1146. ความหวังของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า
“ข้ายังขาดอีกเก้า แต่ว่าพยัคฆ์ดวงดาวในพื้นที่แถบนี้หมดแล้ว ข้าต้องออกไปให้ไกลขึ้น…” ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มซุกซนแต่ก่อนที่เขาจะพูดต่อ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป ยกแขนขวาขึ้นมายื่นออกไปสร้างเป็นรอยแยกสู่มิติเก็บของ หินหยกชิ้นหนึ่งลอยออกมาและแตกเป็นเศษดวงวิญญาณในทันที
เศษดวงวิญญาณข้างในเป็นรูปลั่วป๋อ ก่อนตายดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและหายวับไปต่อหน้าต่อตาเขา
“ปรมาจารย์น้อย!!” รอยยิ้มของชายชราชุดม่วงหายไป เต็มไปด้วยความตกใจ
ชายวัยกลางคนเฝ้าดูดวงวิญญาณหายไป เขาไม่เคลื่อนไหวอันใดและหลับตาลงอย่างช้าๆ
ชายชราด้านข้างตกตะลึง เขามองดูจ้าวสำนักและจิตใจสั่นเทา เขาติดตามจ้าวสำนักมาหลายปี รู้ว่ายิ่งจ้าวสำนักเยือกเย็นแค่ไหนยิ่งมีพายุรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
“ลั่วป๋อไปที่ไหน?” หลังจากผ่านไปสักพัก ชายวัยกลางคนก็ลืมตาขึ้นมา ในแววตามีร่องรอยแห่งความเศร้าแต่น้ำเสียงสงบนิ่งดุดัน
ชายชราโค้งตัวและเอ่ยอย่างเคารพ “ปรมาจารย์น้อย…ไปที่แผ่นดินโม่หลัว” เขายังคงตกตะลึงและยังไม่สงบนิ่ง ไม่เข้าใจว่าใครในเขตระดับห้าถึงกล้าสังหารปรมาจารย์น้อยลั่วป๋อและกล้าเสี่ยงสู้กับลั่วหยุนคงแห่งสำนักเต๋าม่วง!
“แผ่นดินโม่หลัว สำนักต้นกำเนิด…ทำไมถึงไม่มีใครบอกข้าเรื่องนี้?” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงสงบนิ่งแต่เมื่อมันร่อนถึงหูชายชรา เขาถึงกับสั่นเทา นึกอะไรบางอย่างได้และใบหน้าซีด
“ปรมาจารย์น้อย เขา…”
“ขณะที่เป็นเซียน เขายังล่อลวงสาวงามและมีท่าทีโอหัง ใช้ตำแหน่งปรมาจารย์น้อยแห่งสำนักเต๋าม่วงย่ำยีศิษย์สตรีหลายสำนัก เขาทำอีกหลายอย่างเช่นการดูดพลังหยินต้นกำเนิดพวกนาง…” ไม่รอให้ชายชราเอ่ยจบ ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะและดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเอง
“จ้าวสำนัก…” ชายชราหน้าซีด
“ใครไปแผ่นดินโม่หลัวกับเขา? น่าจะเป็นซ่งหวู่เต๋อ เด็กนั่นเติบโตขึ้นภายใต้การดูแลของซ่งหวู่เต๋อ บางทีสำหรับเขาแล้วซ่งหวู่เต๋อเป็นเหมือนพ่อคนที่สอง เขาไปที่แผ่นดินโม่หลัวเพราะหวังว่าจะได้หลิวหยานเฟยของสำนักต้นกำเนิด เขาใช้โอกาสที่ไอ้เฒ่ากระดูกผุนั่นตายไปเพื่อทำให้สำนักต้นกำเนิดอยู่ภายใต้กำมือ…”
