1257. ประณามสำนักอมตะ 8
“ขอบคุณสหายเซียนหลิวที่มีเมตตา!” ตู้หลินหน้าซีดพลันคำนับฝ่ามือ โลหิตซึมจากมุมปากและรีบจากไปในสายฝน แผ่นหลังดูเย็นเยียบเป็นอย่างยิ่ง
เขาเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของสำนักหุบเขาสนม่วงและเป็นส่วนหนึ่งของสำนักหลัก เม็ดยาจำนวนมากถูกส่งมาให้เขา แม้กระทั่งเซียนทรงพลังยังออกมาสอนเต๋า เขาคิดว่าตัวเองอยู่จุดสูงสุดแต่วันนี้ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทันได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา เพียงแค่วิชาแยกวิญญาณดวงดาวก็ทำให้เขาพ่ายแพ้แล้ว!
ความจริงตอนที่เขาเห็นหวังหลินดึงวิญญาณดวงดาวออกมา เขารู้ว่าตนเองจะพ่ายแพ้ อย่างไรก็ตามเขามีความคิดว่าสามารถต้านทานได้สักระยะหนึ่ง แต่ความจริงกลับเป็นเรื่องเลวร้าย เขาพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แบบ
ความคิดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด เขากลับมาที่กลุ่มของสำนักหุบเขาสนม่วงท่ามกลางสายฝนและนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ส่วนหยินเยว่หน้าซีดเซียวเช่นเดียวกัน นางกัดริมฝีปากและคำนับฝ่ามือให้หวังหลินก่อนจะหันตัวกลับไป นางเดินท่ามกลางสายฝนเช่นตู้หลิน
มู่ปิงเหมยจ้องมองทั้งหมดนี้ด้วยความตกตะลึง เดิมทีนางคิดว่าตนเองเข้าใจระดับบ่มเพาะของหวังหลินมากที่สุด แต่ตอนนี้นางพบว่าความเข้าใจของนางช่างเล็กน้อยยิ่ง
‘ร้อยปี…ข้าไม่คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งเช่นนี้!’ มู่ปิงเหมยส่งสายตาไปที่หวังหลิน วินาทีนั้นนางรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนแปลกหน้า เส้นผมสีขาวและชุดสีขาวทำให้นางรู้สึกขมขื่นในใจยิ่งกว่าเดิม
ไม่มีใครในที่นี้รู้จักอดีตของหวังหลินเหมือนนาง นางรู้แม้กระทั่งครึ่งชีวิตของหวังหลิน เขาเป็นเซียนไร้ชื่อที่ครอบครัวถูกสังหาร บังคับให้ต้องหนีออกไปจากแคว้นจ้าว เซียนคนนั้นได้ทำให้สายธารแห่งโลหิตไหลบ่าไปในแคว้นจ้าว
เป็นชายที่ค่อยๆมีชื่อเสียงบนดาวซูซาคุ จนกระทั่งเขาเกือบกลายเป็นผู้ปกครองดาวซูซาคุคนถัดไป ตอนนี้เขาแข็งแกร่งพอจะทำให้ทั้งดวงดาวสั่นสะเทือนเพียงแค่ย่างเท้า!
หลี่เฉียนเหมยไม่คิดเช่นกันว่าหวังหลินจะน่าตกตะลึงเช่นนี้หลังจากที่ผ่านไปร้อยปี ฆ่าคนของสำนักเพลงสวรรค์ไปสองคน ฆ่าจ้าวหลง และเอาชนะหยุนซานได้ง่ายดาย สุดท้ายเขาก็ใช้วิชาแยกดวงดาวเพื่อเอาชนะตู้หลินและหยินเยว่อีก!
ส่วนหวังซานซาน นางตกตะลึงจนสูดลมหายใจเย็น นางเข้าใจวิชาแยกวิญญาณดวงดาวอย่างชัดเจนและเคยเห็นอาจารย์ใช้มัน อาจารย์ของนางบอกว่ามีคนไม่เกินสามคนในทะเลเมฆาที่สามารถทำแบบนี้ได้!
