1199. เสาะหาเต๋า
ขณะที่คนทั้งสามมาถึงในดินแดนเจ็ดสี หมอกเจ็ดสีรอบๆตัวปรมาจารย์คังจงซื่อค่อยๆเข้าใกล้เขาจนห่อหุ้มรอบดวงวิญญาณดั้งเดิมอย่างสมบูรณ์
ลำแสงสีขาวหลายเส้นโผล่ออกมาจากรูปปั้นและเข้าสู่หมอกเจ็ดสีเพื่อผสานกับวิญญาณดั้งเดิม
ร่างของปรมาจารย์คังจงซื่อเริ่มก่อตัวอีกครั้งอย่างไม่คาดคิดจนกลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ร่างกายส่งแสงกะพริบอีกหลายครั้ง อักขระแสงเจือจางปรากฏบนหน้าผาก
ทันใดนั้นลืมตาขึ้นและเผยสายตาอันมืดมน
‘เขาบังคับให้ข้าต้องทำแบบนี้ หากข้าไม่แก้แค้น ข้าไม่ใช่คน!’ พลันกระโจนไปข้างหน้า เปลี่ยนกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป ทะลุผ่านสายหมอกและเหาะเหินเข้าหาภูเขา
‘เซียนหลิวนั่นได้รับบาดเจ็บจากลิ่มเจ็ดสีของข้า ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้ตายก็กำลังตายอยู่ ข้าแค่ไม่รู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน…แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร หากข้าต้องการรู้ ข้าสามารถหาได้ง่ายๆ!’ ปรมาจารย์คังจงซื่อเยาะเย้ย พลางยื่นแขนขวาออกไปเปิดมิติเก็บของ ลูกปัดหนึ่งลอยออกมา
“อัญเชิญ ผู้ฝืนชะตา!” ปรมาจารย์คังจงซื่อกัดปลายลิ้นและพ่นโลหิตใส่บนลูกปัด ลูกปัดเริ่มดูดซับแสงเจ็ดสีและจากนั้นแตกสลาย กลิ่นอายทรงพลังปรากฏขึ้นมาและมีเงาพร่ามัวผุดขึ้นในโลกนี้ด้วย
รูปลักษณ์ของเขามิอาจมองเห็นแต่สายตากระจ่างชัดเจนราวกับสามารถมองทะลุสวรรค์ได้ ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาเขา หากเขามองไปที่เจ้า เจ้าคงรู้สึกเปลือยเปล่าราวกับความลับทั้งหมดถูกเปิดเผย
คังจงซื่อเอ่ยถามร่างอันพร่าเลือน “เขาอยู่ไหน?”
ร่างนั้นหลับตาอยู่สักพัก หลังจากนั้นลืมตาขึ้นมามองไปที่ปรมาจารย์คังจงซื่อ คังจงซื่อสั่นสะท้าน รูปภาพหลายอย่างปรากฏขึ้นในหัว หลังจากเห็นภาพพวกนั้นเขาจึงขมวดคิ้ว!
