Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1206

Cover Renegade Immortal 1

1206. เหล่าเซียนเช่นเราไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้!

ฉากเหตุการณ์จากดวงตาของรูปปั้นเลือนหายไป วินาทีนั้นสายฟ้าลอยออกมาจากค่ายกลคล้ายจะทะลวงผ่านอากาศ ทะลวงสวรรค์และทะลวงเวลา พุ่งตรงเข้าไปในตาขวาของหวังหลิน!

ในจิตใจเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง ก้าวถอยหลังไปหลายสิบก้าว จากนั้นจ้องมองรูปปั้นหินด้วยท่าทีโหดเหี้ยม!

รูปปั้นหินพังทลายกลายเป็นกองเศษหินและลอยขึ้นไปเป็นฝุ่นผงจำนวนมาก…

‘ดินแดนชั้นนอก…’ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนที่หวังหลินเห็นฉากเหตุการณ์จากรูปปั้น เลือดเขาก็เริ่มเดือดขึ้นมา!

ตอนที่เขาเห็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายทุกชั้นฟ้าและพันธมิตรเซียน เซียนนับไม่ถ้วนตายตกกันไปแต่เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกนี้ เขาเป็นพยานรู้เห็นภัยพิบัติจำนวนมากที่เกิดขึ้นเนื่องจากสมบัติ ทำให้เซียนตายไปนักต่อนักแต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกนี้ เขาได้เห็นกลุ่มขนาดใหญ่ภายในพันธมิตรเซียนที่ต่อสู้กัน แต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกนี้

ทว่าตอนนี้เขาไม่รู้ว่าทำไม แต่พอได้เห็นฉากเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะตอนที่เหล่าบรรพชนเทพตายไปหมด เขากลับรู้สึกว่าโลหิตกำลังพุ่งขึ้นสู่ศีรษะ

เสียงร้องไห้ก่อนตายของเหล่าเทพดูเหมือนจะดังกึกก้องในหูเขา

“ข้าไม่ยอมเป็นแบบนี้! ข้าไม่ยอมเป็นแบบนี้! อนาคตในภายภาคหน้าจะมีสักวันหนึ่งที่ลูกหลานเหล่าเซียนจะทำลายค่ายกลนี้และทำให้คนนอกแบบเจ้าทั้งหมดต้องสูญสิ้น! ธารแห่งโลหิตจะย้อมลงไปในดินแดนชั้นนอก!”

พอจ้องมองรูปปั้นที่แตกสลายไปแล้ว อักขระอัสนีในตาขวาหวังหลินกะพริบวูบวาบต่อเนื่อง ผ่านไปสักพักเขาก็หันกลับมาลอยเข้าหาภูเขาที่ถูกล้อมรอบด้วยเขตอาคมแห่งเวลา!

ตอนที่หวังหลินดูดซับอักขระอัสนี ชายหนุ่มที่มีอักขระอัสนีจากดินแดนชั้นนอกพลันหน้าซีดเซียว ร่างกายเริ่มสั่นเบาๆ

เขารู้สึกชัดเจนว่ามีการต่อสู้ระหว่างสายฟ้าเบื้องหน้า ด้านหนึ่งดูเหมือนจะเป็นสายฟ้าจากสายเลือดเขาและอีกด้านหนึ่งก็เป็นสายฟ้าเช่นกัน แต่สายฟ้านั้นเขย่าความคิดจิตใจของเขาจนแทบจะหลุดการควบคุมสายฟ้าในร่าง

อีกสองคนด้านข้างเขาเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีการตอบสนองรุนแรงเช่นนี้ แต่ผู้เยาว์ประจันทร์เสี้ยวยังคงมืดมน ดูเหมือนกำลังคิดบางอย่าง

ส่วนคนที่มีอักขระเพลิง ดวงตาส่องประกายและไม่ซ่อนความโลภเอาไว้เลย สิ่งที่เขามีคือพลังอำนาจแห่งเพลิงที่สังเกตได้ตอนที่ความคิดหวังหลินกวาดผ่านไป

ผ่านไปสักพักคนทั้งสามจึงปรากฏตัวตรงตำแหน่งที่รูปปั้นหินพังทลาย พอมองรูปปั้นหิน ผู้เยาว์อักขระอัสนียิ่งหน้าซีดแต่มีความโกรธไปด้วย เขาสัมผัสได้ว่ารูปปั้นนี้คือบรรพชนตัวเอง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงอยู่ที่นี่แต่จิตวิญญาณสายฟ้าที่บรรพชนทิ้งไว้เบื้องหลังพึ่งถูกใครสักคนเอาไปไม่นาน!

