1406. ดุจวิญญาณแห่งความเศร้า
เหมือนกับตัวเขาเอง!
ชายหนุ่มที่ท่องบทกลอนด้วยความโอหังนั้นและกำลังถือจอกเหล้าแทบเหมือนกับหวังหลินไม่มีผิดเพี้ยน!!
ความแตกต่างเดียวคือร่องรอยแห่งเวลา แม้หวังหลินจะดูอ่อนเยาว์แต่เขามีชีวิตมามากกว่าสองพันปี ดังนั้นจึงมีร่องรอยแห่งเวลาอยู่บนร่างกาย
แต่หนุ่มที่กำลังดื่มสุรานั้นกลับเต็มไปด้วยชีวิต ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาเป็น คนธรรมดาที่มีอายุไม่เกินสามสิบปี!
หวังหลินตะลึงงันมองเรือที่กำลังแล่นเข้ามา เขาเห็นชายหนุ่มวางจอกสุราลงและปาดของเหลวจากมุมปาก
คนรับใช้ด้านหลังชายหนุ่มอายุราวๆสี่สิบปี ศีรษะโยกเยกไปตามที่พูด
“ยอดเยี่ยม บทกวีของนายท่านช่างวิเศษ ตามการเข้าใจของผู้น้อย บทกวีนี้หมายความว่าสิ่งที่สวรรค์มีนั้นยากเกินกว่าจะมีใครได้มา เยี่ยม!”
ชายหนุ่มยิ้มพลางยกพัดขึ้นมาชี้ใส่คนรับใช้ “ผายลมน่ะสิ นี่มันเป็นบทกวีที่คนเก่าแก่โบราณทิ้งไว้เบื้องหลังชัดๆ จากสิ่งที่เจ้าพูดดูเหมือนข้าสร้างขึ้นมาเองเสียได้”
คนรับใช้ถึงกับยิ้มและไม่คิดมาก เขามองไปรอบๆและถอนหายใจ “นายน้อย เราไม่มีเงินเหลืออยู่มาก การเช่าเรือในแม่น้ำเมืองซูไม่ใช่ราคาถูก นี่ก็สี่วันแล้ว เราควรรีบไปที่เมืองหลวง…”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ ใครสักคนรินให้เขาอีกจอก เขาดื่มไปหนึ่งจิบและกำลังจะเอ่ยขึ้นมาทว่าร่างกายสั่นเทา สายตาตกลงบนสะพานข้างหน้า
หวังหลินอยู่บนสะพาน วินาทีนั้นสายตาทั้งคู่ก็ประสานกัน
ชายหนุ่มร่างสั่นเทา สีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป แววตาเกิดความประหลาดใจและวางจอกสุราลง เขาคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลินที่อยู่บนสะพาน “พี่ชาย ท่านพอมีเวลามาดื่มกับข้าหรือไม่?”
จิตใจที่กำลังสั่นของหวังหลินค่อยๆสงบนิ่งลง แววตาเผยแสงประหลาด เขาก้าวเท้าออกไปและลอยเหมือนใบไม้ร่อนลงอยู่เรือ
คนรับใช้ทั้งสี่คนข้างชายหนุ่มถึงกับตกตะลึง ทั้งหมดจ้องหวังหลินอย่างไม่เชื่อสายตา สิ่งที่ประหลาดใจไม่ใช่ท่าทางของหวังหลินแต่เป็นรูปลักษณ์ที่ดูเหมือนกับนายน้อยของพวกเขาต่างหาก!
