1249. มู่ปิงเหมย
หลังจากบรรลุขั้นชำระสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องใช้กระเป๋าเก็บของอีกแล้วเนื่องจากสามารถใช้พลังของตนเองเปิดมิติเก็บของได้ มิตินี้ปลอดภัยมากและเป็นที่ชื่นชอบของเซียนทรงพลังหลายคน
หวังหลินเปิดขึ้นมาหนึ่งมิติได้แล้ว และคราวนี้เขากำลังจะเปิดมิติที่สองเพียงเพื่อเก็บเหล่าอสูรยุง!
มิติเก็บของนี้ต้องมีพลังปราณสวรรค์และพลังดั้งเดิมอย่างเพียงพอ หวังหลินไม่ขาดแคลนมากนักเนื่องจากเขายังมีหินหยกสวรรค์และผลึกดั้งเดิมเหลืออยู่จำนวนมาก
ตอนนี้หวังหลินยื่นแขนขวาออกไป เกิดเสียงคล้ายมิติกำลังฉีกขาดดังกึกก้อง รอยแยกขนาดหลายร้อยฟุตอ้าเปิดออกและมีสายลมเย็นๆพัดออกมา
ดวงดาวแห่งกฎกลับมาและสายฟ้าลอยออกไป สายฟ้ากะพริบวูบวาบรอบๆรอยแตกและทำให้มันมั่นคง
ขณะเดียวกันมีเพลิงสีฟ้าพุ่งเข้าไปในรอยแยกและกวาดผ่านข้างใน ทำให้อากาศเย็นๆหายไปและมิติก็ขยายออกอย่างมหาศาล
หลังจากนั้นไม่นานนักหวังหลินจึงนำหินหยกสวรรค์และผลึกดั้งเดิมออกมาโยนเข้าไปในมิติเก็บของ พวกมันระเบิดและเติมเต็มมิติให้มีพลังดั้งเดิมและพลังปราณสวรรค์อย่างเพียงพอ
ทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นในพริบตาโดยไม่เสียเวลาเปล่า ยามที่มิติเก็บของเสร็จสมบูรณ์ เขาจึงส่งข้อความออกไป ราชายุงด้านล่างเขาส่งเสียงร้องออกมาทันที
พอมันร้องคำราม อสูรยุงหมื่นตัวพุ่งเข้าไปในรอยแยก ขณะที่หวังหลินเคลื่อนตัวต่อไป จำนวนอสูรยุงรอบๆเขาค่อยๆลดลง
ท้ายที่สุดทั้งหมดก็เข้าไปในรอยแยก รวมถึงอสูรยุงสีม่วงสองตัวและสีทองหนึ่งตัวด้วย!
ราชายุงเป็นตัวสุดท้ายที่เข้าไป จากนั้นมันหันกลับมามองหวังหลิน พออสูรยุงทั้งหมดเข้าไปแล้ว หวังหลินจึงสะบัดแขนและรอยแยกจึงหายไป
ตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวในแดนสวรรค์วายุ!
ด้านหลังคือฝูงยุงนับไม่ถ้วนที่กำลังไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งและกำลังเข้ามาใกล้! หวังหลินสูดหายใจลึกและนำยันต์เร่งความเร็วออกมาแปะไว้ที่ลำตัวโดยไม่ลังเล วิญญาณดั้งเดิมเริ่มกระตุ้นโดยไม่สนอาการบาดเจ็บ กลิ่นอายของเซียนขั้นทลายสวรรค์เปล่งออกมาผสมกับพลังเทพโบราณ
เขาหันกลับมามองฝูงยุงด้านหลังและโดยเฉพาะราชายุงตัวยักษ์ ในใจมีความทรงสัย ราชายุงตัวนี้ทรงพลังมากแต่มันไม่ได้ใช้วิชาอันใดและความเร็วไม่ได้อัศจรรย์ขนาดนี้
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาขบคิดเรื่องนี้ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและพุ่งออกไปข้างหน้าทันที รอบๆตัวปรากฏระลอกคลื่นจำนวนมากและเขาก็ก้าวออกไป!
วินาทีนั้นร่างกายจึงพร่ามัวและเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
บิดมิติ!
