1252. ประณามสำนักอมตะ 3
พอได้ยินทั้งหมดนี้ มู่ปิงเหมยดวงตาส่องสว่างขึ้นและอดไม่ได้ที่จะยิ้มอยู่ในใจ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็มักจะทำเรื่องน่าตกตะลึงเช่นนี้อยู่เสมอ
หลี่เฉียนเหมยฟังอย่างละเอียด นางกัดริมฝีปากแต่แววตาเปล่งประกาย นางยิ้มและมองไปที่ท้องฟ้า รู้สึกเป็นสุขยิ่ง
ความคิดของหลิวหยานเฟยว่างเปล่า ผ่านไปสักพักความสุขในใจจึงระงับความตกตะลึง นางเข้าใจแล้วว่าหวังหลินไม่ได้ลืมสัญญาเมื่อร้อยปีก่อน เขาเดินทางทะลวงผ่านเขตระดับหก เจ็ดและแปดมาเพื่อมาที่นี่!
แม้กระทั่งหวังซานซานยังเผยสายตาประหลาดใจพร้อมกับฉากเหตุการณ์หลายอย่างที่นางคิดเกิดขึ้นในหัว ชายชุดขาวกำลังพุ่งผ่านอวกาศเข้ามา นางสับสนจริงๆว่าทำไมเขาถึงไปรู้จักประทับวิญญาณสงครามได้
ลั่วหยุนคงเผยรอยยิ้ม ไม่คิดว่าพี่หลิวจะทำให้เกิดคลื่นใหญ่ขนาดนี้ก่อนจะมาถึง นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แต่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสสองคนของสำนักอมตะเป็นคนพูด
ทั้งอัฒจันทร์เงียบกริบ จ้าวสำนักสูดลมหายใจลึก เขาต้องเชื่อมันแล้วจริงๆ! ตอนนี้เขาไม่ได้มองคนลึกลับนี้เป็นผู้น้อยอีกแล้ว แต่เป็นคนระดับเดียวกัน!
“หลิว…หลิวหยานเฟย เจ้าไม่ต้องกลับไปแล้ว รออยู่ที่นี่ ข้าเดาว่าพอการแข่งขันของสำนักระดับหกจบลง อาจารย์ลุงของเจ้าก็จะมาถึงที่นี่” จ้าวสำนักอมตะกระแอมแห้งๆ มองหลิวหยานเฟยด้วยความชื่นชมต่อผู้น้อย
หลี่เฉียนเหมยไม่ได้ออกไปไหนแต่นั่งลงเนื่องจากคำเชิญชวนของหวังซานซาน พอนางนั่งลง สายตาเป็นประกายของมู่ปิงเหมยกวาดผ่านเข้ามา
หญิงสองนางประสานกันโดยมีหวังซานซานคั่นกลาง หวังซานซานแนะนำตัวทั้งสองคนจนตัวสั่น นางขยับถอยเล็กน้อยจนตอนนี้สายตาทั้งสองคนไร้อุปสรรคขวางกั้น
มู่ปิงเหมยมองหลี่เฉียนเหมยอยู่นางก่อนจะถอนสายตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “แม่นางหลี่เป็นอัฉริยะโดยแท้ ระดับบ่มเพาะของท่านช่างสูงส่ง”
หลี่เฉียนเหมยงุนงงเล็กน้อยว่าทำไมสตรีสุดสวยคนนี้ถึงได้มองนาง พอนางถอนสายตา หลี่เฉียนเหมยจึงกล่าวไปเบาๆ “ในด้านของความงดงาม ข้ามิอาจเทียบสหายเซียนมู่ได้จริงๆ”
ผู้คนของสำนักอมตะต่างก็ตื่นเต้นกับการต่อสู้ยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามที่พวกเขากำลังรอคือคนที่สองผู้อาวุโสพูดถึง
การแข่งขันของสำนักระดับหกสองแห่งไม่เป็นที่น่าสนใจ แต่คนที่ยืนอยู่ตอนนี้เป็นเหมือนลั่วหยุนคงแบบที่ผ่านมา!