เหนือกว่าวิญญาณดวงดาวคือวิญญาณดับสูญ ซึ่งหมายถึงวิญญาณของดาราจักร วิชาที่สามารถดึงวิญญาณของดาราจักรได้เป็นวิชาของขั้นที่สาม อาจารย์นางบอกว่าท่ามกลางเซียนขั้นที่สอง มีตำนานหนึ่งเล่าต่อกันมาจากยุคโบราณ
ตำนานนี้เล่าถึงสี่ยอดวิชาของเซียนขั้นที่สองที่สามารถเรียนรู้ได้จากการทำความเข้าใจสวรรค์ สองในสี่นั้นคือวิชาแยกวิญญาณดวงดาวและวิชาบิดมิติ!
วิชาเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้แต่สามารถรู้แจ้งได้ผ่านทางโชคชะตาของคนผู้นั้น อย่างไรก็ตามมีแค่ไม่กี่คนที่จะสามารถทำความเข้าใจได้
หลังตู้หลินและหยินเยว่จากไป ความเงียบจึงเข้าปกคลุมต่อ ราวกับไม่มีใครอยากจะทำลายความเงียบอันยาวนานนี้
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักอมตะทั้งหมดมองหวังหลินด้วยความชื่นชม พวกเขาไม่อาจมองทะลุระดับบ่มเพาะหรือวิชาของหวังหลินได้ ไม่ว่าจะเป็นดัชนีชะตาสวรรค์ เพลิงสวรรค์หรือวิชาที่ตกตะลึงที่สุดอย่างแยกวิญญาณดวงดาว ทั้งหมดต่างก็น่าตกใจได้ทั้งนั้น เหล่าผู้อาวุโสอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวหวังหลิน
พวกเขาไม่รู้ว่าหวังหลินมีวิชาอะไรอีก แต่มีความรู้สึกว่าเขามีอีกหลายวิชาที่ยังไม่ได้แสดงออกมา มีความลับอีกหลายอย่างและเรื่องน่าตกตะลึงมากเกินไปซ่อนอยู่ภายในตัวเขา
“มีใครอีกจากเขตระดับเจ็ดกล้าท้าประลองกับข้าไหม?” หวังหลินสะบัดแขน กลิ่นอายเก่าแก่ค่อยๆหายไปราวกับวิญญาณที่ถูกดึงออกมาได้กลับคืนสู่ดาวเคราะห์
พื้นดินสั่นไหวเล็กน้อยและค่อยๆกลับคืนสู่ปกติ ราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพมายาและไม่เคยเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตามสายฝนและสายฟ้าที่กะพริบวูบวาบได้ย้ำเตือนทุกคนถึงความจริงและความน่ากลัวของมัน
คำพูดของหวังหลินไม่ได้ทำลายความเงียบ ราวกับเสียงเขาคือรากฐานแห่งความเงียบ มันสะท้อนอยู่ในสายฝนและความเงียบยิ่งหนาแน่น
ความเงียบมักจะทำให้เกิดแรงกดดันที่มองไม่เห็น ตอนนี้ต้นตอของแรงกดดันคือหวังหลิน เขายืนตั้งตระหง่าน ชุดสีขาวทำให้แรงกดดันนี้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก
ไม่มีใครกล้าก้าวออกมา ทั้งหมดจ้องไปที่สนามประลอง มองไปที่ชายในสายฝนซึ่งทำให้รู้สึกราวกับสรวงสวรรค์ วินาทีนั้นภาพลักษณ์ของหวังหลินและการกระทำของเขาถูกสลักไว้ในใจส่วนลึกของทุกคน เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่มีวันลืม
ในความเงียบนี้ ดวงตาของจ้าวสำนักอมตะส่องสว่างขึ้นพลันจ้องหวังหลินและเอ่ยขึ้นเบาๆ “สหายเซียนหลิวทำให้ศิษย์สามคนบาดเจ็บซึ่งเป็นคนที่เข้าร่วมการประลองระหว่างสำนักระดับแปด ท่านต้องอธิบายเรื่องนี้กับข้า!”