ทว่าหลังจากความโกรธจางลง เขาก็หวั่นเกรงขึ้นมา!

“เราจะทำยังไงดี?” ผู้เยาว์อักขระอัสนีมองพรรคพวกอีกสองคน

คนที่มีอักขระเปลวเพลิงเอ่ยขึ้น “หากเราสามคนปลดปล่อยผนึกเพื่อเพิ่มพลังให้ถึงขีดสุด การฆ่าเขาถือว่าเป็นไปได้อยู่…”

ผู้เยาว์ที่มีอักขระอัสนีลังเลอยู่เล็กน้อยและเอ่ยขึ้นเบาๆ “เราออกไปและรายงานรอยแยกนี้ให้แก่ผู้อาวุโสมาจัดการดีไหม…ข้าเกิดความรู้สึกแย่ๆ”

“ทรัพย์สมบัติจะได้มาก็ต้องผ่านอันตรายกันทั้งนั้น!” ผู้เยาว์อักขระพระจันทร์เสี้ยวดูเหมือนจะคิดขึ้นในใจและกัดฟันแน่น

ผู้เยาว์อักขระอัสนีขบคิดเงียบๆ ชั่วขณะต่อมาจึงเผยสายตาดุดันและไม่ลังเลอีก เขาค้นตามร่องรอยของสายฟ้าและพุ่งออกไป อีกสองคนติดตามและหายเข้าไปในสายหมอก

หวังหลินเคลื่อนร่างดุจสายฟ้าผ่านไปในสายหมอกและมาถึงตำแหน่งที่สู้กับปรมาจารย์คังจงซื่อ เขามองไปยังเขตอาคมเบื้องหน้า ดวงตาส่องสว่างขึ้น หากเขตอาคมไม่ได้พังเสียหายหรือพังเมื่อนานมาแล้ว การที่หวังหลินจะเปิดมันได้คงเป็นเรื่องยากมากเว้นแต่จะต้องยอมสละสมบัติของตัวเองไป

แต่เขตอาคมนี้พังทลายเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้หวังหลินจะตกอยู่ในสภาวะงุนงงตอนที่ความคิดผ่านเข้ามา เขายังจำได้ถึงรอยร้าวที่มองไม่เห็นบนเขตอาคมนี้

รอยร้าวนี้ถูกเปิดขึ้นมาจากปรมาจารย์คังจงซื่อและหญิงชราชุดเขียว

‘ข้าเพียงต้องเปิดรอยแยกนั้นอีกครั้ง! มันไม่น่าจะยาก!’ หวังหลินใช้ฝ่ามือสร้างผนึกส่งเขตอาคมทำลายล้างออกไปมากมาย พวกมันร่อนลงบนเขตอาคมแห่งเวลาและมีม่านแสงเริ่มเกิดระลอกคลื่น

หวังหลินส่งสัมผัสวิญญาณออกไปสังเกตอย่างละเอียดโดยไม่กะพริบตา หลลังจากนั้นไม่นานดวงตาก็หรี่แคบลงเมื่อเขาพบช่องที่เปิดจากก่อนหน้านี้!

แม้รอยแยกนี้จะฟื้นตัวไปแล้ว เขตอาคมแห่งเวลาพึ่งผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน ข้อผิดพลาดนี้ยังคงอยู่เว้นแต่จะผ่านไปอีกนานหลายปี

มันคือหนึ่งในข้อเสียของเขตอาคมแห่งเวลา

หลังจากค้นหารอยแยกพบ หวังหลินยื่นมือขวาปรากฏกระบี่ผลึกออกมา ทำให้มีกลิ่นอายของสมบัติเทียมสวรรค์ดับสูญ กระบี่พุ่งเข้าใส่รอยแยกพร้อมแสงกะพริบวาบ

เกิดเสียงดังสนั่นทันทีพร้อมกับเกิดระลอกคลื่นรุนแรงขึ้นบนเขตอาคมแห่งเวลา รอยแตกละเอียดปรากฏตรงจุดที่กระบี่เข้าไปหา วินาทีนั้นกระบี่ผลึกก็เข้าใกล้ ด้วยการควบคุมของหวังหลินทำให้ปราณกระบี่แพร่กระจายออกไปอย่างไร้ขอบเขตจนเกิดเสียงสนั่นยิ่งกว่าเดิม!