เขาคือหยวนเฟย หัวหน้าศิษย์ของสำนักวิญญาณยักษ์ เขามักจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่เสมอ เขาจากสำนักไปและกลับมาเมื่อผ่านไปแล้วสองร้อยปี จึงทำให้พลาดการแข่งขันไปสองครั้ง เขาอายุประมาณวัยกลางคนและมีระดับขั้นทลายสวรรค์ชั้นต้น เขาเป็นคนโหดเหี้ยมมาก คนที่สู้กับเขามักจะบาดเจ็บสาหัสอยู่บ่อยครั้ง
เขาเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางผู้น้อยของสำนักระดับหก หากไม่ใช่เพราะเขาไม่อยู่ สำนักเพลงสวรรค์คงไม่ได้มาถึงจุดสูงสุดและหลิวหยิงเจี๋ยคงไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง
เขาเป็นตัวแทนของผู้น้อยในสำนักตนเอง แต่หลิวหยิงเจี๋ยไม่ปรากฏตัวจึงทำให้ชื่อเสียงหยวนเฟยทะยานไปไกล
ตอนนี้เขายืนอยู่บนแท่นและมองไปยังอัฒจันทร์ สายตาจับจ้องไปที่มู่ปิงเหมยและคนอื่นๆ เขาไม่ซ่อนความปรารถนาในแววตาเลย
“ข้าสงสัยว่า ข้าเทียบกับคนที่สหายเซียนหลี่พูดถึงจะเป็นเช่นไร!” น้ำเสียงดังก้องดุจสายฟ้า
หลี่เฉียนเหมยสงบนิ่งพลางมองหยวนเฟยบนสนามต่อสู้และกล่าวเพียงคำเดียว
“ด้อยกว่า!”
หยวนเฟยขบคิดเงียบๆก่อนจะยิ้มออกมาราวกับไม่สนใจ สายตาจับจ้องไปที่ลั่วหยุนคงและเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ลั่วหยุนคง การประลองครั้งก่อนข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้ายังอยากจะท้าประลองกับข้าไหม?”
ลั่วหยุนคงเผยแววตาเย็นเยียบ ผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ยขึ้น “หากพี่หลิวแห่งสำนักต้นกำเนิดไม่มา ข้าจะสู้กับเจ้า!”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า การต่อสู้ของสำนักระดับหกใกล้จะจบลงแต่หลิวจื่อฮ่าวที่ทุกคนรอคอยยังไม่มา
การต่อสู้ของสำนักระดับเจ็ดกำลังจะเริ่มขึ้น ที่ผ่านมาระดับสี่ ห้าและหกเป็นแค่เรียกน้ำย่อย การแข่งขันของสำนักระดับเจ็ดเป็นงานหลัก อย่างไรก็ตามตอนนี้การแข่งขันของสำนักระดับห้ายังไม่จบลง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันคงไม่เหมาะสม
ยังมีอีกหลายคนที่กำลังเฝ้าดูซึ่งรวมไปถึงคนจากนอกสำนัก นี่ยิ่งทำให้เรื่องราวของสำนักระดับห้าลากออกไปอีก
เฟิ่งไฮ่ลังเลและมองจ้าวสำนัก ชายชราขบคิดเล็กน้อยและจึงมองหลิวหยานเฟยและลั่วหยุนคง เขาขบคิดทุกด้าน การแข่งขันคือเหตุการณ์สำคัญและคงไม่เหมาะสมที่การแข่งขันของสำนักระดับห้าจะถูกเลื่อนออกไปอีก
“เรารอแล้ว หากหลิวจื่อฮ่าวมาสาย เขาก็พูดอะไรไม่ได้” จ้าวสำนักดวงตาส่องสว่างและเอ่ยขึ้น “ลั่วหยุนคง หลิวหยานเฟย เจ้าสองคนเข้าสู่สนามประลองและจบการแข่งขันของสำนักระดับห้า!”
