1145. หนึ่งเส้นผม
เส้นผมสีขาวพลิ้วไหวใต้สายรุ้งคือภาพที่สี่ผู้อาวุโสของสำนักต้นกำเนิดจะจดจำไปตลอดกาล กลิ่นคาวเลือดในอากาศและความผันผวนจากวิญญาณดั้งเดิมแตกสลายเป็นข้อบ่งชี้ว่าการต่อสู้นั้นเกิดขึ้นที่นี่
ชั่วพริบตาอันน่าอัศจรรย์นั่นแม้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแต่กลับปลิดชีวิตเซียนขั้นชำระสวรรค์ที่พวกเขาวางแผนต่อสู้จนตายไปแล้วสิ้น
ฉากเหตุการณ์นี้ประทับในจิตใจทั้งสี่คน
ในสายตาแต่ละคน ร่างชายผมขาวคนนั้นแม้จะดูเชื่องช้าแต่ในความเป็นจริงเขาพุ่งเข้าหาชายหนุ่มชุดม่วงบนอสูรวิญญาณดุจสายฟ้าฟาด
ชายหนุ่มชุดม่วงเผยเสียงกรีดร้องทั้งยังหวาดกลัวในใจ แม้จะเป็นเซียนขั้นมายาหยินแต่ด้วยสถานะอันสูงส่งเขาจึงไม่เคยเผชิญอันตรายเช่นนี้
เดิมทีเขาคิดว่ามันคงเป็นการเดินทางง่ายๆน่าสนุก คิดว่าด้วยการปกป้องของซ่งหวู่เต๋อและตำแหน่งปรมาจารย์น้อยแห่งสำนักเต๋าม่วง เขาสามารถทำอะไรตามที่ต้องการได้ในแผ่นดินระดับห้า!
แต่ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น จนกระทั่งตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าซ่งหวู่เต๋อจะถูกชายหนุ่มผมขาวผู้นี้สังหาร แม้แต่วิญญาณดั้งเดิมก็ไม่เหลือรอด
ชายหนุ่มผมขาวกลายเป็นอสูรดุร้ายที่สุดในโลกสำหรับเขา ร่างนั้นใกล้เข้ามาจนทำให้ต้องกรีดร้องเสียงดังยิ่งขึ้น
“ข้าเป็นปรมาจารย์น้อยแห่งสำนักเต๋าม่วง หากเจ้าฆ่าข้า พ่อข้า ‘ลั่วหยุนคง’ จะล้างบางทั้งแผ่นดินโม่หลัว!” เขาไม่เคยหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน เงาชายหนุ่มผมขาวใกล้มากขึ้นและทดแทนทุกอย่างในสายตา
อสูรวิญญาณทมิฬกำลังสั่นเทาใต้ฝ่าเท้าและล่าถอยอย่างต่อเนื่อง เจ้าอสูรวิญญาณมีสติปัญญาและหวาดกลัวหวังหลินไม่น้อยกว่าเจ้านายของมันเลย
ชายหนุ่มชุดม่วงดูเหมือนหวาดกลัวจนบ้าคลั่งไปแล้วและร้องตะโกนแหกปาก “หากเจ้ากล้าทำร้ายข้า สำนักเต๋าม่วงจะไล่ล่าเจ้าไปตลอดชีวิต!!” แขนขวาสัมผัสกระเป๋านำเอาดอกบัวดำออกมา
ดอกบัวดำสนิทเบ่งบานดูชั่วร้าย มันส่งแสงประหลาดออกมาห่อหุ้มใบหน้าชายหนุ่ม ขณะที่กำลังจะใช้สมบัติที่พ่อให้มา ดัชนีหนึ่งปรากฏเบื้องหน้า มันอ่อนโยนแต่ประทับลงกลางคิ้วเขาทันที
ปัง!