หลังจากหวังหลินร่อนลงบนเรือจึงไม่ได้เอ่ยอะไรนัก เขานั่งลงตรงข้ามชายหนุ่ม
ชายหนุ่มมองหวังหลินอย่างละเอียด ยิ่งดูก็ยิ่งตกตะลึง คนผู้นี้ดูเหมือนเขามากเกินไป หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงออกคำสั่งคนรับใช้ให้เตรียมมาอีกหนึ่งจอก
คนรับใช้รีบนำจอกสะอาดออกมาและเติมมันด้วยตัวเอง ขณะที่กำลังรินก็สังเกตหวังหลินและลอบตกตะลึง
“พี่ชายดูเหมือนข้ามาก ข้าเจอคนมามากมายนอกแคว้น แต่ข้าไม่เคยเจอใครที่ดูเหมือนกับข้าเช่นนี้ ขอข้าทราบชื่อพี่ชายได้หรือไม่?” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัยและยิ้มบนใบหน้า
หวังหลินไม่กล่าว ยังคงขบคิด ยกจอกสุราขึ้นดื่มคนเดียว
พอเห็นว่าหวังหลินไม่ตอบ ชายหนุ่มไม่คิดมาก เขายกขวดสุราขึ้นมารินอีกแก้วให้หวังหลินด้วยตัวเอง
เสียงสายน้ำไหลผ่านพร้อมกับเรือที่ค่อยๆผ่านใต้สะพาน นักร้องและนักเต้นยังอยู่ดีแต่คนที่กำลังเฝ้าดูกลับขบคิดเงียบๆ
หวังหลินดื่มไปอีกจอก ในใจเกิดสมาธิจนทำให้สุราที่ดื่มไปไร้รสชาติ
‘เกิดอะไรขึ้น…ทำไมคนผู้นี้ถึงปรากฏตัวในบททดสอบมนุษย์…ไม่เพียงแต่ดูเหมือนข้า แม้กระทั่งวิญญาณ…’ หวังหลินขมวดคิ้วและดื่มไปอีกจอก
ชายหนุ่มยังคงยิ้มและไม่พูดอะไร ทว่าคนรับใช้ด้านข้างเขาไม่มีความสุขนักและ ดุด่าในใจ
‘นี่มันสุราดอกไม้โบราณของเมืองซูเชียวนะ มันแพงมาก…’
ค่ำคืนค่อยๆผ่านไปและมีสายลมเย็นพัดผ่าน นักร้องนักเต้นจากไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงหวังหลิน ชายหนุ่มและคนรับใช้
แสงจันทราค่อยๆปกคลุมผืนดินและสะท้อนในแม่น้ำ สายลมทำให้เกิดระลอกคลื่นในน้ำ ทั้งหมดสวยงามยิ่ง
คนรับใช้รู้สึกร้อนใจพร้อมกับมองดูท้องฟ้า หลังจากนั้นไม่นานจึงอดไม่ได้ที่จะดึงเสื้อชายหนุ่มและกะพริบตาให้
ชายหนุ่มยิ้มและส่ายศีรษะ เมินเฉยคนรับใช้
คนรับใช้ยิ้มอย่างขื่นขมและกระซิบ “นายน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเราต้องจ่ายค่าเรือเพิ่ม…และไม่ได้มีสุราเหลือมากด้วย…”
“ดื่มกับข้า” แววตาครุ่นคิดของหวังหลินหายไป เขาสะบัดแขนนำขวดสุราออกมา ขวดสุรานี้ไม่ใช่เลือดมังกรแต่ไม่ใช่สุราทั่วไป หากคนทั่วไปดื่มจะทำให้อายุขัยและสติปัญญาเพิ่มพูน
พอเห็นหวังหลินดึงขวดสุราออกมาจากความว่างเปล่า คนรับใช้เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าเร่งเจ้านายอีก
หลังจากรินให้ตัวเอง หวังหลินวางขวดสุราไว้กลางโต๊ะ เขาดื่มไปหนึ่งจอกและมองขึ้นฟ้า เอ่ยขึ้นทันที “ที่นี่คือแคว้นจ้าว…”
ชายหนุ่มตกตะตึงเช่นกันตอนที่หวังหลินนำขวดสุราออกมา หลังจากผ่านไปสักพัก เขาจึงสูดหายใจลึกและพยักหน้า
“ผู้อาวุโสคือ…เซียน?”