เมื่อเขาเอ่ยขึ้น จึงทำให้เซียนทุกคนรอบด้านสนใจ ลั่วหยุนคงขบคิดชั่วครู่ก่อนจะมองชายชรา คำนับฝ่ามือให้หลิวหยานเฟยและเหาะเหินไปหาสนามประลอง
หลิวหยานเฟยกัดริมฝีปาก นางรู้ว่าหวังหลินอยู่ระหว่างทาง แต่ตอนนี้นางต้องสู้แล้ว
นางถอนหายใจ โบยบินดุจผีเสื้อเข้าหาสนามประลอง ร่อนลงไปด้วยสายตามั่นคง
‘แม้เขาจะไม่มา ข้าก็ต้องดำเนินการต่อสู้ต่อไป!’
นี่คือเรื่องส่วนตัวของสำนักอมตะ ดังนั้นหลี่เฉียนเหมยจึงไม่มีเหตุผลจะเข้าไปแทรกแซง นางเฝ้าดูร่างของหลิวหยานเฟยอย่างเงียบๆ อย่างไรก็ตามหากสำนักต้นกำเนิดถูกยุบขึ้นมา นางคิดว่าจะพาทุกคนในสำนักกลับไปที่สำนักทะลวงสวรรค์
เมื่อลั่วหยุนคงและหลิวหยานเฟยอยู่บนสนาม ทุกคนเงียบกริบและมองเข้ามา เหตุเนื่องจากเป็นคนของสำนักต้นกำเนิด ทุกคนจึงให้ความสนใจ เป็นครั้งแรกที่สำนักเล็กๆจะเป็นที่จดจำของเซียนมากมายที่นี่
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนที่ยังมาไม่ถึง!
ไม่ใช่ทุกคนจะมีเจตนาดี ดังเช่นหลิวหยิงเจี๋ยแห่งสำนักเพลงสวรรค์ เขาจ้องลั่วหยุนคงและหลิวหยานเฟยด้วยสายตามุ่งร้าย
‘ไอ้บัดซบนั่น แน่ใจได้ยังไงว่ามันจะมา? ข้าอยากจะเห็นจริงๆว่ามันจะเก่งกาจเหมือนอย่างที่พวกเจ้าโม้ไว้ไหม!’ หลิวหยิงเจี๋ยกำหมัด
ห่างออกไปไกลในที่ที่สำนักส่องภูผาอยู่ ตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศมืดมน จ้าวหลงสูญเสียร่างกายและเหลือเพียงแค่วิญญาณดั้งเดิม เขาลอยตัวอยู่ข้างๆจ้าวสำนักและหัวหน้าผู้อาวุโส แต่สายตามุ่งมั่นนั้นไม่น้อยกว่าของหลิวหยิงเจี๋ยเลย
“พี่จ้าวสบายใจได้ ข้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่! หากมันไม่มาถือว่าโชคดี แต่หากมันมา ข้าจะฆ่ามันบนสนามซะ!”
“ถึงแม้หลี่เฉียนเหมยจะพยายามหยุดข้า นางก็ตัวคนเดียว ไม่ได้เป็นตัวแทนของสำนักทะลวงสวรรค์! เราจะไม่ทำร้ายนาง แต่คนลึกลับชื่อหลิวนั่นต้องตาย!”
สิ่งที่เกิดขึ้นบนอัฒจันทร์นั้นอยู่ไกลเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้นอกจากคนของสำนักอมตะ พวกเขาเห็นแต่ภาพเลือนลางแต่ไม่ได้เห็นชัดเจน
หยวนเฟยจากสำนักระดับหกก็ด้วย เขาจ้องมองคนทั้งสองในลานประลองและเยาะเย้ย หวังว่าคนลึกลับนั้นจะมา เขาต้องการเห็นด้วยตัวเองว่ามันพิเศษอะไรกัน!