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินใช้บิดมิติในทะเลเมฆา! ทะเลเมฆาปกคลุมไปด้วยสายหมอกและห่อหุ้มด้วยพลังลึกลับ การใช้บิดมิติแทบจะไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย!
เนื่องด้วยเหตุนี้ วิชาบิดมิติจึงหาได้ยากยิ่งขึ้นในดาราจักรแห่งอื่น มันยิ่งหายากในทะเลเมฆาอีก
สภาพแวดล้อมกำหนดทัศนวิสัย สภาวะจิตใจและตำแหน่งของวิชาด้วย หากดาราจักรอีกสามแห่งเต็มไปด้วยหมอกดวงดาว เมื่อนั้นบิดมิติคงไม่มีวันเกิดขึ้นเพราะมันไร้ประโยชน์ต่อคนของทะเลเมฆา
หากได้รับรู้ความเข้าใจ แม้จะไร้ประโยชน์แต่ก็ไม่มีสถานที่ใช้ กระทั่งในแดนสวรรค์วายุเองวิชานี้ยังถูกขัดขวางด้วย
อย่างไรก็ตามวิชาบิดมิติเป็นหนทางเดียวในการเอาตัวรอดในแดนสวรรค์วายุ! ท่านไม่สามารถเดินทางให้ไกลหรือผสานกับโลกได้อย่างอิสระ หากไม่มีเป้าหมายในความคิดที่แม่นยำพอ คงไปปรากฏตัวในสถานที่ไม่คุ้นตา หากปรากฏตัวในฝูงยุงคงตกอยู่ในอันตรายขั้นสุด
นอกจากนี้วิธีการใช้บิดมิติให้ปลอดภัยที่สุดคือถึงสถานที่จะไปล่วงหน้าและค่อยผสานเข้ากับโลก
ความคิดแล้วความคิดของหวังหลินนั้นละเอียดมาก ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้าไปถึงส่วนลึกของแดนสวรรค์วายุ แต่ทั้งหมดที่ใช้บิดมิติจะต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก เหตุผลอธิบายได้ง่ายๆก็คือในทะเลเมฆามีคนรู้จักบิดมิติน้อยเกินไปและการจะมาที่นี่ยิ่งมีน้อยยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้หวังหลินกำลังคิดเรื่องรอยแยกในการออกไปจากแดนสวรรค์ พลังดั้งเดิมเริ่มรวมตัวกัน เสียงคำรามสั่นสะเทือนของฝูงยุงค่อยๆหายไปจากหู
ราวกับเขาเข้าไปสู่ดินแดนประหลาด ร่างกายเปลี่ยนไปเป็นว่างเปล่าไร้ความรู้สึก ราวกับเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก รอยแยกอวกาศที่จะออกไปจากแดนสวรรค์ยิ่งชัดเจนในหัวจนแทนที่ทุกสิ่งอย่าง!
ยามที่หวังหลินรู้สึกสภาวะไร้ตัวตน เขาจึงก้าวเท้า พลังดั้งเดิมรวมตัวกัน ขณะก้าวจึงทำให้ร่างกายก่อตัวขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
รอยแยกอวกาศเข้าสู่เขตระดับแปดพลันปรากฏเบื้องหน้า!
ด้านหลังยังมีรอยแยกส่งเสียงกึกก้อง แม้กระทั่งไกลออกไปยังมีเสียงคำรามคล้ายจะเดินทางข้ามกาลเวลา หวังหลินพุ่งเข้าไปในรอยแยกด้วยท่าทีสงบนิ่ง ออกไปจากแดนสวรรค์วายุ!