สายตาคล้ายปราณกระบี่สองสายพุ่งไปที่หวังหลิน สายตาเขาดูเหมือนจะทำให้สายฟ้าในก้อนเมฆไม่กล้าเข้ามาใกล้สนามประลอง แม้กระทั่งสายฝนดูเหมือนจะหยุดลงในอากาศ
ราวกับโลกพลันหยุดเคลื่อนไหว!
ทั้งหมดเพียงเพราะสายตาเขา! แค่สายตาก็สร้างผลกระทบสั่นสะเทือนสวรรค์ได้ขนาดนี้แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เซียนขั้นทลายสวรรค์จะทำได้ มีเพียงคนที่ผ่านประสบการณ์ทะลวงสวรรค์มาแล้วเท่านั้น!
หวังหลินได้รับความรู้สึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด เขาถูกสายตานั้นจ้องมองราวกับทุกอย่างในโลกนี้กลายเป็นของคนอื่น สายตาเขาเหมือนการมาถึงของอำนาจสวรรค์
สายฟ้าต้องหลบเลี่ยงโดยธรรมชาติ สายฝนต้องหยุดเผชิญหน้าอำนาจสวรรค์ แม้กระทั่งความคิดหวังหลินยังดังสนั่น
อาการบาดเจ็บที่ระงับไว้ในร่างจึงแสดงอาการปะทุออกมา แต่หวังหลินมีท่าทีนิ่งเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว ดวงตาส่องสว่าง ปะทะสายตากับจ้าวสำนัก
วินาทีนั้นสายฟ้าดังสนั่นกึกก้องไปทั่วโลก แรงกดดันทรงพลังแพร่กระจายออกมาอย่างบ้าคลั่งยามที่สองสายตาจ้องมองกัน
เหล่าเซียนรอบๆต่างรู้สึกถึงสายลมโหยหวน พวกเขาเหมือนเรือใบที่ล่องอยู่ในทะเลเดือด ทั้งหมดกระตุ้นพลังดั้งเดิมในร่างกายราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนี้คงจมดิ่งไปในมหาสมุทร
หลี่เฉียนเหมยดวงตาเย็นเยียบ จิตสังหารปะทุออกมาจากร่างกาย นางกำลังจะเข้าสู่แรงกดดันนี้เพื่อช่วยหวังหลิน ทว่าวินาทีที่กลิ่นอายของนางปรากฏ ชายชรายกแขนขึ้นมาและสะบัด แรงกดดันทรงพลังผลักจิตสังหารนางให้กลับไปและอยู่นอกร่างนางเพียงแค่ระยะเจ็ดนิ้ว!
มู่ปิงเหมยดวงตาเย็นเฉียบ โคจรพลังดั้งเดิมในร่างเผยระดับบ่มเพาะขั้นทลายสวรรค์ ฝ่ามือสร้างผนึกและกำลังจะโจมตี แต่นางสัมผัสถึงพลังที่ไม่อาจต่อต้านได้เข้าระงับนางทันที ทำให้นางไม่สามารถใช้ระดับบ่มเพาะได้ทัน
ระดับบ่มเพาะอันแข็งแกร่งของจ้าวสำนักอมตะได้เผยออกมาต่อคนทั้งโลก การจะกลายเป็นจ้าวสำนักระดับแปดได้หมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาไม่ใช่ของธรรมดา!