ชายชราขบคิดเงียบๆ ตามที่เขารู้มาทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้าวสำนักพูดเป็นเรื่องจริง
ชายวัยกลางคนเงยศีรษะขึ้นมองออกไปที่หมอกดวงดาวเบื้องหน้า ขบคิดเงียบๆอยู่เล็กน้อย หันกลับมาเดินเข้าหาแผ่นดินสีม่วง
“เจ้าเด็กใช้การไม่ได้นั่นตายไปถือว่าหายนะในโลกลดไปหนึ่งคน…อย่างไรข้าก็ยังเป็นพ่อเขา เมื่อเขาชอบแม่นางหลิวหยานเฟยนั่นก็ให้นางตายไปพร้อมกับเขาซะ…ส่วนคนที่ฆ่าเขาก็จงถูกฝังไปพร้อมกันด้วยเลย” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“เมื่อก่อนเขาไม่ใช่แบบนี้…” ร่างเขาเยือกเย็นยิ่งขึ้น
ชายชราท่าทางซีดเผือดมากกว่าเดิม ลังเลอยู่ชั่วครู่ กัดฟันแน่นพูดออกมา “ท่านจ้าวสำนัก ก่อนที่ปรมาจารย์น้อยจะออกไป ข้าได้ยินซ่งหวู่เต๋อพูด…พูดว่าปรมาจารย์น้อยจะไปทะเลเมฆาม่วงเพื่อไปเอาธงหยินสวรรค์ที่สำนักเต๋าม่วงทิ้งเอาไว้ หลังจากได้วิญญาณดั้งเดิมของหลิวหยานเฟยมาเขาจะใช้วิญญาณสตรีที่เก็บมาไว้ทั้งหมดมาบำรุงเทพหยิน”
ร่างชายวัยกลางคนหยุดกึก ความสงบนิ่งพังทลายลง เผยความโกรธเกรี้ยวมหึมาแต่มีสัมผัสความหวาดกลัวและตื่นตระหนกเต็มไปทั่วร่าง
“ไอ้เด็กเนรคุณ!!”
ณ แผ่นดินโม่หลัว สำนักต้นกำเนิด
หลิวหยานเฟยมองดูบ้านธรรมดาอย่างเงียบๆ นางลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในลาน ซิ่วหยุนติดตามมาอย่างเคร่งเครียด นางได้ยินเสียงหัวใจเต้นดังระรัวอย่างชัดเจน
ประตูบ้านของหวังหลินปิดอยู่ หลิวหยานเฟยและซิ่วหยุนยื่นอยู่นอกประตูท่าทางเงียบๆ
ผ่านไปสักพักหลิวหยานเฟยกัดริมฝีปากและเอ่ยออกไปเบาๆ “ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ที่นี่!” น้ำเสียงสงบนิ่งดังออกมาจากบ้านและเข้าสู่โสตประสาท ทั้งสองตกตะลึงราวกับไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้
ความจริงแล้วเมื่อนานมาก่อนในดาราจักรพันธมิตรเซียน สตรีนางหนึ่งก็ถามเช่นนี้และได้รับคำตอบแบบเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นร่างดั้งเดิมหรือร่างอวตาร ทั้งสองต่างก็คือหวังหลิน
หลิวหยานเฟยเผยรอยยิ้มน่ารัก นางโค้งคำนับเข้าหาบ้านและเอ่ยเสียงเบา “ครั้งนึงอาจารย์พูดว่ามีอาจารย์ลุงนามหลิวจื่อฮ่าว ตามที่อาจารย์เล่ามา อาจารย์ลุงหลิวจื่อฮ่าวมุ่งเน้นฝึกฝนเต๋า นอกจากเรื่องที่เขาหายตัวไปแล้ว เขาไม่เคยออกไปจากแผ่นดินโม่หลัวมาก่อน เขาไม่เคยเข้าไปในสำนักหลักหรือมีสหายคนอื่นๆ มีคนไม่มากนักในสำนักที่จดจำเขาได้”
“แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งสามคนของข้าก็ไม่เคยเห็นเขา ผู้น้อยเห็นแต่เพียงรูปภาพและอาจารย์เป็นคนให้ข้าดู เขามอบภาพไว้…เพราะอาจารย์ลุงคือบรรพชนของตระกูลหลิวของข้า”
“ภาพเสมือนนี้เก่าแก่เกินไปและขาดรุ่งริ่ง ระหว่างทางกลับมามันก็ถูกทำลายไปแล้ว”
หลังกล่าวเช่นนี้ หลิวหยานเฟยจากไปด้วยรอยยิ้ม ซิ่วหยุนงุนงงกับคำพูดของอาจารย์ นางไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงพูดแบบนั้นออกไป
หวังหลินนั่งอยู่บนเตียงจ้องมองดอกบัวสีดำในมือขวา เงยศีรษะขึ้นมา ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า สายตาดูเหมือนจะสามารถมองทะลุบ้านและร่อนลงตรงจุดที่หลิวหยานเฟยกำลังจากไป
ร่างหลิวหยานเฟยสั่นเทาแต่นางไม่หยุด นางประคองความสงบนิ่งและเดินออกไปนอกลาน
“ช่างเป็นสตรีฉลาดนัก!” หวังหลินถอนสายตา นอกจากตอนที่นางพูดกับเขาบนภูเขา ทั้งสองไม่เคยติดต่อกันมาก่อน แต่นางกลับวิเคราะห์จากรายงานของลูกศิษย์ตัวเองได้อย่างคาดไม่ถึง จากการสนทนาบนภูเขาและการที่เขาฆ่าซ่งหวู่เต๋อกับลั่วป๋อ
ซิ่วหยุนอาจไม่เข้าใจคำพูดของนาง แต่หวังหลินเจ้าแผนการจึงเข้าใจอย่างชัดเจน หลิวหยานเฟยมั่นใจว่าเขาคือคนผมขาว ในความคิดนางนั้นคนที่มีระดับบ่มเพาะแบบเขาซ่อนตัวในสำนักต้นกำเนิดหมายความว่าเขาทำอะไรบางอย่างในสำนักอยู่หรือไม่ก็ซ่อนตัวจากศัตรู
อย่างไรก็ตามหลิวหยานเฟยไม่คิดว่าเขามีอะไรต้องการอีก ดังนั้นนางจึงมั่นใจว่าหวังหลินกำลังซ่อนตัวจากศัตรู
ดังนั้นหากหวังหลินต้องการอยู่ในสำนักต่อไป เขาจำเป็นต้องแสดงตัวตนเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย สิ่งที่หลิวหยานเฟยพึ่งพูดไปคือการระบุตัวตนให้หวังหลิน ส่วนศัตรูของหวังหลินนั้น นางเลือกไม่สนใจอย่างชัดเจน
หวังหลินพบเจอมาหลายคนในชีวิตแตไม่เคยเจอหญิงใดที่ฉลาดแบบนี้ ต่างจากหลิวเหมยที่ไม่เคยแสดงอารมณ์ความรู้สึก แตกต่างจากความโอหังของผีเสื้อสีแดง แตกต่างจากความอ่อนโยนของลี่มู่หวาน นางฉลาดมีปัญญาที่ไม่มีใครเทียบ!
หลังขบคิดเล็กน้อย หวังหลินเผยรอยยิ้มและพึมพำ “หลิวจื่อฮ่าว…ชื่อนี้ข้าจะใช้เป็นที่หยั่งรากในดาราจักรทะเลเมฆา!”