ตอนที่เขาไปจากแดนสวรรค์วายุ ดวงตาของชายชราที่อยู่บนหนึ่งในสามแผ่นดินส่วนลึกของแดนสวรรค์พลันดวงตาส่องสว่างขึ้นมา
“ครั้งนี้ข้าจะช่วยเจ้า…ครั้งต่อไปข้าจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยข้า…”
หวังหลินเดินออกมาจากรอยแยกและเข้าสู่เขตระดับแปด เขามองหมอกอันคุ้นเคยและรู้สึกไม่สะดวกสบายอยู่บ้าง เนื่องจากแดนสวรรค์วายุนั้นไม่มีหมอก ดังนั้นเขาจึงเห็นได้ไกลและกว้างขวาง ในทะเลเมฆานี้หมอกดวงดาวทำให้จำกัดระยะการมองเห็นด้วย
‘สำนักอมตะ…’ หวังหลินพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
‘การเดินทางไปแดนสวรรค์วายุครั้งนี้ข้าได้อสูรยุงจำนวนมาก แต่นั่นยังไม่เพียงพอ หากอาการบาดเจ็บของข้าฟื้นฟูดีรวมถึงการร่วมมือของอสูรยุง ข้าถือว่ายังไม่ไร้กำลังซะทีเดียวจากการหนีต้าเสิน! ข้าเพียงต้องใช้เวลาอีกเพื่อทำให้ราชายุงวิวัฒนาการและจากนั้นข้าก็จะได้อสูรยุงอีกมาก!’
ในสำนักอมตะระดับแปด การแข่งขันของเขตระดับห้ากำลังเกิดขึ้นบนแท่นซึ่งเป็นแค่ส่วนหนึ่งของดวงดาว สำนักเต๋าม่วงยืนหนึ่งในการประลองและแทบจะไม่มีใครเทียบได้
เสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นบนแท่นและทำให้เซียนรอบด้านนับแสนคนให้ความสนใจ เฟิ่งไฮ่และคนอื่นๆของสำนักอมตะกำลังอยู่ในพื้นที่ชั้นในสุด ด้านข้างเป็นชายชราผมแดงพร้อมกับเซียนทรงพลังของสำนักอมตะอีกบางส่วน
บนแท่นสูงสุดมีชายชราสวมชุดสีขาวกำลังชี้ใส่ศิษย์สำนักเต๋าม่วงที่กำลังจะต่อสู้กับหนึ่งในศิษย์ระดับห้าแห่งอื่นและร้องเสียงหัวเราะ “ความแข็งแกร่งของสำนักเต๋าม่วงต้องยกความดีความชอบให้แก่ลั่วหยุนคง! สหายเซียนหวัง สำนักเทพเจ้าไม่อาจพาเขาออกไปได้แล้ว”
ชายชราชุดขาวท่าทีสุภาพและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดวงตาเปล่งประกาย ระดับบ่มเพาะของเขาสูงส่ง เผยกลิ่นอายของเซียนขั้นทลายสวรรค์อย่างไม่ลังเล
ด้านข้างเขามีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองนางต่างก็เป็นหญิงสาวรูปลักษณ์น่าตะลึง สตรีชุดม่วงทำให้หัวใจใครทุกคนที่เห็นต้องเต้นรัว บนใบหน้ามีความเย็นชาราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกทำให้หัวใจนางเคลื่อนไหวและแสดงความอ่อนแอออกมาได้
ความน่ารักและงดงามของนางเป็นเหมือนสิ่งที่ไม่ควรอยู่บนโลกใบนี้ ราวกับนางฟ้าที่เพียงแค่นั่งอยู่ที่นี่ก็ทำให้เซียนรอบด้านทุกคนสนใจแล้ว อย่างไรก็ตามนางเย็นชาเกินไปคล้ายกับตัดทุกอย่างรอบด้าน ปลดปล่อยความรู้สึกโดดเดี่ยวออกมา
ราวกับดอกลิลลี่เบ่งบานอย่างโดดเดี่ยวหรือไม่ก็เป็นสายลมที่มาจากแคว้นต่างแดน ทุกอย่างไม่คุ้นตาและไม่มีใครที่คุ้นหน้า…
ด้านข้างนางคือหญิงสาวอีกคน แม้นางจะไม่ได้น่ารักมากแต่ใบหน้าอันสวยงามและอ่อนโยนทำให้ใครทุกคนตกหลุมรักได้ รอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้สีขาวเบ่งบานจนทุกคนหลงเสน่ห์
นางกำลังยิ้ม ดวงตาเปล่งประกาย น้ำเสียงเจื้อยแจ้วดุจนกร้องขับขาน “จ้าวสำนักเคร่งเครียดเกินไป แม่นางแค่กล่าวถึงอาจารย์ที่ลั่วหยุนคงยกย่องไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเขาจะยอมรับว่าเป็นสำนักเทพเจ้าหรือไม่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะตัดสินได้”
ชายชราชุดขาวยิ้มออกมาและไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่พวกเขากำลังพูดคุยกันต่อเนื่อง บางครั้งก็มองไปที่หญิงสาวแต่ก็ไม่อาจคาดเดาตัวตนของนางได้
ตอนนี้บนแท่นต่อสู้ ลั่วหยุนคงก้าวเดินออกมาจากพื้นที่สำนักเต๋าม่วง เขาคือจ้าวสำนักและมีสิทธิ์เข้าร่วมด้วย ชุดคลุมสีม่วงทำให้เขาดูสง่างามและมีบารมี!
