Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1262

Cover Renegade Immortal 1

1262. กลับมา…

ในปราสาทอันมืดมนพลันเกิดพายุขึ้นมาพร้อมกับน้ำเสียงเด็กหนุ่ม พายุนี้ทำให้หมอกดวงดาวรอบๆดาวเคราะห์ปั่นป่วนและส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“อาจาย์ ข้าฉุยต้าว สู้ศึกสะท้านโลกกับท่านและเกือบตายอยู่หลายครั้ง ข้าได้ตอบแทนท่านที่ช่วยข้าเอาไว้ เวรกรรมระหว่างเราจบกันไปแล้ว หลังจากท่านตายไป แม้ข้าจะรับช่วงต่อสำนักเทพเจ้า แต่สำนักจำเป็นต้องมีผู้นำ ข้าไม่ผิดที่จะทำเช่นนั้น!”

“แต่ว่า…ท่านตายไปแล้วหรือยังไม่ตาย!?” เด็กหนุ่มพลันมองขึ้นไปนอกอวกาศข้างนอกอย่างน่าเกลียด

“ท่านควรตายไปแล้ว ด้วยการโจมตีของข้าผสานกับราชันย์และเหมาหยิน พร้อมกับสมบัติลึกลับจากแดนสวรรค์โบราณมากมายพวกนั้น แม้ระดับบ่มเพาะของท่านจะสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสักแค่ไหน ท่านก็ควรจะตาย!”

“แต่ทำไมข้าถึงสัมผัสเศษเสี้ยวกลิ่นอายของท่านเมื่อไม่กี่เดือนก่อน? หรือท่านไม่ได้ตายแต่กลับมาเกิดใหม่และฝึกเซียนอีกครั้ง!?”

เด็กหนุ่มผมขาวสีหน้าดุดันโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น แววตาเผยจิตสังหารแรงกล้า

“หากท่านกลับมาเกิดใหม่ เช่นนั้นพวกเซียนแดนสวรรค์โบราณที่ค้นหาวิญญาณท่านก็ควรจะรู้…แต่ไม่กี่เดือนก่อนข้าสัมผัสกลิ่นอายของท่านได้ มันไม่ผิดพลาด!” พอคิดถึงกลิ่นอายเมื่อหลายเดือนก่อน ความคิดเด็กหนุ่มผมขาวสั่นเทา เป็นเพราะกลิ่นอายนี้เขาจึงตื่นตระหนกและใช้ทั้งสำนักเทพเจ้าลงมือตรวจสอบอย่างบ้าคลั่ง แม้ได้รับหินหยกจากเซียนสตรีฟ้ากระจ่าง แม้จะโลภในมรดกของดินแดนฟ้ากระจ่างสักแค่ไหน เขาก็ยังส่งศิษย์ตัวเองออกไปแทน

เขาบ่มเพาะมานานมากและนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกลัวเช่นนี้นับตั้งแต่ที่อาจาย์ตายไป ความหวาดกลัวทำให้เขานึกย้อนไปถึงความทรงจำก่อนที่อาจารย์จะตาย

ความหวาดกลัวจบลงจนอาจารย์ตาย แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขาสัมผัสกลิ่นอายของอาจารย์ได้ ความหวาดกลัวนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง

หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย หนุ่มผมขาวกัดฟันแน่น เอ่ยอย่างเย็นเยียบพร้อมจิตสังหารรุนแรง “ถ้าหากท่านเกิดใหม่จริงๆ ข้าจะฆ่าท่านอีกครั้ง! รวมถึงพวกเซียนแดนสวรรค์โบราณด้วย พวกเจ้าสามารถซ่อนอยู่ในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าได้ และแม้ข้าจะไม่กล้าแตะต้องมัน แต่ข้ายังสามารถบังคับวิญญาณซ่อนให้ออกมาได้!”