ชายหนุ่มกระอักโลหิต ทัศนวิสัยพร่ามัว โลหิตสองสายไหลออกมาจากดวงตา ร่างกายปลิวว่อนดุจว่าวสายป่านขาด เสียงปะทุรุนแรงสะท้อนออกมาจากร่าง หมอกโลหิตจำนวนมากโผล่ออกมาและย้อมท้องฟ้าให้แดงฉานเป็นฉากเหตุการณ์น่าตื่นตะลึง
ดวงวิญญาณแตกสลาย วินาทีนั้นเขารู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นกระดอน ร่างกายกำลังลอยอยู่ในอากาศ อัตราการเต้นหัวใจอ่อนแอลงเรื่อยๆราวกับเขามีโลกสองใบ เสียงหัวใจเต้นค่อยๆจางลงจนกระทั่งเขาไม่ได้ยินมัน
นาทีนี้ศิษย์สายตรงของสี่ผู้อาวุโสก็มาถึงและสิ่งที่เขาเห็นคือร่างย้อมโลหิตผู้หนึ่งร่วงหล่นออกมาจากอสูรวิญญาณ เขาระเบิดกลายเป็นก้อนเลือดเนื้อก่อนจะร่วงหล่นจากท้องฟ้า
หมอกโลหิตอยู่ใต้สายรุ้ง ร่างผมขาวนั้นสลักเข้าไปในจิตใจแต่ละคน
ซิ่วหยุนจ้องมองร่างตรงหน้านางและสั่นเทาเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากล่าง แววตาเผยแสงประหลาด
ชายหนุ่มชุดม่วงตาย ร่างแตกสลาย วิญญาณดั้งเดิมหายไปเหมือนลุงตนเอง ดอกบัวสีดำและกระเป๋าตกอยู่ในมือหวังหลิน
หากคนที่ชายหนุ่มชุดม่วงคุกคามไม่ใช่หวังหลินและเป็นชนเผ่าเดิมของแผ่นดินระดับห้า เมื่อนั้นอาจจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเฉพาะสำนักที่อ่อนแอกว่าสำนักเต๋าม่วง แม้จะมีแรงกระตุ้นแต่ก็ต้องลังเลและจับชายชุดม่วงไว้ในตอนท้าย พวกเขาไม่กล้าสังหารหรอก
นอกจากนี้ภายในแผ่นดินระดับห้า สำนักเต๋าม่วงทรงพลังพอจะเป็นยอดสำนักติดหนึ่งในสิบ สิ่งสำคัญที่สุดคือชื่อเสียง “ลั่วหยุนคง!” นั้นเป็นคนที่พรสวรรค์อย่างมาก ภายในแผ่นดินระดับห้าเขาถือว่ามีชื่อเสียงที่สุด!
อย่างไรก็ตามภัยคุกคามทั้งหมดนี้ไร้ประโยชน์ต่อหน้าหวังหลิน ก็แค่ลั่วหยุนคง ก็แค่สำนักเต๋าม่วงที่ไม่มีค่าพอจะเป็นภัยคุกคามหวังหลินเสียด้วยซ้ำ!
ไม่ว่าจะเป็นเทพสายฟ้าแห่งดาราจักรทุกชั้นฟ้า จักรพรรดิวิหคเพลิง ศิษย์ข้ามรุ่นของจักรพรรดิป๋ายฟ่าน ศิษย์น้องของขุนนางเทพฉิงชุ่ย หรือศิษย์ของจักรพรรดิเทพฉิงหลินที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหนมันก็ยังมีน้ำหนักมากกว่าที่สำนักเต๋าม่วงจะเทียบได้
ประสบการณ์การบ่มเพาะฝึกเซียนมากกว่าพันปีของหวังหลินไม่ใช่สิ่งที่อัจฉริยะเช่นลั่วหยุนคงจะเทียบเคียง ภัยคุกคามจากสำนักเต๋าม่วงเป็นเรื่องตลก แม้แต่เส้นผมสักเส้นบนร่างต้าเสินก็ยังเทียบไม่ได้!