‘ถ้ำของซือหม่าโม่! เขาสามารถทะลวงเขตอาคมของถ้ำได้ขณะที่บาดเจ็บสาหัสน่ะหรือ?’ สายตาของคังจงซื่อกะพริบเย็นเยียบและมุ่งหน้าไป
ณ ถ้ำของซือหม่าโม่ หวังหลินไม่ได้ใช้พลังงานไปกับการปรุงยา เขาทำความสะอาดถ้ำแห่งแรก หลังจากวางเขตอาคมจำนวนมากเอาไว้และขยายถ้ำออกไป เขาจึงปลดปล่อยอสูรยุง
ราชายุงดุร้ายขึ้นมาก หลังจากบินออกมามันใช้สายตาเย็นเฉียบมองหวังหลินด้วยความมุ่งมั่น ความคิดจิตใจเชื่อมต่อกับของหวังหลินดังนั้นจึงรู้แผนของหวังหลินแล้ว มันส่งเสียงซี่ๆออกมาเบาๆ
หวังหลินขบคิดเงียบๆอยู่สักพักก่อนจะโบกแขนขวาดึงราชายุงเข้าไปในเขตอาคมข้างในถ้ำ
‘ด้วยผลึกดั้งเดิมที่เพียงพอ ถือว่าดีเยี่ยมทีเดียว!’ หวังหลินนำเอาวิญญาณอสูรจำนวนมากที่เขาเก็บรวบรวมเอาไว้ออกมาและยังนำเอาวิญญาณอสูรกลายพันธุ์ที่สร้างขึ้นในถ้ำตอนอยู่ในสำนักต้นกำเนิดด้วย จากนั้นนำผลึกดั้งเดิมหลายหมื่นก้อนออกมาผนึกล้อมไว้
‘ข้าจะใช้กรรมวิธีของสำนักห้าพิษเพื่อหลอมวิญญาณอสูรกลายพันธุ์ให้ยกระดับความแข็งแกร่งของอสูรยุงจนมันสามารถเปลี่ยนร่างกลายเป็นราชายุงที่แข็งแกร่งกว่าได้ ซึ่งจากนั้นมันจะสามารถควบคุมเหล่าอสูรยุงจำนวนมหาศาลในแดนสวรรค์พายุได้ด้วย!’ หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณแพร่กระจายออกไปในถ้ำ เขาเห็นได้ชัดว่าอสูรยุงม่วงมีท่าทีดุร้ายต่อวิญญาณอสูรตัวอื่น มันต่อสู้และกลืนกินพวกมัน
ขณะเดียวกันผลึกดั้งเดิมได้เปลี่ยนกลายเป็นพลังดั้งเดิมหนาแน่นผ่านการใช้เขตอาคมและเข้าสู่ร่างอสูรยุง
หลังจากทิ้งสัมผัสวิญญาณหนึ่งสายไว้ในถ้ำเพื่อจับตาดู หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเข้าไปหาเตาปรุงยา
หวังหลินนั่งลงด้านข้างเตา ถ่ายเทเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องและหลอมเม็ดยา วันเวลาค่อยๆผ่านไปและพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองวัน เปลวเพลิงค่อยๆหายไปและมีกลิ่นหอมของเม็ดยาอยู่เต็มห้อง
หวังหลินท่าทีสงบนิ่งพลางยื่นแขนขวาออกไป ของเหลวของเตาหลอมลอยออกมาพร้อมกับหมอกจำนวนมาก หมอกพวกนั้นค่อยๆหายไปและมีแอ่งน้ำสีทองลอยอยู่ในอากาศ
ภายใต้การควบคุมของหวังหลิน ของเหลวเหล่านั้นลอยเข้าหาเขาและถูกเก็บไว้ในขวดเล็กๆสามขวด
หวังหลินสูดหายใจลึก มองไปที่เขตอาคมสีดำรอบๆหุบเขาและหยิบขวดเล็กๆหนึ่งขวดขึ้นมาก่อนจะจิบไปส่วนนึง เมื่อของเหลวไหลเข้าสู่ร่างกาย มันเปลี่ยนกลายเป็นความรู้สึกเย็นๆแพร่ผ่านร่างกาย เขารู้สึกได้เลือนลางถึงเสียงคำรามอสูรดังก้อง หวังหลินหลับตาและเริ่มทำความเข้าใจสิ่งที่เหล่าอสูรเข้าใจสวรรค์
ภายใต้สภาวะประหลาดนี้ หวังหลินหลงลืมเวลาเนื่องจากความคิดจิตใจตกอยู่ในความเข้าใจสวรรค์ ราวกับเขาได้เปลี่ยนไปเป็นอสูรร้ายและดิ้นรนเอาชีวิตรอดผ่านความเป็นความตายทั้งหมด
ขณะที่เสาะหาเต๋า เขาก็ยืนยันเต๋าแห่งความจริงเท็จของตัวเองไปด้วยผ่านประสบการณ์ความเข้าใจของเหล่าอสูร หวังหลินราวกับเป็นแค่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ทำการจัดแจงความเข้าใจมากมาย
รอบด้านหวังหลินคล้ายจะบิดเบือนและเปลี่ยนไปอยู่ตลอด การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วมากขึ้นจนรอบด้านไม่ใช่ความจริง
ผ่านไปสักพักหวังหลินยื่นแขนขวาออกไปหยิบขวดเล็กๆขึ้นมาจิบไปอีกครา เขาจมดิ่งไปกับการค้นหาเต๋าและรู้แจ้งอย่างต่อเนื่อง เจตนาแห่งเต๋าปรากฏขึ้นรอบตัวเองมากมาย
หากหวังหลินต้องการ เขาสามารถหยิบใช้ความเข้าใจของพวกอสูรหนึ่งในนั้นและใช้มันเพิ่มระดับบ่มเพาะได้ ทว่าผลที่ตามมาจะทำให้จิตใจแห่งเต๋าของเขาสับสน อีกทั้งมันเป็นการหยิบยืมเต๋าของคนอื่นและไม่ใช่ความเข้าใจของตนเอง หวังหลินไม่ได้ต้องการแบบนั้น!