เด็กหนุ่มดวงตาเป็นประกายและค่อยๆคุกเข่าลงช้าๆ ขบคิดและหลับตาลง

“หลิวจื่อฮ่าว วิชาของเจ้าไม่มีอันไหนเผยความลับออกมายกเว้นหนึ่งวิชา! นั่นคือวิชายับยั้ง! ในโลกนี้มีเพียงอาจารย์ ฉิงหลินและข้าที่รู้จักมัน ฉิงหลินไม่คิดว่ามันเป็นวิชาชั้นยอดอะไรเพราะไม่ได้ติดตามอาจารย์มานานเหมือนข้า เขาไม่รู้ว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ทรงพลังสั่นสะเทือนสวรรค์ยิ่งและเป็นวิชาที่อาจารย์ได้มาจากแดนสวรรค์โบราณ!”

“หยุดร่างกาย หยุดวิญญาณ หยุดปราณสวรรค์ หยุดพลังดั้งเดิม หยุดฟ้าดิน หยุดจักรวาล หยุดอวกาศและกาลเวลา หลังอาจารย์ตาย ไม่มีใครรู้จักวิชานี้มากกว่าข้า!”

“ตอนนี้ท่านอยู่ที่สำนักอมตะ ดังนั้นข้าจะให้ท่านมีชีวิตได้นานกว่านี้อีกสักหน่อย ข้าจากข้าเสร็จสิ้นการหลอมกระจกโบราณเก้ากำเนิด ไม่ว่าท่านจะเกิดใหม่หรือซ่อนอยู่ในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ก็หนีไปไหนไม่รอด!” หนุ่มผมขาวลืมตาขึ้นกะพริบแสงเย็นเยียบ

การเดินทางครั้งนี้เขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้เขาระมัดระวังไม่ใช่หวังหลินแต่เป็นอาจารย์เขา! เขาคงไม่ทำอะไรอย่างบุ่มบ่ามและเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็น

ณ สำนักอมตะ บนยอดภูเขาหลู่ซู่ หวังหลินกำลังนั่งอยู่ในตำหนักและวางถ้วยชาลง กลิ่นอายเทพโบราณเข้าสู่ฝ่าเท้าเขาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับรวมกันตรงระหว่างคิ้ว

จ้าวสำนักอมตะและผู้อาวุโสระดับสูงกำลังพูดคุยกับหวังหลิน พยายามหาว่าเขาเรียนรู้วิชาพวกนั้นมาจากไหน ปกติหวังหลินก็แค่เมินเฉยพวกเขาและทำตัวสุภาพ

แต่อีกฝ่ายยอมให้วิญญาณหยินสุดขั้วกับเขา แต่สิ่งสำคัญมากไปกว่านั้นคือหวังหลินกำลังดูดซับกลิ่นอายเทพโบราณอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งเขาดูดซับก็ยิ่งมีโอกาสทำให้พลังดั้งเดิมรอบๆหนาแน่นขึ้น เพื่อเปลี่ยนความสนใจพวกเขา หวังหลินจึงยิ้มรับและพูดคุยด้วย

สิ่งที่พูดกันเป็นแนวคิดชั้นสูงแต่ก็มีความจริงภายในอยู่บ้าง

“เต๋าแห่งสวรรค์อาศัยอยู่ในจิตใจ ตราบใดที่ใจมีเต๋า มันสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้ เมื่อมันผสานเข้ากับเขตแดนของท่าน มันจะเปลี่ยนเป็นวิชาของท่านเองตามธรรมชาติ…”

ขณะที่หวังหลินพูดอยู่นั้น ลำแสงสองเส้นเข้ามาหาตำหนักและเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคนทั้งสอง พวกเขายืนอยู่ข้างนอกอย่างเคารพ หนึ่งในนั้นคำนับฝ่ามือ “ศิษย์ได้นำหยินสุดขั้วมาแล้ว จ้าวสำนักโปรดตรวจสอบ”

หวังหลินท่าทีนิ่งเฉยและไม่ได้มองออกไปนอกตำหนัก พอพูดจบแล้วจึงมองออกไปข้างนอก

จ้าวสำนักอมตะเพ่งสมาธิกับคำพูดของหวังหลินก่อนจะเผยรอยยิ้มขมขื่น สิ่งที่หวังหลินพูดเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็เหมือนจะมีความนัยแฝงอยู่ กล่าวให้สั้นๆมันช่างประหลาดยิ่งนัก