เพียงแค่โบกมือขวา อสูรวิญญาณยักษ์ที่กำลังสั่นเทาได้สูญเสียเจ้านายไปเรียบร้อย มันไม่กล้าต่อต้านเลย
ท้องฟ้าสว่างอยู่แล้ว วันใหม่มาถึงพร้อมกับรุ่งอรุณของแสงอาทิตย์ สายรุ้งไม่พร่ามัวอีก มันชัดเจนและสว่างไสวข้ามผ่านท้องฟ้า ปลดปล่อยแสงอ่อนๆห่อหุ้มโลกทั้งใบ ห่อหุ้มแผ่นดินรวมไปถึงทัศนวิสัยของศิษย์ทั้งหมดแห่งสำนักต้นกำเนิด
เส้นผมสีขาวของหวังหลินพลิ้วไหว เพียงคราเดียวเขาก็หายตัวไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีเซียนคนไหนจากสำนักต้นกำเนิดเห็นใบหน้าหวังหลิน พวกเขาเห็นแต่ร่างผู้แข็งแกร่ง เส้นผมยาวสีขาวเท่านั้น
รอบด้านเงียบสนิทโดยสิ้นเชิง ทุกคนถอนหายใจอย่างหนักหน่วง เหล่าผู้อาวุโสนอกจากหลิวหยานเฟยต่างก็มองหน้ากันเองด้วยความตกตะลึง เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ความสิ้นหวังและความเศร้าถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
“เขา…เขาเป็นใคร?!”
“ทำไมผู้อาวุโสคนนั้นถึงช่วยสำนักต้นกำเนิด?”
“ฆ่าซ่งหวู่เต๋อในพริบตา เขา…ระดับบ่มเพาะอะไรกัน?”
“เขามีผมสีขาว!” หลิวหยานเฟยเอ่ยเสียงเบา จากนั้นเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มแบบนี้ไม่ปรากฏขึ้นอีกเลยนับตั้งแต่อาจารย์บาดเจ็บสาหัส
รอยยิ้มนางเสมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เป็นความยินดีที่พูดออกมาไม่ได้และน่ารักปนความสุข
ศิษย์พี่ผู้อาวุโสทั้งสามของนางมองตรงหวังหลินหายไปอย่างครุ่นคิด พวกเขาตกตะลึงอยู่ในใจจนไม่สามารถสงบจิตใจลงได้
หลังผ่านความเงียบไปสักพัก ศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสก็เอ่ยเสียงเรียก พวกเขาเปลี่ยนกลายเป็นสายรุ้งกลับคืนสู่สำนักพร้อมกับสี่ผู้อาวุโส
“สำนักเต๋าม่วงจะไม่ยอมนั่งอยู่เฉยๆแน่ตอนที่ได้ยินเรื่องการตายของซ่งหวู่เต๋อและชายหนุ่มชุดม่วงคนนั้น…” หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสระงับความตกตะลึงในใจและสื่อสารความคิดกับผู้อาวุโสที่เหลืออีกสามคน
“ก่อนอาจารย์ตาย เขาบอกว่า ‘เหนือ’ และ ‘ผมขาว’ ผู้อาวุโสคนนั้นมีผมสีขาวและบางทีอาจจะเป็นคนที่อาจารย์กล่าวถึง บางทีสำนักต้นกำเนิดของเรายังไม่ถึงจุดสิ้นสุด!”