สิ่งที่เขาต้องการคือพิสูจน์เต๋าแห่งความจริงเท็จของตนเองขณะที่อาศัยอยู่ในชีวิตอสูร เพื่อทำความเข้าใจสวรรค์ผ่านความจริงและเท็จ
เขานำเอาเศษเสี้ยวความคิดอสูรขณะที่มันรู้แจ้งเต๋า ซึ่งมันคือแก่นแท้ของวิญญาณอสูร ความคิดนี้คลุมเครือแต่เจ้าอสูรจำเป็นต้องใช้มันเพื่อช่วยทะลวงผ่านและบรรลุร่างมนุษย์ได้ในที่สุด!
เวลาผ่านไป หวังหลินใช้ขวดแรกไปจนหมดและทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ การบิดเบือนรอบร่างกายแพร่กระจายจนปกคลุมไปทั่วทั้งหุบเขา หากใครมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ จิตใจแห่งเต๋าคงวุ่นวายเพราะมีเจตนาแห่งเต๋าหลายอย่างที่หวังหลินแยกออกมาและเลิกราไป
‘หากไม่มีเท็จก็ไม่มีจริง หากไม่มีจริง แล้วเท็จมาจากไหน? จริงและเท็จ ไม่จำเป็นต้องแยกแยะความแตกต่างก็ได้…’ หวังหลินหยิบขวดที่สองขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่ ดวงตาเต็มไปด้วยความเข้าใจก่อนจะหลับตาลงและพิสูจน์เต๋าต่อไป
ส่วนเจตนาแห่งเต๋าไร้ที่สิ้นสุดที่ถูกแยกออกมา พวกมันค่อยๆแพร่กระจายออกไปนอกหุบเขาซึ่งทำให้ทั้งหุบเขาบิดเบือน
มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่เซียนใดก็ตามที่สูงกว่าขั้นตัดวิญญาณขึ้นไปสามารถสัมผัสถึงเจตนาแห่งเต๋าที่นี่ได้ เจตนาแห่งเต๋าแต่ละอันถูกสร้างขึ้นมาจากกฎแห่งสวรรค์
หากมองมันจะเห็นความจริงแต่ก็จะค้นพบว่ามันก็เท็จด้วยจนแยกแยะออกมาได้ยาก และเมื่อตกลงไปข้างใน การจะหนีออกมาได้คงเหมือนหนีจากขุมนรก
เจตนาแห่งเต๋าอันวุ่นวายแพร่กระจายออกไปมากขึ้นและปกคลุมทุกอย่างในระยะหมื่นฟุต ทำให้ท้องฟ้ายิ่งบิดเบือนเข้าไปอีก
หวังหลินใช้งานขวดที่สามไปแล้วเรียบร้อย เขาลืมเลือนทุกอย่างพลางค้นหาเต๋าในโลกอันไร้ขอบเขตแห่งนี้!
