Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1244

Cover Renegade Immortal 1

1244. ห้วงเวลา

สามวันผ่านไปในพริบตา หวังหลินนั่งอยู่บนประตูหินนั้นด้วยสภาวะลึกลับคล้ายกับการค้นหาเต๋า แต่เขากำลังแสวงหากฎที่เก้า

อสูรยุงกระจายตัวและล้อมรอบพื้นที่แต่ไม่ได้แยกกันไปไหน พวกมันคุ้มกันอยู่รอบๆ ราชายุงนอนอยู่ด้านข้างหวังหลินบนประตูหินอย่างว่าง่าย สายตาเย็นเฉียบกวาดผ่านบริเวณอย่างช้าๆ เมื่อสายตามันตกลงบนยุงตัวหนึ่ง เจ้ายุงตัวนั้นเผยท่าทีเคารพเทิดทูนอย่างที่สุด

มีเพียงตอนที่สายตาของราชายุงมองหวังหลินเท่านั้นที่จะเปลี่ยนไป สายตาไม่แยแสได้เปลี่ยนไปเป็นความเมตตาเหมือนเด็กสัมผัสครอบครัวตัวเองได้

ความจริงแล้วในใจเจ้าราชายุง หวังหลินคือครอบครัวของมัน

มียุงสี่ตัวที่เป็นสีฟ้าเข้ม พวกมันบินอยู่ด้านข้างราชายุงราวกับเป็นองครักษ์ กลิ่นอายเทียบเคียงกับเซียนขั้นชำระสวรรค์ระดับสูงสุดแพร่กระจายออกมาจากพวกมัน

ด้วยการที่ราชายุงนำกองทัพอสูรยุงถึงห้าพันตัว กองกำลังอันแข็งแกร่งกำลังก่อตัวขึ้นมา เหล่าอสูรยุงค่อยๆยอมรับในตัวตนของหวังหลินแต่นี่เพียงแค่ยอมรับเท่านั้น เมื่อราชายุงไปแล้ว มันก็จะล่มสลายทันที

ขณะที่เสียงคำรามดังกึกก้อง หวังหลินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมและสัมผัสถึงกฎบนประตูหิน บนประตูหินมีกฎอยู่แปดกฎ แต่มีร่องรอยแห่งกาลเวลาทิ้งเอาไว้จนเปลี่ยนกลายเป็นกฎที่เก้า

หากเทียบกับแปดกฎแรกแล้ว กฎที่เก้านั้นแข็งแกร่งที่สุด! หวังหลินไม่มีเวลาพอจะทำความเข้าใจพวกมันทั้งหมด จึงล้มเลิกแปดกฎแรกมาเลือกกฎที่เก้า

ความโดดเดี่ยวภายในประตูหินโบราณผสานกับสายลมประหลาดได้สะท้อนกับจิตใจหวังหลิน ขณะที่เขานั่งอยู่บนยอด เขากลายเป็นหนึ่งเดียวกับประตูหิน เฝ้ามองยุคสมัยที่ผ่านไป เฝ้ามองท้องฟ้าแปรเปลี่ยนผ่านวันคืนเนิ่นนานหลายหมื่นปี เฝ้ามองภูเขาเกิดขึ้นและดับลง

จิตใจเขากลายเป็นเก่าแก่ไปด้วย

การบ่มเพาะฝึกเซียนเกือบสองพันปีของเขากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลยเมื่อเทียบกับประตูหินบานนี้ ทว่าขณะที่ความคิดผสานเข้ากับประตูหิน เขาค่อยๆค้นพบความรู้สึกแห่งการผ่านกาลเวลาอยู่ในใจ

เหมือนดังเช่นตอนจิตรกรได้เห็นภูเขา เห็นทะเล เห็นชีวิต กรอบเลือนลางปรากฏขึ้นในใจก่อน ซึ่งเหมือนกับตัวตนอันเลือนลางในใจหวังหลิน หวังหลินนั่งอยู่บนยอดประตูหินแต่ไม่ได้มองลงไป เขากลับลืมตาแทนและมองไปตรงหน้า