ขณะนั้นเขาเห็นสายตาหวังหลินส่งออกไปนอกตำหนัก จึงกระแอมและกล่าวขึ้นมา “ส่งมันให้สหายเซียนหลิวตรวจสอบ”

ทั้งสองคนนอกตำหนักพยักหน้าอย่างเคารพและเดินเข้ามาข้างใน หยุดลงเบื้องหน้าหวังหลิน พวกเขานำธงเล็กๆออกมาหกผืนอย่างนอบน้อมและยื่นส่งให้หวังหลิน หวังหลินตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่าธงแต่ละผืนมีวิญญาณหยินสุดขั้วอันบริสุทธิ์อย่างละดวง!

หวังหลินยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้ม มองไปทางจ้าวสำนักและผู้อาวุโสระดับสูง พลันคำนับฝ่ามือเอ่ยขึ้น “ขอบคุณท่านทั้งสอง ข้าขอขอบคุณจากใจจริง!”

จ้าวสำนักยืนขึ้นยิ้มด้วย “สหายเซียนหลิวสุภาพเกินไปแล้ว การแข่งขันของสำนักระดับแปดจะเริ่มในอีกห้าวัน ข้าหวังว่าสหายเซียนหลิวจะใช้มันทั้งหมดนี้เพื่อช่วยสำนักอมตะให้ชนะขึ้นมาได้!”

ผู้อาวุโสระดับสูงยืนขึ้นและคำนับฝ่ามือด้วยรอยยิ้ม

หวังหลินพยักหน้าด้วยท่าทางสงบ “สบายใจได้ ข้าจะทำให้ดีที่สุด! ข้าจากสำนักต้นกำเนิดไปร้อยปี เช่นนั้นข้าขอไม่รบกวนท่านทั้งสองแล้ว ข้าจะไปทักทายพวกเด็กๆเสียหน่อย”

จ้าวสำนักยิ้มกว้าง “น้องหลิวก็เป็นคนห่วงใยเรื่องเหล่าผู้น้อยด้วย ข้าจะไม่ขอรั้งเจ้าไว้แล้ว ซุนเต้ย นำทางสหายเซียนหลิวกลับไปที่สำนักต้นกำเนิดอยู่เสียสิ!”

ศิษย์หนึ่งในคนที่นำวิญญาณหยินสุดขั้วมารีบตอบสนอง

“ข้าขอตัวก่อน!” หวังหลินคำนับฝ่ามือให้จ้าวสำนักและผู้อาวุโสระดับสูงก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงลอยขึ้นไปในอากาศและถอนหายใจอย่างโล่งอกครั้งใหญ่

เขารู้สึกว่ากลิ่นอายเทพโบราณใต้ภูเขากำลังหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆและกำลังจะรบกวนพลังดั้งเดิมรอบด้าน หากเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้คงถูกคนอื่นๆสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องรีบจากไปให้ไว!

เขาใช้เวลาอยู่บนภูเขาแห่งนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ดาวดวงที่หกที่แตกสลายไปแล้วก่อตัวขึ้นมาใหม่และกลายเป็นวังวนจางๆ แม้มันจะไม่ฟื้นฟูได้สมบูรณ์ แต่เทียบกับก่อนหน้านี้มันก็เหมือนฟ้ากับเหว!

‘น่าเสียดาย…แต่ตราบใดที่ไม่มีใครรู้ ยังมีโอกาสอีกหลายครั้งที่จะดูดซับพลังดั้งเดิมจากที่นี่อีก! แม้แต่กระบี่ที่สร้างขึ้นจากดาวก็จะตกอยู่ในกำมือข้า!’ หวังหลินสีหน้าสงบนิ่งตามธรรมชาติและติดตามศิษย์สำนักอมตะไป

หลังจากเขาไป กลิ่นอายเทพโบราณก็อ่อนแอลงอีกครั้งจนมันกลับไปหลับใหลเหมือนเดิม

ตั้งแต่ต้นจนจบหวังหลินดูดซับอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจมากเกินไป อย่างดีที่สุดคือรู้สึกเหมือนมีพลังดั้งเดิมที่แตกต่างกันอยู่ที่นี่แต่ก็ไม่สามารถมองทะลุความผิดปกติอะไรได้

