1269. ไร้บ้าน 1
หวังหลินลอยตัวอยู่ในอากาศและเริ่มขบคิด กุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดของเขาคือหินหยกจากหลิวจินเปียว แต่หินหยกกลับหายไปโดยไม่คาดคิดและลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าก็หายไปพร้อมกับมันด้วย
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หวังหลินระวังตัว ทั้งงุนงงและเกิดความไม่สบายใจไปด้วย
‘โอกาสรอดต้องเกี่ยวข้องกับหินหยกชิ้นนี้ แต่ทั้งหินหยกและลูกปัดต่างก็หายไป ข้าจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไง?’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางกลับไปที่สำนักต้นกำเนิด
ในสำนักต้นกำเนิด หลิวหยานเฟยและคนอื่นๆต่างกำลังรอหวังหลิน พอหวังหลินมาถึงจึงทักทายด้วยความเคารพ แต่หวังหลินกำลังขบคิดและแค่พยักหน้า
หินหยกที่หลิวจินเปียวใช้ออกมาได้กลายเป็นหินหยกธรรมดาและขาดกลิ่นอายของเซียนขั้นทลายสวรรค์ หินหยกก้อนนี้เรียบง่าย หลิวจินเปียวใช้กลิ่นอายของพวกตะขาบจึงทำให้มันมีกลิ่นอายขั้นทลายสวรรค์จริงๆและไม่มีข้อผิดพลาด
ตอนนี้พวกตะขาบทั้งหมดตายไปแล้ว กลิ่นอายจึงหายไปและหินหยกกลับเป็นของทั่วไป
หลิวหยานเฟยมองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “อาจารย์ลุง สำนักต้นกำเนิดได้เก็บของทุกอย่างแล้วและสามารถไปได้ทุกเมื่อ”
หวังหลินขบคิดเงียบๆมองไปยังสำนัก เขายังเกิดความรู้สึกบางอย่างกับที่นี่ ที่นี่เป็นที่ที่เขาใช้เวลาช่วงหนึ่งในทะเลเมฆาและเป็นที่ที่เขาได้รับชื่อเสียง
หวังหลินเอ่ยขึ้นหลังจากขบคิดอีกสักเล็กน้อย “พวกเจ้าทั้งหมดไปก่อน ข้ายังมีเรื่องอื่นให้จัดการ หากมีอะไร ข้าจะไปหาพวกเจ้าที่สำนักระดับเจ็ด”
แววตาหลิวหยานเฟยเกิดความเศร้าเล็กน้อยแต่นางเข้าใจดี ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลินจึงไม่มีทางที่เขาจะพำนักอยู่ในสำนักเล็กๆ นางแค่ไม่คาดว่าเขาจะจากไปเร็วๆนี้
หลิวหยานเฟยกัดริมฝีปาก โค้งคำนับให้หวังหลินอย่างเคารพ นางต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกไป พลางถอนหายใจพาผู้คนของสำนักต้นกำเนิดและจากไปผ่านค่ายกลเคลื่อนย้าย
สมาชิกทุกคนของสำนักต้นกำเนิดโค้งคำนับหวังหลินก่อนจะจากไป
พอเห็นเหล่าศิษย์พวกนี้จากไป หวังหลินสูดหายใจลึก นั่งลงบนลานว่างพลางมองบนท้องฟ้าด้วยสายตาเยือกเย็น!
‘อนาคตทุกรูปแบบที่ข้าเห็นมีแต่ความตาย ถึงแม้ข้าจะไปสำนักระดับเจ็ดมันก็ยังเป็นเหมือนเดิม แม้ข้าจะหนีไปได้ตอนนี้มันก็ยังเหมือนเดิม! ข้าหวังหลินใช้ทั้งชีวิตเป็นเซียนฝืนลิขิตฟ้า เมื่อไร้หนทาง ข้าต้องดิ้นรนสร้างมันขึ้นมา!’