ทันใดนั้นหวังหลินกระโจนขึ้นไป ยื่นแขนขวาใส่อากาศปรากฏตรีศูลเรืองแสงสีดำ หวังหลินพุ่งชนใส่รอยแยกนั้นราวกับอุกกาบาต

เขารวดเร็วมากและเข้าประชิดในพริบตา ตรีศูลแทงเข้าไปในรอยแยกทันที เกิดพลังรุนแรงพุ่งเข้าไปในร่างหวังหลิน

ทว่าหวังหลินพ่นลมหายใจเย็น พลังเทพโบราณเต็มไปทั่วร่างกาย ชกกำปั้นขวาออกไปพร้อมเสียงปะทุดังลั่น ตรีศูลแทงทะลุผ่านเขตอาคม จากนั้นเขาทิ้งตรีศูลไว้ให้เกิดเป็นรูขนาดหลายสิบฟุตด้วยรอยแยกตำแหน่งเดิมที่พึ่งฟื้นฟูมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

หวังหลินยื่นแขนซ้ายออกไปและเก็บกระบี่ผลึก จากนั้นพุ่งเข้าไปในรอยแยก ตรงเข้าหายอดเขา

ส่วนประตูหินที่มีอักขระสายฟ้านั้น หวังหลินเพียงแค่มองคราเดียวก่อนจะถอนสายตามา

หวังหลินมาถึงยอดเขาในเวลาไม่นานและกวาดตรีศูลไป เสียงดังสนั่นกึกก้องปรากฏรอยแยกอวกาศขึ้นเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

เขารู้ตำแหน่งที่แน่นอนจากความทรงจำของคังจงซื่อ พร้อมทั้งความคิดเขากวาดผ่านตำแหน่งนี้ตอนที่กำลังรู้แจ้งเต๋าด้วย

หวังหลินก้าวเดินเข้าไปข้างในรอยแยกนั้นตรงๆ! หลังจากเข้าไปได้ไม่นาน ผู้เยาว์เขตชั้นนอกทั้งสามคนปรากฏตัวข้างนอกเขตอาคม ทั้งสามมองหน้ากันเองก่อนจะกัดฟันแน่นและกำลังเข้าไปในรอยแยกที่หวังหลินเปิด มุ่งหน้าไปภูเขา

ตอนที่หวังหลินเข้าไปในมิติลึกลับ เขาได้เห็นแผ่นจารึกหินยักษ์! ก้าวไปข้างหน้า ดวงตาพลันหรี่แคบจ้องไปตรงฐานด้านล่าง เขาเห็นโครงกระดูกครึ่งร่างที่ถูกฝังไว้พร้อมกับลิ่มเจ็ดสีสองชิ้น!

แสงสีดำเคลื่อนไหวรอบโครงกระดูกอย่างเบาๆ มันทำให้คำบนกระดูกปลดปล่อยแรงดึงดูดประหลาดที่ทำให้บ้าคลั่งขึ้นมาได้

หวังหลินก้าวเดินเข้าไปทีละก้าวให้ใกล้ขึ้น ผนึกสัมผัสวิญญาณและไม่มองโครงกระดูก ใช้สายตามองไปบนแผ่นหินจารึกแทน มันถูกสร้างขึ้นมาจากวัสดุอะไรไม่รู้ถึงได้ปลดปล่อยกลิ่นอายโบราณแบบนี้

หลังจากตรวจสอบมันอย่างละเอียด หวังหลินขมวดคิ้วรู้สึกว่าวัสดุของแผ่นหินจารึกช่างคุ้นตาแต่เขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอะไรที่คุ้นๆแบบนี้

หลังจากขบคิดเล็กน้อย สายตากวาดไปบนโครงกระดูก แม้เขาจะเตรียมตัวมาแล้วแต่ก็ยังจับมันอยู่ดี อย่างไรก็ตามหวังหลินฟื้นคืนสติได้และถอยหลังไปสองสามก้าว

ดวงตาส่องสว่างขึ้นและเปิดมิติเก็บของโดยไม่ลังเล ตัวอักษรสีทองคำว่า “ต่อสู้” ลอยออกมาจากมิติเก็บของ วินาทีนั้นแสงสีทองจากโครงกระดูกเริ่มลอยออกมา แสงสีดำและแสงสีทองจากโครงกระดูกพลันเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง

ท้ายที่สุดแสงสีทองก็กะพริบวาบและลอยออกมาจากโครงกระดูก เข้าไปในคำว่า “ต่อสู้” วินาทีนั้นแสงสีทองส่องสว่างเต็มไปทั่วมิติ