“แล้วผู้อาวุโสคนนั้นเป็นใครเล่า? เขาเป็นคนของสำนักต้นกำเนิดเราหรือ? ข้าสังเกตคนธรรมดา 31 คนแต่ไม่พบอะไรเลย”
“หากเขาช่วยเราครั้งนึงอาจจะช่วยเราในครั้งที่สอง!” หลิวหยานเฟยมีสัมผัสวิญญาณมุ่งมั่นซึ่งทำให้อีกสามคนขบคิดเงียบๆ
“เมื่อผู้อาวุโสคนนี้ไม่ต้องการให้เรารู้ การค้นหาถือเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะ” หลิวหยานเฟยดวงตาส่องสว่างและยิ้มขึ้นอีกครั้ง แขนขวาสัมผัสกระเป๋าส่งพลังเข้าไปทำลายภาพวาดอันเก่า
ใช้เวลาไม่นานผู้คนของสำนักต้นกำเนิดก็กลับมาที่สำนัก ทั้งหมดกระจัดกระจายและเต็มไปที่ความตื่นเต้น หลิวหยานเฟยไม่ได้กลับตำหนักในภูเขาทิศใต้ของตัวเองแต่ไปที่ลานสมุนไพรพร้อมกับซิ่วหยุน
สองหญิงสาวต่างก็มีเสน่ห์ยิ่ง เมื่อยืนด้วยกันช่างเป็นภาพน่าชวนมอง ศิษย์บางคนที่เห็นทั้งคู่ไกลๆถึงกับตกอยุ่ในภวังค์ อย่างไรก็ตามเมื่อคิดถึงตำแหน่งของหลิวหยานเฟย พวกเขาจึงต้องรีบตื่นและเข้าไปทักทาย แต่ยังไงก็ถูกซิ่วหยุนกีดกัน เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ไปรบกวน
“อาจารย์ เขา…เขาอาศัยอยู่ที่นี่” ซิ่วหยุนหัวใจเต้นกระดอนขณะที่พูดกับอาจารย์ตนเอง
ภายในหมอกดวงดาวของเขตแดนระดับห้า มีแผ่นดินสีม่วงซึ่งมีขนาดเป็นสามเท่าของแผ่นดินโม่หลัว มองไกลๆมันเหมือนกับอสูรดุร้ายขดตัวจ้องมองท้องฟ้าอย่างเยือกเย็น
สิ่งที่แตกต่างชัดเจนจากแผ่นดินโม่หลัวคือสถานที่แห่งนี้มีหอคอยทมิฬขนาดใหญ่สี่แห่งเรืองแสงอ่อนโยนอยู่ทุกหัวมุมแผ่นดิน
ณ ตอนนี้หมอกดวงดาวเริ่มหมุนวนตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง อสูรรูปร่างเหมือนพยัคฆ์ขนาดพันฟุตพุ่งออกมาจากสายหมอก จ้องมองแผ่นดินสีม่วงด้วยดวงตาเกลียดชัง มันทั้งยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนของพยัคฆ์สาวออกมาจากแผ่นดินแห่งนั้น
มันร้องคำรามเคลื่อนไหวดุจสายฟ้าเข้าหาพื้นดิน
เคลื่อนไปบนพื้นดินในพริบตา กระแทกใส่ม่านแสงรอบแผ่นดินม่วงจนม่านพลังกะพริบรุนแรง
อสูรรูปร่างพยัคฆ์ส่งเสียงร้องคำรามอีกครั้งและพุ่งออกไปอีก ทว่าคราวนี้ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ ข้างในเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีทองแกมม่วง เขาดูสมสง่า สายตาลึกล้ำ ใบหน้ามืดมนเล็กน้อย
เขาทะลวงผ่านม่านพลังและปรากฏตัวท่ามกลางดวงดาวจนเห็นแต่เพียงภาพลวงตา เพียงสะบัดมือคราเดียวปรากฏแสงสีม่วงล้อมรอบเจ้าพยัคฆ์ตัวนั้นไว้
“หลอม!” น้ำเสียงเย็นเยียบดังกึกก้อง แสงสีม่วงล้อมรอบอสูรดุร้ายเปลี่ยนมันกลายเป็นเตาหลอมยักษ์ เสียงคำรามโหยหวนดังออกมาแต่ค่อยๆเลือนหายไป
“ยินดียิ่งท่านจ้าวสำนัก ท่านล่อลวงอสูรพยัคฆ์ดวงดาวมาได้อีกตัว การหลอมกระบี่กระดูกพยัคฆ์ของท่านคงใช้เวลาไม่นานแล้ว!” เสียงหัวเราะดังออกมา จากนั้นร่างชายชราสวมชุดคลุมเดียวกันปรากฏขึ้นข้างๆ
…………………..