เสี้ยววินาทีนั้นมีเสียงคลุมเครือหนึ่งปรากฏขึ้นในใจ น้ำเสียงคล้ายจะพึมพำและค่อยๆชัดเจนขึ้น
‘ผู้รู้แจ้งแห่งเต๋าสวรรค์ สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องอดทนต่อวิบัติที่ไม่อาจวัดได้ การคิดจะออกคุกอันลึกล้ำ ชีวิตทั้งหมดต้องก้าวเดินต่อไปตลอดกาลและแก้ในยุคสมัยใหม่ หนีรอดอำนาจสวรรค์และได้หนทางสู่ชีวิต ผนึกอำนาจแห่งสรรค์ สลักวันคืนอันมืดมิด รอคอยเส้นทางแห่งการฝึกฝน…’
‘ไม่มีชีวิตไหนรู้จักเต๋าที่แท้จริง นรกที่เจ็บปวดยิ่งกว่าจะบิดเบือนเต๋าที่แท้จริงไปตลอดกาล…’ ประโยคนี้ดังสะท้อนในจิตใจ ค่อยๆมีเจตนาแห่งเต๋าแพร่กระจายออกไปมากขึ้นจนปกคลุมแสนฟุต ล้านฟุต กระทั่งครอบคลุมส่วนเล็กๆแห่งหนึ่งของดินแดนเจ็ดสี
ปรมาจารย์คังจงซื่ออยู่ด้านนอกถ้ำของซือหม่าโม่ระยะหมื่นฟุต ใบหน้าซีดเซียวจ้องมองออกข้างหน้าแต่ก็สงบนิ่งไม่ไหวติง เขามาที่นี่เมื่อสองวันก่อนแต่ก่อนที่จะก้าวย่างเข้าไป พลันรู้สึกถึงเจตนาแห่งเต๋าไร้ที่สิ้นสุดและรู้สึกถึงความวุ่นวาย
เจตนาแห่งเต๋าเหล่านี้เหมือนวังวนยักษ์ที่สามารถดูดซับเขตแดนทั้งหมดได้ จากนั้นด้วยกรรมวิธีพิเศษ พวกมันจะถูกพาเข้าไปในการพิสูจน์ของหวังหลิน
เต๋าจริงเท็จคือการพัฒนาขั้นที่สองของเต๋าหวังหลิน สิ่งที่เขาเสาะหาไปแล้วได้ข่มคนที่ระดับบ่มเพาะเดียวกันและกระทั่งข่มคนที่มีระดับสูงขึ้นไปอีก
ใบหน้าของปรมาจารย์คังจงซื่อซีดเผือดพลางนั่งลงกับพื้นและทำให้ความคิดมั่นคง เขาต่อต้านเจตนาแห่งเต๋าอันวุ่นวายคล้ายกับโดนดูดจากวังวนที่มองไม่เห็น ไม่ทันสังเกตถึงผู้หลงทางหัวล้านที่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ
พวกเขาก้าวเดินอย่างสบายๆ แต่ทุกก้าวคล้ายกับบิดมิติ ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงแต่ไม่ได้เคลื่อนไปข้างหน้า ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับกำลังเสาะหาเต๋า
ห่างออกไปไกลอีก เหล่าผู้รู้แจ้งที่ลอยอยู่ในสายหมอกทั้งหมดก็โผล่ออกมาจากสายหมอกและเหาะเหินมายังหุบเขาที่หวังหลินอยู่ แต่ละคนพึมพำออกมาด้วย
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีหุบเขาหวังหลินเป็นจุดศูนย์กลาง การขัดเกลาเต๋าได้เกิดการกระตุ้นไปทั่วทั้งดินแดนเจ็ดสีอย่างช้าๆ ขณะที่เจตนาแห่งเต๋าอันวุ่นวายเพิ่มจำนวนขึ้น ทั้งดินแดนเจ็ดสีดูเหมือนจะบิดเบี้ยวมากไปอีก
เหล่าผู้หลงทางเสาะหาเต๋า ดวงตายิ่งสับสนมากกว่าเดิม พวกเขาจ้องมองไปข้างหน้า เจตนาแห่งเต๋านับไม่ถ้วนถูกพวกเขาดูดซับไป
เหล่าผู้รู้แจ้งมาถึงและลอยตัวในอากาศ เสียงพึมพำที่อยู่มานานหลายปีหยุดลง ทั้งหมดมองไปยังหุบเขาและหลับตาราวกับกำลังทำความเข้าใจเต๋าของหวังหลิน
แม้แต่อสูรหมอกระดับสิบสองยังเปลี่ยนกลายเป็นอสูรร้ายต่างชนิดกันและไม่ได้ร้องเสียงคำรามอันใด พวกมันเหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้าและล้อมรอบหุบเขา ลอยตัวในอากาศเหมือนเหล่าผู้รู้แจ้ง ทำความเข้าใจเต๋าของหวังหลิน