หวังหลินถือจอกและพึมพำกับตัวเอง “เจ้าเติบโตขึ้นในหมู่บ้านกลางภูเขา พ่อเจ้าคือหวังเทียนชุ่ย เป็นลูกคนที่สองของตระกูลและเป็นช่างไม้…แม่เจ้าคือโจวหญิงซู เป็นคนตระกูลโจวที่ศึกษาในโรงเรียนเอกชน ตอนเจ้ายังเด็ก แม่เจ้าเป็นคนสอนการอ่านเขียน…”
คำพูดเหล่านี้เหมือนสายฟ้าเข้าสู่หูของชายหนุ่มและเขาตกตะลึง
หวังหลินถอนหายใจและวางจอกสุราลง มองดูชายหนุ่มที่มีสายตาซับซ้อนเกินอธิบายและเอ่ยขึ้นเบาๆ “เดินลงบนชีวิตที่เจ้าเลือกต่อไป…”
หลังกล่าวจบ หวังหลินยืนขึ้นมองดวงจันทร์ในท้องฟ้า ตอนนี้รอบด้านไม่พร่ามัวอีกแล้ว ทุกอย่างกลายเป็นผลึกใส
หวังหลินก้าวเข้าหาแม่น้ำและลอยออกไปไกล
คนรับใช้บนเรือสั่นเทาและทรุดลงบนเรือ ในแววตามีความตื่นตระหนก มองทิศทางที่หวังหลินจากไปและพึมพำ “จริง…เซียนจริงๆ…นายน้อย เซียนตัวจริง นายน้อย ฝันของท่านเป็นจริง!!”
ชายหนุ่มจ้องมองท้องฟ้า หลังจากผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจลึก มองดูจอกเหล้าบนโต๊ะและเต็มไปด้วยสายตาสับสน
หวังหลินลอยอยู่ในอากาศมองดูพื้นดินเบื้องล่าง เขาคุ้นเคยกับที่นี่เพราะมันเหมือนกันกับแคว้นจ้าวในดาวซูซาคุ
‘ตอนที่ข้าเข้ามาในบททดสอบมนุษย์ด้วยวิญญาณ ข้าคิดว่าคงเป็นการค้นหาเต๋าเหมือนดาวเทียนหยุน ไม่คาดคิดว่าแทนที่จะค้นหาเต๋า กลับเป็นมารร้ายข้างใน…’
หวังหลินถอนหายใจและเผยท่าทีอันซับซ้อนอธิบายไม่ถูก
‘ข้าเหนื่อยจากการบ่มเพาะใช่หรือไม่…ไม่เช่นนั้นข้าจะสร้างภาพหลอนที่เดินบนเส้นทางที่แตกต่างไปได้อย่างไร…’ หวังหลินขบคิดเงียบๆ
‘ไม่เหมือนคราวที่อยู่บนดาวเทียนหยุน ข้ารู้ว่าข้าเป็นใครและข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้คือภาพลวงตา ข้ารู้ว่าข้าเข้ามาที่นี่ด้วยวิญญาณและข้ารู้จุดประสงค์ของที่นี่… ข้าจำเป็นต้องจุดไฟบททดสอบมนุษย์…’ หวังหลินเงยศีรษะขึ้น ในสายตามีความเศร้า เมื่อเขามองเห็นโลกได้ชัดเจนจึงเข้าใจว่าธูปมนุษย์คืออะไรและจุดมันได้อย่างไร
หากเขาต้องการ เขาสามารถจุดธูปดอกแรกได้ตอนนี้เลย
‘แต่ข้าอยากดูพวกเขาอีกครั้งก่อนจะจุดธูป…พวกเขา…และนาง…’ หวังหลินเผยสายตาโดดเดี่ยวและเศร้าหมอง เขารู้ว่าทั้งหมดนี้คือภาพลวงและถูกสร้างขึ้นจาก บททดสอบมนุษย์ แต่ก็อดไม่ได้ที่อยากจะดูสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสัมผัสได้ เส้นกั้นของเขา…นาง
‘แค่มองหนึ่งครั้ง จากนั้นข้าจะจุดธูปมนุษย์…’ หวังหลินก้าวไปข้างหน้าและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