เหตุผลที่หวังหลินให้ความสนใจต่อตัวตนของตัวเองก็เพราะประสบการณ์ในดาราจักรทุกชั้นฟ้า หวังหลินไม่ได้สังเกตว่าในท้ายที่สุดชื่อเสียงเขาก็จะเผยต่อเซียนที่แข็งแกร่งทั้งหมด นี่ทำให้เขาไม่สะดวกอย่างมาก อีกทั้งผู้ทรงอำนาจก็ต้องคิดปฏิเสธคนที่ไม่ได้เป็นของดาราจักรแห่งนี้
ในอีกทางหนึ่งด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงยากยิ่งในการต่อกรปัญหาเกี่ยวกับตัวตน แม้ปัญหานี้ไม่ได้แก้ไขอย่างสมบูรณ์แต่มันก็ยังมีทางให้เขาแก้อยู่
พอไม่คิดเรื่องนี้อีก หวังหลินวางแขนบนดอกบัวสีดำ จากนั้นส่งสัมผัสวิญญาณแพร่กระจายออกไปเริ่มศึกษา หากดอกบัวดำเป็นแค่สมบัติเขาคงไม่ให้ความสนใจมันมากนัก ทว่าขณะที่ตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณเขากลับประหลาดใจที่พบว่าดอกบัวนี้เป็นต้นไม้จริงๆ
มีค่ายกลแห่งกฎง่ายๆถูกเพิ่มมาเป็นผนึก
“ดาราจักรทะเลเมฆาน่าประหลาดนักที่มีสมบัติแบบนี้สร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติ หากผนึกบนดอกบัวแตกหัก เมื่อนั้นมันจะสามารถสร้างการป้องกันอันแข็งแกร่งได้ ช่างน่าสนใจ” หลังจากตรวจสอบหวังหลินเก็บดอกบัวลงไป หยิบกระเป๋าของลั่วป๋อออกมา
ลั่วป๋อมีของเบ็ดเตล็ดหลายอย่างมากในกระเป๋า นอกจากเม็ดยาและอาวุธที่กระจัดกระจายกันแล้วยังมีอีกสามอย่างที่ทำให้หวังหลินสนใจ
ขวดสีม่วงสนิท ธงสีทองผืนเล็กและก้านธูปขนาดเท่าแขนเด็ก ส่วนหินหยกสวรรค์มีอยู่น้อยนิดไม่ถึงร้อยก้อน
“น่าเสียดาย หลังจากบรรลุขั้นชำระสวรรค์ก็ไม่มีใครใช้กระเป๋าอีก มิติเก็บของนั้นทำให้คนนอกไม่สามารถค้นดูได้ถึงแม้จะตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเซียนขั้นชำระสวรรค์อาจจะมีสมบัติและเม็ดยาดีๆให้ข้า” หวังหลินส่ายศีรษะพลางหยิบธงสีทอง มาตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ สีหน้ากลับกลายเป็นมืดมัว
ธงเล็กๆผืนนี้เต็มไปด้วยพลังงานหยิน ขณะที่หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณทะลุเข้าไปเขาก็พบวิญญาณหยินของหญิงสาวมากกว่าร้อยคนทันที หญิงสาวทั้งหมดสวยงาม บางคนถึงกับหาที่เปรียบไม่ได้
อย่างไรก็ตามสตรีทั้งหมดนี้ดูน่าสงสาร พวกนางถูกผนึกไว้ข้างในและไม่สามารถหนีออกไปได้ มีวิญญาณอสรพิษอยู่ข้างในที่ดูเหมือนกำลังจะกลืนกินสตรีเหล่านี้ วินาทีที่สัมผัสวิญญาณหวังหลินกวาดผ่านดูเหมือนมันตกตะลึงจนตื่นจากการหลับใหลและปลดปล่อยกลิ่นอายน่าหวาดกลัวออกมา แม้แต่หวังหลินยังต้องขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายนี้
“นี่มัน…” จิตใจหวังหลินสั่นเทารวม สัมผัสวิญญาณถอยออกมาจากการโจมตีวิญญาณอสูร เขาจ้องธงสีทองและรูม่านตาหดลง
“กลิ่นอายหยินสุดขั้ว!!!” หวังหลินพลันยืนขึ้นทันที ความสงบนิ่งกลายเป็นกระวนกระวาย อารมณ์รุนแรงตีเข้าใส่และสูดหายใจลึกหลายครั้ง
“น่าเสียดายที่มันไม่สมบูรณ์ มีเพียงแค่ร่องรอยหยินสุดขั้วเท่านั้น อย่างไรก็ตามวิธีการเลี้ยงมันถือว่าผิดมหันต์ มันเทียบไม่ได้กับหยางสุดขั้วของเทียนหยุนที่สร้างขึ้นโดยใช้ป๋ายเว่ย หยินสุดขั้วนี้คุณภาพแย่เกินกว่าจะมาเปรียบเทียบ…อย่างไรเสียมันก็ยังมีเศษเสี้ยวหยินสุดขั้ว!!” หวังหลินแตะตรงกลางหน้าผาก หลังจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ารวบรวมธาตุทั้งห้าได้เสร็จสิ้น มันต้องการหยินหยาง เขาได้หยางสุดขั้วมาจากป๋ายเว่ยแล้วและขาดแต่เพียงหยินสุดขั้วเพื่อทำให้ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งที่สองอีกครั้ง!
……………………………………