‘เซียนขั้นที่สาม…หากข้าไม่ตายไปในหายนะครั้งนี้ วันหนึ่งข้าจะทำให้พวกเซียนขั้นที่สามโค้งคำนับเบื้องหน้าข้าให้จงได้!’ ดวงตาหวังหลินเย็นเยียบยิ่งขึ้น
หวังหลินสะบัดแขนขวาปรากฏมิติเก็บของขึ้นมา สองกระบี่ที่ได้รับมาจากดินแดนเจ็ดสีลอยล่องออกมา แต่ละเล่มมีผนึกอยู่ด้วยและหวังหลินไม่มีเวลาเปิดมัน ตอนนี้ยามเผชิญวิกฤตจึงตัดสินใจเปิดผนึกด้วยกำลังเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเอง
ขณะที่หวังหลินกำลังเตรียมการต่อสู้กับหายนะครั้งนี้ ห่างออกไปไกลในเขตระดับเก้า ณ สำนักทะลวงสวรรค์ หลี่เฉียนเหมยถูกค่ายกลของผู้อาวุโสสามคนกักขังเอาไว้ นางมองอาจารย์ตัวเองและเอ่ยขึ้นเบาๆ “อาจารย์ ท่านไม่ต้องการให้เฉียนเหมยออกไป? ท่านบอกเหตุผลให้เฉียนเหมยได้หรือไม่?”
อาจารย์ของหลี่เฉียนเหมยซึ่งเป็นจ้าวสำนักทะลวงสวรรค์กำลังนิ่งเงียบ ราวกับเขาไร้ชีวิตและทิ้งไว้แต่เพียงร่างกาย
หลี่เฉียนเหมยก้มศีรษะลงและเอ่ยปาก “อาจารย์ เฉียนเหมยเติบโตขึ้นมาเคียงข้างท่าน และท่านจับข้าไปฝึกฝนเซียน ด้วยการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นในสำนักมาร เฉียนเหมยไม่ได้ขออะไรมากไปกว่าการกลับไปที่สนามรบ”
อาจารย์ของเฉียนเหมยขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยเสียงแหบพร่า “อาจารย์ส่งข้อความไปที่สำนักมารแล้ว เจ้าจะกลับไปในอีกสามเดือน ไม่ต้องรีบเร่ง!”
หลี่เฉียนเหมยขมวดสายตามองอาจารย์ตนเอง ความคิดนางสั่นเทา พยายามเข้าใจว่าทำไมอาจารย์ถึงได้ทำแบบนี้ เขากระทั่งเรียกใช้ผู้อาวุโสสามคน อีกทั้งด้วยระดับนางแล้วไม่จำเป็นต้องเรียกพวกเขาเลย
ผู้อาวุโสสามคนนี้เห็นได้ชัดว่ามีหน้าที่ในการตรวจตราและเป็นพยานรู้เห็น พวกเขากำลังสังเกตการณ์…
หลี่เฉียนเหมยหน้าซีดเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าทั้งสามคนไม่ได้มาที่นี่เพื่อเฝ้าดูนางแต่เป็นอาจารย์ของนางเอง! เดิมทีนางคิดว่าอาจารย์กำลังทำเช่นนี้เพราะนางออกไปมาจากสนามรบของสำนักมาร แต่ตอนนี้พอเห็นอาจารย์บอกนางว่าจะให้กลับไปที่สำนักมารในอีกสามเดือน ดูเหมือนเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสำนักมาร!
‘เกิดอะไรขึ้นอาจารย์ถึงทำแบบนี้…’ นางรู้สึกตกใจ ไม่ได้กังวลเรื่องตัวเองแต่กลับมีภาพร่างหวังหลินผุดขึ้นในใจนางด้วยเหตุผลบางอย่าง
“อาจารย์ เฉียนเหมยทำอะไรถึงทำให้ท่านต้องบังคับข้าให้อยู่ที่นี่สามเดือน?” ลี่เฉียนเหมยเงยศีรษะขึ้น มองอาจารย์ด้วยความแน่วแน่
อาจารย์ของหลี่เฉียนเหมยถอนหายใจออกมาก่อนจะมองศิษย์ที่สำคัญและรักยิ่งที่สุด ในแววตาเป็นความเมตตาและห่วงใย หลังจากผ่านไปสักพัก เขาค่อยๆเอ่ยปาก “เจ้า…”
ก่อนที่เขาจะเอ่ยให้จบ หนึ่งในสามผู้อาวุโสคำนับฝ่ามือและเอ่ยขึ้น “ข้าขอให้ท่านจ้าวสำนักคิดทบทวนให้ดี!”
“ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร!” อาจารย์ของหลี่เฉียนเหมยมองไปที่ผู้พูดด้วยความเยือกเย็น
“หลี่เฉียนเหมย เจ้ารู้จักคนชื่อหลิวจื่อฮ่าวไหม?” สายตาของอาจารย์ร่อนลงไปที่หลี่เฉียนเหมย
นางมีสีหน้าเป็นปกติแต่เกิดคลื่นครั้งใหญ่ในใจ
“ข้ารู้จักเขา ครั้งหนึ่งอาจารย์ให้ข้าไปที่เขตระดับห้าเพื่อหาหินหยกของศิษย์พี่ซือหม่าและมรดกชิ้นอื่น ระหว่างทางหลี่เฉียนเหมยได้เจอหลิวจื่อฮ่าว”
จ้าวสำนักมองหลี่เฉียนเหมยอย่างล้ำลึกและเอ่ยขึ้น “นั่นคือเหตุผลที่ข้ารั้งเจ้าไว้ที่นี่สามเดือน!”
หลี่เฉียนเหมยขบคิดเงียบๆพลางมีพลังสายหนึ่งรวบรวมอยู่ในร่างกายอันอ่อนแอของตัวเอง นางออกมาจากสำนักมารเพื่อหวังหลิน ตอนนี้นางได้ยินคำพูดของอาจารย์เข้า ด้วยความสติปัญญาจึงรู้สึกได้ทันทีว่าความเป็นความตายกำลังตกลงใส่หวังหลิน อันตรายนี้ใหญ่หลวงมาก แม้แต่อาจารย์ก็ทำอะไรไม่ได้จึงเรียกนางกลับมา แม้จะดูเหมือนนางถูกขังไว้ที่นี่แต่มันก็เพื่อป้องกันตัวนางเอง
หลี่เฉียนเหมยค่อยๆมีสีหน้าสงบลง แต่สัมผัสความมุ่งมั่นและขมขื่นเต็มทั่วร่าง นางค่อยๆยืนขึ้น
สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสามเย็นเยียบ หนึ่งในนั้นร้องตะโกน “หลี่เฉียนเหมย เจ้ากำลังทำอะไร?”
“อาจารย์ เฉียนเหมยเป็นเด็กกำพร้าและท่านรับเลี้ยงข้า ท่านมอบความเมตตา สั่งสอนข้าถึงการเป็นผู้ใหญ่ แม้ข้าจะเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ ในใจเฉียนเหมย ท่านเหมือนเป็นพ่อ!” น้ำเสียงของหลี่เฉียนเหมยสงบนิ่งแต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
นางมองอาจารย์พร้อมกับค่อยๆคุกเข่าลงและโขกคำนับหนึ่งครั้ง
“อาจารย์ หากเฉียนเหมยมีอีกชีวิต ข้าจะขอตายเป็นหมื่นครั้งเพื่อตอบแทนท่าน!”
ความคิดอาจารย์ของหลี่เฉียนเหมยถึงกับสั่นเทา เขามองนาง สายตายิ่งซับซ้อนจนอธิบายไม่ถูก เขารับเลี้ยงหลี่เฉียนเหมยมาตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นจึงเข้าใจนิสัยนางเป็นอย่างดี
“ท่านสั่งสอนข้าและช่วยหลอมเม็ดยา ทำให้เฉียนเหมยบรรลุขั้นทลายสวรรค์ได้ในเวลาแค่พันปี เฉียนเหมยรู้ว่าท่านใช้ทรัพยากรมหาศาลจากสำนัก แม้กระทั่งไปล่วงเกินผู้อาวุโสบางคนด้วย! พวกเขาไม่ได้ยินดีไปกับท่าน…อาจารย์ ข้ามิอาจลืมความเมตตาครั้งนี้ หากมีชาติหน้า แม้ข้าจะเป็นวัวหรือม้า ข้าก็จะขอตอบแทนท่านให้ได้” หลี่เฉียนเหมยโขกคำนับครั้งที่สอง นางไม่สามารถตอบแทนความเมตตาของอาจารย์ได้
“เฉียนเหมยรู้ว่ารู้ด้วยว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มักจะสงสัยว่าลี่เฉียนเหมยเป็นคนนอกมาตลอดเพราะสีผมของข้า เพราะพวกเขาสงสัยว่าข้าไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน พวกเขาผิดหวังที่ท่านใช้เม็ดยาจำนวนมากของสำนักไปเพื่อข้า พวกเขาไม่ยินดีที่ท่านสอนเต๋าให้ข้า! แต่ท่านไม่สนใจเรื่องนี้และมอบความอ่อนโยนให้ข้าเหมือนเป็นพ่อ! ท่านกระทั่งช่วยข้าหลอมเม็ดยาด้วยการสละวิญญาณส่วนหนึ่งมารวบรวมพื้นฐานให้มั่นคง เฉียนเหมยจะตอบแทนท่านได้อย่างไร…
………………………………..