สายตาสงบนิ่งให้เห็นแต่ภายในแฝงความระลึกที่เปลี่ยนกลายเป็นระลอกคลื่นนำพาเอาความทรงจำที่หวังหลินฝังเอาไว้ให้กลับมาโดยไม่รู้ตัว

วินาทีนั้นเขาเห็นดาวเคราะห์เซียนดวงหนึ่ง บนนั้นมีพ่อที่กำลังเดินกับลูกชาย เดินผ่านภูเขาและแม่น้ำหลายแห่ง พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันชี้โน้นชี้นี่ตามประสา

ผู้เป็นพ่อพาลูกเข้าพิชิตทั้งยอดเขา แม่น้ำและทะเลสาบหลายแห่ง ทั้งยังพาลูกไปร้องคำรามใส่มหาสมุทร ทำให้ดูเหมือนเสียงคำรามแต่ละคนจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร

ในความทรงจำทั้งหมดนี้บรรจุห้วงกาลเวลาที่ไหลผ่านเบื้องหน้าสายตาหวังหลิน มันเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและมีความสุข มันคือส่วนหนึ่งในชีวิตเขา เป็นความทรงจำที่สำคัญจนขาดไม่ได้

นาทีนั้นขณะที่หวังหลินนั่งอยู่บนประตูหิน เขาเฝ้าดูโลกขณะที่นึกย้อนไปถึงความทรงจำเหล่านี้ เขาค่อยๆเก็บทุกอย่างไว้ในใจ

“เสาะหาเต๋า…ความจริงมันคือการนำเต๋าเข้าสู่ในใจเจ้า การเสาะหาเต๋านั้นเรียกกันว่าการรู้แจ้ง เจ้าทำความเข้าในภายในใจและค่อยๆสั่งสมมันจนกระทั่งผสานเข้ากับเต๋าของเจ้า ท้ายที่สุดมันก็จะกลายเป็นเขตแดน เป็นจินตนาการ”

ดูเหมือนหวังหลินกำลังคุยกับตัวเอง หลับตาลงพลางเอ่ยพึมพำต่อเนื่อง แม้จะหลับตาแต่ยังสามารถมองเห็นโลกและประตูอันงดงามตั้งอยู่ในใจ

สิ่งแตกต่างเดียวก็คือเขาไม่ใช่คนเดียวที่นั่งอยู่บนประตูหิน ด้านข้างเป็นร่างเด็กที่ไม่มีวันเติบโต บางทีในใจหวังหลินแล้ว หวังผิงคงเป็นแค่…เด็กอยู่เสมอ

หวังผิงไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นภาพมายาที่สร้างขึ้นจากความทรงจำของหวังหลิน เขานั่งอยู่ข้างหวังหลินและอยู่กับพ่อตนเองอย่างเงียบๆเหมือนตอนที่ทำในช่วงวัยเด็ก เขามองดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกลงพร้อมกับพ่อ มองดูการเปลี่ยนแปลงของโลกไปกับพ่อ มีความโดดเดี่ยวอ้างว้างของพ่อไปด้วย

“หากทั้งหมดนี้คงอยู่ชั่วนิรันดร์ บางทีคงไม่ต้องมีเรื่องเสียใจมากนักและไม่มีตัวเลือกในชีวิตมากอะไร”

ในใจหวังหลินนั้น เขาและหวังผิงยังคงนั่งอยู่บนประตูหินยักษ์ เดิมทีมันเป็นอากาศว่างเปล่าด้านล่าง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปพร้อมกับมีเสียงคลื่นดังก้อง

ทะเลไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นมาใต้ประตูหิน มองไกลๆดูเหมือนประตูหินทะลุมาจากทะเลและแทงขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ว่าทะเลจะเกรี้ยวกราดเพียงใด มันก็ยังยืนตั้งตระหง่าน

เสียงคลื่นซัดเป็นเพียงเสียงเดียวในโลกนี้ แม้กระทั่งไกลออกไปยังมีดวงอาทิตย์กำลังลอยขึ้นมา เรืองแสงสีส้มเปล่งประกายแก่พ่อลูก ทำให้เงาทั้งสองยืดยาว