มู่ปิงเหมยหน้าซีด นางสัมผัสจิตสังหารที่อยู่ในแรงกดดันของจ้าวสำนักได้ แม้จะดูเหมือนปลอมแต่กลับทำให้ความคิดนางปั่นป่วน นางไม่มีเวลาคิดจึงใช้ฝ่ามือสร้างผนึกประหลาด เป็นวิชาที่ส่งต่อมาจากเซียนสตรีฟ้ากระจ่างกันรุ่นสู่รุ่น
เมื่อผนึกปรากฏ ขวดแก้วมายาผุดขึ้นรอบตัวนางและผลักพลังที่ห้ามนางเอาไว้ นางพุ่งร่างออกไปแต่ใบหน้าซีดเซียว
หากนางไม่บาดเจ็บคงสามารถใช้วิชาที่สืบทอดกันมานี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามร่างกายนางถูกทำลาย วิญญาณดั้งเดิมได้รับความเสียหายและการใช้วิชานี้ทำให้อาการบาดเจ็บยิ่งแย่ลง
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ชายชราชุดขาวตกตะลึง หลี่เฉียนเหมยปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเช่นกัน จิตสังหารมหึมาถูกปลดปล่อยราวกับมีปีศาจปรากฏขึ้นมาฉีกพลังออกไป หลี่เฉียนเหมยทำลายแรงกดดันของชายชราให้เป็นอิสระพร้อมกับพุ่งตัวออกไปเช่นกัน
เบื้องหน้านางมีหินหยกอยู่หนึ่งก้อน เป็นหินหยกที่คนลึกลับในสำนักมารให้นางไว้!
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา วินาทีที่หลี่เฉียนเหมยและมู่ปิงเหมยพุ่งออกมา หวังหลินยกเท้าขวาและก้าวไปข้างหน้า ผสานเข้ากับโลกคล้ายจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาวเคราะห์ กลิ่นอายเก่าแก่เต็มไปทั่วร่าง
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องลงมือ” ขณะที่เขาก้าวเดิน หวังหลินสะบัดแขน พลังอ่อนโยนแต่ยังทรงพลังเข้าล้อมรอบหลี่เฉียนเหมยและมู่ปิงเหมย ทำให้ทั้งสองหยุดชะงัก
“เซียนทะลวงสวรรค์ ข้าก็เคยต่อสู้มาก่อนแล้ว!” วินาทีนั้นลำแสงสีทองก่อตัวจากร่างหวังหลิน มันเหมือนดวงอาทิตย์อันอ่อนโยนแต่ยังมีพลังฉีกกระชากกลางคืนให้หายไป วินาทีนั้นสายฟ้าที่กำลังหลีกเลี่ยงพื้นที่แห่งนี้พลันรวมตัวกันอีกครั้ง สายฟ้าที่หยุดลงก็ตกลงมาอีกครั้ง ราวกับโลกเริ่มเคลื่อนไหว
เสียงตกตะลึงดังออกมาจากชายชราชุดขาว พอเขายืนขึ้น สายฝนพังทลายกลายเป็นควันสีขาวพุ่งขึ้นสู่อากาศ
“ข้าสามารถเข้าร่วมการประลองระหว่างสำนักระดับแปดได้ แต่ท่านต้องอธิบายเรื่องสำนักต้นกำเนิดให้ข้าเช่นกัน!” หวังหลินมองเห็นเจตนาของชายชราได้ทันที จิตสังหารเป็นแค่ของปลอม!
แววตาของชายชราชุดขาวส่องประกายและยิ้มออกมา ขณะที่เขากำลังจะพูด สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปและทอดมองออกไปไกล
ลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากระยะไกลพร้อมเสียงดังสนั่นกึกก้อง ลำแสงนี้แฝงกลิ่นอายไร้อารมณ์ความรู้สึกและส่งเสียงต่ำออกมาจากท้องฟ้า
“เจ้ากล้าใช้วิชาของข้า?”
“ผู้อาวุโสระดับสูง!” ทุกคนในสำนักอมตะยืนขึ้นและคำนับฝ่ามือ แต่ละคนมีสีหน้าเคารพยิ่ง
หวังหลินเงยศีรษะขึ้น แสงสีทองจากร่างกายเขาดุจดวงอาทิตย์กำลังสาดแสงจากทะเล เขาดูราวกับแสงที่กำลังส่องประกาย แม้กระทั่งดวงตายังเป็นสีทอง
……………………………