ตัวอักษรสีทอง “ต่อสู้” ลอยตรงไปหาหวังหลินและร่อนลงตรงกลางหน้าผาก! ความคิดหวังหลินสั่นเทา

“ข้าคือจางซิงเย่ ข้ารู้ว่าราชันย์จะพยายามบังคับข้าให้ยอมจำนนในอนาคต แต่การเป็นเซียนของดาราจักรทุกชั้นฟ้า ข้ายอมตายดีกว่ายอมทำงานให้คนจากดินแดนชั้นนอก คนที่สืบทอดเต๋าของข้า ทำความเข้าใจเจตจำนงแห่งการต่อสู้และเข่นฆ่าเหล่าคนขวางทางสู่ดินแดนชั้นนอกในอนาคต มอบโลหิตมันให้แก่จิตวิญญาณ…”

จิตใจหวังหลินเต็มไปด้วยเจตนาต่อสู้เต็มเปี่ยม ฉากเหตุการณ์ที่จางซิงเย่ต่อสู้กับโลกด้านนอกปรากฏขึ้นในความคิด ภาพมากมายแฝงความเข้าใจอันทรงพลังต่อการต่อสู้ ขณะที่ความเข้าใจของเขาลึกล้ำอยู่แล้ว เขตแดนจึงเริ่มผสานกับเจตจำนงการต่อสู้นี้ทำให้เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

ขณะที่หวังหลินกำลังทำความเข้าใจ มิติที่เขาอยู่เกิดการบิดเบือนและมีผู้เยาว์สามคนก้าวเข้ามาข้างใน ผู้เยาว์ที่มีอักขระเพลิงจ้องมองหวังหลินด้วยความโลภ เนื่องด้วยอยู่ใกล้จึงสัมผัสถึงพลังอัคคีดั้งเดิมอันรุนแรงข้างในตัวหวังหลินได้

‘หากข้ากลืนกินเขา ข้าสามารถพัฒนาได้ไกลยิ่ง!’

ผู้เยาว์อักขระอัสนีพลางมองหวังหลินอย่างตกตะลึง เขาสัมผัสได้ถึงสายฟ้าอันทรงพลังจากตัวหวังหลินได้และยังเห็นว่าหวังหลินตกอยู่ในสภาวะลึกลับอีก

‘โอกาสสวรรค์!!’

มีเพียงผู้เยาว์อักขระจันทร์เสี้ยวที่ระงับความตกตะลึงในใจตอนที่เห็นแผ่นหลังหวังหลิน รูม่านตาหดเล็กลง ความทรงจำเนิ่นนานผุดขึ้นมาในความคิด

‘เป็นเขาจริงๆ!’

ทั้งสามคนพุ่งเข้าหาหวังหลินพร้อมจิตสังหารทรงพลังในเวลาเดียวกัน ทั้งหมดสร้างผนึก ใช้ฝ่ามือตีใส่หน้าผากตัวเองอย่างรุนแรง

เกิดเสียงปะทุสามครั้งติด ร่างกายแต่ละคนเกิดการเปลี่ยนแปลง ผู้เยาว์ที่มีอักขระอัสนีขยายร่างออกไปหลายร้อยฟุตและปกคลุมอยู่ในสายฟ้า

ผู้เยาว์อักขระเพลิงเริ่มมีปีกเพลิงหนึ่งคู่งอกออกมาและมีหนึ่งเขาบนศีรษะ สีหน้าท่าทางเจ็บปวดแต่ก็ดุดันยิ่ง

ผู้เยาว์อักขระจันทร์เสี้ยวนั้นประหลาดที่สุด ร่างกายไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักแต่ผิวหนังเปลี่ยนกลายเป็นสีของพระจันทร์ สีผลึกกลับคมชัดสะท้อนกับแสงสีทอง!

ทว่าขณะที่ทั้งสามคนพุ่งเข้ามาใกล้ หวังหลินหันกลับมาหาทันที ดวงตากระจ่างสดใสและเผยอาการเยาะเย้ย! เหมือนกับที่เซียนชั้นนอกเยาะเย้ยต่อเหล่าเซียนดินแดนปิดผนึก

‘ข้าเป็นผู้กล้าทั้งในยามที่มีชีวิตและยามตาย เหล่าเซียนเช่นเราไม่เคยหวาดกลัวการต่อสู้!’ ประโยคสุดท้ายของจางซิงเย่ยามที่เผชิญหน้ากับราชันย์พลันปรากฏขึ้นในจิตใจหวังหลิน!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!