อีกด้านหนึ่งคือจ้าวสำนักระดับห้าอีกแห่ง เขาเป็นชายชราสวมชุดสีดำและมีสีหน้าท่าทางน่าเกลียดยิ่ง
หวังซานซานมองลั่วหยุนคงบนสนามและเอ่ยขึ้นกับหญิงสาวคนข้างๆกัน “ลั่วหยุนคงผู้นี้เป็นคนเก่งและคุ้มค่าที่อาจารย์จะยกย่อง แม้ระดับบ่มเพาะไม่ได้สูงแต่ดูเหมือนเขาผสานเข้ากับโลกได้ ดังนั้นความเข้าใจเรื่องเต๋าจึงล้ำลึก พี่หญิงมู่คิดเช่นไร?”
มู่ปิงเหมยไม่มีความสนใจในการประลองของทะเลเมฆา นางมาที่นี่เพราะข้อเสนอของหวังซานซาน นางมองลั่วหยุนคงและเอ่ยขึ้นเบาๆ “เขาถือว่าเป็นเซียนที่ยอดเยี่ยม”
นางไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนที่นางเห็นลั่วหยุนคง ร่างอีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นในใจนาง
“โอ้? เช่นนั้นต้องมีเซียนแบบลั่วหยุนคงอีกจำนวนมากในที่ที่พี่หญิงมู่จากมา” หวังซานซานกะพริบตาและยิ้มแย้ม
“ก็คงแบบนั้น” มู่ปิงเหมยดูเหมือนไม่อยากพูดคุยต่อ
“ข้าสนใจอยู่เล็กน้อย ลั่วหยุนคงบ่มเพาะมาเกือบๆสามพันปีและไม่ได้พึ่งเม็ดยาอันใด เขาบรรลุขั้นเทวะได้ในเวลาพันปี อีกพันปีบรรลุขั้นส่องสวรรค์และอีกพันปีบรรลุขั้นชำระสวรรค์ ความเข้าใจเรื่องเต๋าของเขาลึกล้ำมาก แม้กระทั่งหลี่เฉียนเหมยแห่งสำนักทะลวงสวรรค์ยังเสาะหาเขาเพื่อสนทนาเต๋า ข้าสงสัยว่ามีคนแบบเขาในที่ที่พี่หญิงมู่จากมาด้วยหรือ?” คนที่พูดขึ้นมาไม่ใช่ชายชราชุดขาวแต่เป็นชายวัยกลางคนข้างๆกัน
มู่ปิงเหมยขบคิด หลังจากนั้นสักพักนางจึงเอ่ยขึ้นเบาๆราวกับกำลังหวนรำลึก “ข้ารู้จักคนที่บรรลุขั้นแกนลมปราณได้ในเวลาสองร้อยปี บรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้ในเวลาห้าร้อยปี ขั้นเทวะได้ในเวลาแปดร้อยปี ขั้นหยินหยางในเวลาพันปี ก่อนที่ข้าจะจากมา เขาบ่มเพาะได้ไม่เกินสองพันปีและบรรลุขั้นชำระสวรรค์ระดับต้นแล้ว เขตแดนของเขาคือชีวิตและความตายและพัฒนาไปเป็นเขตแดนเวรกรรม มีคนอยู่น้อยมากในโลกที่สามารถเทียบเคียงเขาได้! บางทีลั่วหยุนคงอาจจะมีระดับบ่มเพาะสูงกว่า แต่เมื่อเทียบด้านเต๋าแล้ว เขามิอาจเทียบได้! แม้กระทั่งในการต่อสู้ความเป็นความตาย เขาก็ยังเทียบไม่ได้!”
………………………