บนดาวมหาจักรพรรดิ สายตาทุกคนจับจ้องร่างไร้การเคลื่อนไหวโดยมีมือหนึ่งข้างแตะบนก้านธูปดอกแรกบนหลังเต่ายักษ์
สายลมเบาๆพัดผ่านทำให้เส้นผมยาวและเสื้อผ้าสะบัดพลิ้ว
วิหคศักดิ์สิทธิ์เผยความกังวล มองดูร่างนั้นยิ่งกังวลขึ้นไปอีก
“ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้…ด้วยระดับบ่มเพาะของเขา เด็กนี่ควรจุดธูปดอกแรกได้แล้ว ข้าคิดว่าเขาใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงและจุดไฟได้ในหนึ่งลมหายใจ ตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งชั่วโมงซึ่งคือเกือบหนึ่งวันข้างใน หรือว่าเขาใช้เวลาบ่มเพาะไม่มากพอจึงมองมันไม่ออก วิญญาณจึงไม่ยอมออกมา?”
ปรมาจารย์ซือโม่เผยรอยยิ้มเหยียดหยัน จ้องมองร่างที่อยู่ใต้ธูปดอกแรก คิดขึ้นในใจ ‘นี่แค่ธูปดอกแรก เจ้าสารเลวนี่ก็เผยความอ่อนแอเสียแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะผ่าน บททดสอบได้ เมื่อเขาล้มเหลว จักรพรรดิน้อยคนแรกจะเสียหน้าต่อหน้าเซียนทั้งหมด…’
ยอดปรมาจารย์หยุนลั่วขมวดคิ้วหนักพลางขยับมือขวาที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าให้เคลื่อนไหวเร็วขึ้น ดูเหมือนการพยากรณ์ของนางจะมาถึงจุดวิกฤต
ขณะนั้นสายตาของวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองจ้องมองร่างด้านใต้ด้วยสายตาหรี่แคบ ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่เซียนจำนวนมากเห็นหยาดน้ำตาใสๆทั้งสองสายไหลออกมาจากร่างที่ยืนอยู่
ปรมาจารย์เต๋าความฝันมองดูหยาดน้ำตาและคิดถึงตัวเอง “วิญญาณกลับสู่บ้านเกิด…หากวิญญาณเต็มไปด้วยความเศร้ามันจะกลับสู่ร่างกาย หยาดน้ำตาแห่งความเศร้าจะหลั่งไหล…บททดสอบมนุษย์ช่างทรงพลังอะไรกัน…”
ข้างในบททดสอบมนุษย์ หวังหลินยืนอยู่ใต้ภูเขาสำนักเหิงยั่ว มองดูหมู่บ้านด้านหน้าเขาพลางหันกลับมา รอยน้ำตาไหลลงบนใบหน้า
ณ แคว้นฮัวเฝิน สำนักลั่วเหอ
ในห้องยาหลังภูเขา หญิงสาวสวมชุดดอกไม้พลันขมวดคิ้วและจ้องมองเตาหลอมยา ที่มีควันขโมง นางจ้องไปที่หญิงสาววัยกลาวคนที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ข้างเตาหลอมและเอ่ยกระซิบ “อาจารย์ หวานเอ๋อร์ล้มเหลวอีกแล้ว…”
หญิงวัยกลางคนจ้องมองตอบรับ “ก็ได้ เจ้ามักจะทำตัวน่าสงสารเสมอ ไปที่ภูเขายาและเก็บหญ้าจันทราวารีมาด้วย ข้าจะดูว่าข้าสามารถหลอมยาพวกนี้ใหม่ได้หรือไม่”
หญิงสาวแลบลิ้นน่ารักและรีบวิ่งออกไปจากห้องยาด้วยรอยยิ้ม
………………………………………..