“แยกราตรีเกิดขึ้นจากทะเล ห้วงเวลาดุจความทรงจำ…ไม่ใช่ว่าจะไร้กาลเวลา แต่ชั่วขณะที่ความยาวนานเกาะกุมเจ้า มันจะทำให้หัวใจเจ้าแตกสลาย มันจะทำให้เจ้าไม่อยากตื่นขึ้นมาเพื่อที่เจ้าจะได้แสวงหารอยยิ้มนั้นไปตลอดกาล จนกระทั่งเจ้าหายเข้าไปในความฝันไร้กาลเวลา”

“ผิงเอ๋อร์ วิชาที่สองของพ่อเจ้าตั้งชื่อว่า ‘ห้วงเวลา’ เป็นชื่อที่ดีใช่ไหม?”

ห้วงเวลา

เวลาไหลไปดุจความทรงจำ

เพราะมันยังคงไหลอยู่ กาลเวลาจึงเป็นนิรันดร์ แต่หากมีพลังที่สามารถทำให้ความเป็นนิรันดร์นั้นพังทลายไป มันคงเป็นพลังที่น่ากลัวยิ่ง

ความเข้าใจของหวังหลินดำเนินต่อไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปเจ็ดวัน หวังหลินนั่งอยู่บนเสาหินมาสิบวันเต็มแล้ว

พวกอสูรยุงยังคงอยู่รอบๆบริเวณ มองไกลๆราวกับก้อนเมฆสีแดงที่กำลังหมุนอย่างช้าๆ ยามที่สามลมพัดมาแต่กลับไม่สามารถนำพาให้กลิ่นอายเก่าแก่จากประตูหินออกไปได้ หรือกระทั่งก้อนเมฆสีแดงที่เกิดจากอสูรยุงก็ตามที

ช่วงระยะเวลาสิบวันนี้ ราชายุงนอนอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยการตื่นของหวังหลิน

พลบค่ำของวันที่สิบ ลำแสงมากกว่าสิบสายข้ามผ่านเส้นขอบฟ้า คนที่อยู่ในลำแสงคือหัวกะทิของสำนักระดับแปดที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน

ลี่หยวนเล่ยเป็นหนึ่งในนั้น ตอนที่พวกเขารอสหายอยู่นอกแดนสวรรค์ กลับบังเอิญเจอหวังหลินโดยไม่คาดคิด พวกเขาเห็นฉากเหตุการณ์ที่เหล่าฝูงยุงต้อนรับหวังหลินและทำให้เกิดความตกตะลึงเกินคาด

จากนั้นสหายพวกเขาก็มาถึง หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย จึงรออีกไม่กี่วันเพื่อเข้ามาในแดนสวรรค์วายุ

ทว่าระหว่างทาง แม้จะระมัดระวังตัวแต่ก็ประหลาดใจ พวกเขาไม่เจออสูรยุงสักตัวเลย ขณะที่ทั้งตกใจก็ทำให้พวกเขาระมัดระวังตัวมากยิ่งกว่าเดิม

ยิ่งเดินทางต่อไปก็ยังไม่เจออสูรยุงสักตัว หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าอยู่ในแดนสวรรค์ พวกเขาคงเริ่มสงสัยว่าพวกยุงไม่อยู่ที่นี่แล้วหรือไม่

มีซากปรักหักพังหลายแห่งที่เดิมทีไม่สามารถเข้ามาได้เนื่องจากมีฝูงยุง และพวกเขาก็ทำได้เพียงเดินทางอยู่รอบๆเขตชั้นนอกเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกเขาเข้ามาลึกได้ขนาดนี้

ยิ่งพวกเขาเข้ามาลึกก็ยิ่งต้องชะลอตัวลง สังเกตสิ่งรอบด้านอย่างละเอียด ทว่าการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ของแต่ละคนนั้นดีเยี่ยมมากกว่าเมื่อก่อนมาก

วันนี้พวกเขากำลังเหาะเหินแต่ร่างลี่หยวนเล่ยสั่นเทา ขณะเดียวกันรูม่านตาทุกคนรอบตัวหดเล็กลงและหยุดชะงัก