หลิวหยานเฟยยืนอย่างสงบนิ่งด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวในใจ นางไม่สนสายตามากมายที่มองมา แต่คนที่นางรอคอยเป็นร้อยปียังไม่ปรากฏ
นางเงยศีรษะขึ้นมองไปบนท้องฟ้า น้ำตาไหลรินแต่ไม่ได้หล่นลง นางหันไปหาลั่วหยุนคงและเอ่ยขึ้นเบาๆ “สหายเซียนลั่ว โปรดชี้แนะ”
ลั่วหยุนคงถอนสายตาออกมาจากท้องฟ้าเช่นกัน เขามองหลิวหยานเฟยและเอ่ยขึ้น “ข้าจะไม่ออมมือในการต่อสู้ครั้งนี้ เจ้าควรระมัดระวังตัว”
หลิวหยานเฟยเผยรอยยิ้มเศร้าๆแต่มีสายตามุ่งมั่นซึ่งทำให้นางงดงามอย่างน่าประหลาด นางพยักหน้าเบาๆและก้าวถอยหลัง ฝ่ามือสร้างผนึกเริ่มใช้พลังดั้งเดิม
พลังดั้งเดิมสร้างวังวนในอากาศและทำให้เกิดการสั่นสะเทือนกึกก้อง อย่างไรก็ตามวังวนนี้กลายเป็นบ้าคลั่งราวกับมีพลังประหลาดสายหนึ่งปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าและก่อกวนวังวน!
ในตอนนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีสัน วังวนเติบโตขึ้นต่อเนื่องด้วยเหตุผลบางอย่าง มันหลุดจากการควบคุมของหลิวหยานเฟยและลอยขึ้นไปในท้องฟ้า!
หลิวหยานเฟยตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงแต่ร่างกายเริ่มสั่นไหวและมองขึ้นไป!
ไม่ใช่เพียงแค่นางเท่านั้น ตอนนี้ลั่วหยุนคงสัมผัสได้ว่าร่างกายนางสั่นไหว วิญญาณดั้งเดิมสั่นเทา ราวกับมีแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้โผล่ออกมาไกล แรงกดดันนี้สั่นสะเทือนผืนปฐพี และเมื่อมันห่อหุ้มพื้นที่ เขาจึงไม่อาจต่อต้านมันได้
เขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายนี้ คุ้นเคยมาก!
พลันเงยศีรษะขึ้นและจ้องไปในท้องฟ้า!
ตอนนี้นอกจากคนทั้งสองแล้ว ยังมีเซียนเกือบแสนคนสัมผัสถึงแรงกดดันนี้ได้ สายฟ้าในท้องฟ้าสั่นสะเทือนไม่หยุดยั้ง เสียงพื้นดินสั่นไหวดังสะท้อนกึกก้องแทนที่เสียงทุกอย่าง
อสรพิษสีเงินปกคลุมท้องฟ้า พวกมันมีมากมายเกินไปราวกับสายฟ้าทั้งหมดรวมกันที่นี่และแทนที่ทุกอย่างในท้องฟ้า
สายฟ้าสั่นสะเทือนพร้อมกับมีสายลมพัด ท้องฟ้าเปลี่ยนสีสัน สายฟ้าก่อตัวเป็นตาข่ายและจากนั้นจึงตกลงมา!
ร่างสีขาวค่อยๆปรากฏตัวขึ้นในสายฟ้าดังคะนองไร้ขอบเขต! เส้นผมสีขาวพลิ้วไสวในสายฟ้าและทำให้ทั้งโลกกลายเป็นนรกสายฟ้า!
สายฟ้าที่ส่งเสียงคำรามออกมานั้นดูเหมือนจะโผล่ออกมาจากยุคโบราณ เสียงคำรามสั่นสะเทือนจิตใจเซียนทุกคนและทำให้พวกเขาเกรงกลัว!
สายฟ้าและก้อนเมฆพรั่งพรูออกมายินดีต้อนรับคนผู้นี้คนเดียว!
“เขามาแล้ว!”
……………………………………