ณ ตำหนักบนภูเขาหลู่ซู่ รอยยิ้มของจ้าวสำนักหายไปและเอ่ยขึ้นมา “เขาไม่ใช่คนธรรมดา! เขามาถึงเพียงไม่นานก็ทำให้พลังดั้งเดิมที่นี่เปลี่ยนแปลงบางอย่างได้แล้ว”

ผู้อาวุโสระดับสูงพยักหน้าและเอ่ยขึ้นเบาๆ “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในเมื่อเขามาจากสำนักต้นกำเนิดและยังเป็นคนของสำนักอมตะด้วย การไม่ไปกดดันเขามากเกินไปจะเป็นเรื่องดีที่สุด การที่เขายอมเข้าร่วมการแข่งขันสำนักระดับแปดถือเป็นข่าวดีให้กับสำนักอมตะของเราแล้ว!”

จ้าวสำนักขบคิดเล็กน้อยก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ส่งข้อความสัมผัสวิญญาณออกไปดังสะท้อนไปทั่วภูเขา

“ผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหมดรวมตัว เรามีเรื่องต้องคุยกัน!”

หวังหลินเหาะเหินทะลุผ่านชั้นบรรยากาศ ตามศิษย์สำนักอมตะออกจากดาวเคราะห์ดวงนี้และกลับไปยังดาวเคราะห์ที่มีค่ายกลเปิดใช้งาน ศิษย์นำทางนั้นเคารพเป็นอย่างยิ่ง แม้จะนำทางอยู่แต่จริงๆแล้วเขาก้าวตามหลังหวังหลินไปครึ่งก้าวและไม่กล้านำหน้าหวังหลินเลย

พอกำลังเข้าไปยังดาวเคราะห์ที่ถูกผนึก ศิษย์จึงนำหินหยกออกมาทันทีเพื่อหาว่าสำนักต้นกำเนิดอยู่ที่ไหนและนำทางไป

ใช้เวลาไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงสวนของสำนักต้นกำเนิด ศิษย์คนนั้นกล่าวกับหวังหลินอย่างนอบน้อม “ผู้อาวุโส ที่นี่คือพื้นที่พำนักของสำนักต้นกำเนิด หากท่านไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน”

หวังหลินพยักหน้า จากนั้นอีกฝ่ายก็ถอยกลับและเหาะเหินออกไปไกล

วินาทีนั้นหวังหลินเหลืออยู่คนเดียวในท้องฟ้า เขาเห็นมู่ปิงเหมยอยู่ห่างๆและยังเห็นหลี่เฉียนเหมยในสวน

หลี่เฉียนเหมยยืนอยู่ในสวน แสงจันทราสาดส่องบนร่างนางดูราวกับนางสวมผ้าไหมสีเงินสวมทับเอาไว้อีกชั้น ใบหน้าสะสวยเจิดจรัสต้องแสงจันทรา

หลี่เฉียนเหมยยกมือละเอียดอ่อนขึ้นมาพลางมองหวังหลินที่กำลังลอยตัวอยู่ในอากาศ นางเผยรอยยิ้มอบอุ่นหัวใจ

“ท่านกลับมาแล้ว…”

หวังหลินร่อนลงในสวนห่างจากหลี่เฉียนเหมยไปหลายสิบฟุต ขบคิดเล็กน้อยจึงกล่าวขึ้นเบาๆ “…ข้ากลับมาแล้ว”

แสงจันทราร่อนลงใส่หวังหลินด้วยเช่นเดียวกันและยืดเงาของเขาออกไปทับซ้อนกับเงาบางส่วนของหลี่เฉียนเหมย แต่ในไม่นานทั้งสองก็แยกกัน

รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงสายลมอ่อนๆพัดดอกไม้และต้นไม้จนเกิดเสียงใบไม้บางเบา ทว่าทั้งหวังหลินและหลี่เฉียนเหมยต่างก็เงียบกันทั้งคู่ภายใต้แสงดวงจันทร์อันสวยงาม

…………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!