พวกเขาไม่กล้าแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาที่นี่ แต่คงไม่จำเป็นต้องแพร่ออกมาหรอกเพราะก้อนเมฆสีแดงปกคลุมท้องฟ้ากำลังส่งเสียงหึ่งๆ แค่นั้นก็ทำให้แต่ละคนศีรษะด้านชาพอแล้ว

อสูรยุงที่ดูเหมือนจะหายไปจากสายตาพวกเขาสิบวัน พวกมันปรากฏตัวเบื้องหน้าแล้ว

อย่างไรก็ตามสิ่งประหลาดก็คือว่าหากเป็นที่ผ่านมา เมื่อพวกยุงปรากฏ พวกมันจะร้องคำรามและไล่ล่าทันที ทว่าอสูรยุงเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่ได้มองดูพวกเขา แต่กลับบินไปมารอบๆประตูหินแทน

ฉากเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้พวกเขาต้องหยุดล่าถอย ทั้งหมดตื่นตัวและเตรียมหนีหากมีอะไรผิดพลาด

“ยุงพวกนั้นกำลังบินอยู่รอบๆ…” หนึ่งในนั้นอ้าปากค้างพลางเห็นแสงกะพริบของประตูหินที่ถูกก้อนเมฆสีแดงล้อมรอบเอาไว้

หนุ่มชุดดำเอ่ยขึ้นเบาๆ “ผู้อาวุโสของสำนักเราที่มาได้ไกลขนาดนี้ต้องเคยเห็นประตูหินนั่น ดูรูปลักษณ์ของมันสิ ประตูหินต้องเป็นของสำคัญต่อแดนสวรรค์ก่อนที่มันจะล่มสลายแน่”

“มีใครบางคนอยู่บนประตูหิน!” ลี่หยวนเล่ยมีระดับบ่มเพาะสูงที่สุด เขาเห็นร่างอันเลือนลางกำลังนั่งอยู่บนประตูหินซึ่งล้อมรอบด้วยเหล่ายุงนับพัน

หลังจากเอ่ยออกไปจึงทำให้ความคิดทุกคนสั่นเทา ทั้งหมดมองเข้าไปด้วยสายตาไม่เชื่อ เมื่อเพ่งสมาธิ แต่ละคนจึงเห็นร่างอันพร่าเลือนของหวังหลินนั่งอยู่บนประตูหิน!

“มีคนนั่งอยู่บนนั้นจริงๆ!”

“เขาเป็นใครกันถึงสามารถบ่มเพาะฝึกฝนได้ขณะที่อสูรยุงอยู่รายล้อมขนาดนั้น?”

“เรื่องอัศจรรย์ยิ่งกว่าก็คือพวกอสูรยุงไม่โจมตีเขา ดูเหมือนพวกมันกำลังเฝ้าระวังแทน!”

“นี่มันเป็นไปไม่ได้ การทำให้อสูรยุงเชื่องนับว่าเป็นไปไม่ได้ ทุกครั้งที่พวกมันเจอเซียนแบบเรา เราจะตกอยู่ในการต่อสู้ความเป็นความตายอยู่เสมอ พวกมันจะไปเฝ้าระวังคนอื่นได้อย่างไร?” ตอนนี้ทั้งความคิดและจิตใจทุกคนต่างตกตะลึง แววตาหวาดกลัวและไม่เชื่อสิ่งที่เห็น

ลี่หยวนเล่ยระงับความตื่นเต้นในใจและเอ่ยกระซิบ “คงไม่ลืมเรื่องเซียนชุดขาวที่เราเห็นนอกแดนสวรรค์ หากพวกเจ้าดูดีดี แม้จะไม่เห็นเขาชัดเจน แต่เห็นว่าเสื้อเขามันสีขาวนะ”

“มีคนที่สามารถควบคุมอสูรยุงได้ เรื่องสำคัญขนาดนี้…” เซียนทั้งหมดรอบด้านเงียบกริบ พวกเขามาช้าจึงไม่เห็นหวังหลินและได้ยินแต่คำบอกเล่าจากคนอื่น เดิมทีก็ไม่เชื่อแต่ตอนนี้ต้องเชื่อโดยไม่มีทางเลือกแล้ว แต่ละคนจิตใจตกตะลึงมากกว่าคนอื่นๆหลายเท่า

…………………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!