส่องประกาย ตกลงสู่ดินแดนต้องประสงค์
1 ในนั้น ตกสู่ทะเลต้องห้ามระหว่างมณฑลรับเสด็จราชันและทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ!
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)
