144. ขั้นแกนลมปราณ (1)
มีแกนเยือกแข็งสามจุดคือในศีรษะ หน้าอก และตันเถียนเขาต้องทำลายจุดสมดุลระหว่างทั้งสามดังนั้นแกนเยือกแข็งที่ศีรษะจะยุบตัวลงและรวมเข้ากับแกนที่อยู่ในหน้าอกหากมันสำเร็จนั่นจะถูกเรียกว่าการหลอมระยะเริ่มต้น
ก้าวถัดมาคือการใช้แกนเยือกแข็งที่หลอมรวมครั้งก่อนมารวมเข้ากับแกนที่อยู่ในจุดตันเถียนเมื่อทั้งสามแกนรวมเข้าด้วยกัน สิ่งนี้จะเป็นโอกาสสร้างแกนพลังที่แท้จริง
หวังหลินนั่งเงียบๆในห้องศิลาที่เต็มไปด้วยพลังงานหยิน ดวงตาเยือกเย็น สัมผัสวิญญาณอยู่ในร่างกายและเพ่งสมาธิบนแกนเยือกแข็งในศีรษะ
ก้าวแรกคือการทำให้แกนเยือกแข็งหดตัวลง
หวังหลินรู้ได้ว่าหากเป็นก่อนหน้านี้มันคงยากที่จะรวมสามแกนเข้าด้วยกันแต่หลังจากผ่านประสบการณ์มาเขากลับรู้สึกว่าคำว่ายากคงกล่าวเกินจริงไปหน่อยมันยากเกินจะจินตนาการต่างหาก
หวังหลินได้ลองหดแกนชิ้นแรกดูแล้วเมื่อหลายเดือนก่อนและเขาก็ไม่เคยหยุดความพยายามตลอดมากลับดูเหมือนมีพลังลึกลับบางอย่างป้องกันเขาไม่ว่าหวังหลินพยายามหนักแค่ไหน เขาก็ไม่อาจทะลวงผ่านได้
ความต้องการในการฝึกวิถีเซียนนรกคือการทะลวงจุดจู่เซี่ยว ฉีไห่และตันเถียน แต่ละครั้งจะยากมากขึ้น ครั้งแรกนับว่ายากครั้งที่สองยากมากกว่า และครั้งที่สามถือว่ายากยิ่งทว่าสิ่งที่หวังหลินพยายามจะทำตอนนี้คือการทะลวงจุดจู่เซี่ยวครั้งที่สี่ดังนั้นมันจึงยากเกินจินตนาการ
หลังจากพยายามทะลวงผ่านหลายครั้งหวังหลินเปลี่ยนกลยุทธ์และตัดสินใจค่อยๆทำลายอุปสรรคลง เมื่อเวลาผ่านไปพลังงานที่กีดกันเขาจะค่อยๆอ่อนแอลง
ทว่าความเจ็บปวดยามที่ทำลายอุปสรรคนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจินตนาการได้ทุกครั้งที่เขาทำมันร่างกายจะสั่นระริกและหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อไคลตั้งแต่เริ่มกระบวนการนี้
เปลี่ยนสามแกนเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับความสำเร็จโดยปราศจากปณิธานอันใหญ่หลวงทว่าปณิธานไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินขาด หากย้อนกลับไปที่สำนักเหิงยั่วปณิธานของเขาได้สร้างถนนโลหิตขึ้นตามรายทาง หากพรสวรรค์เขาไม่เลวร้ายหวังหลินคงได้รับความใส่ใจและดูแลอย่างดีจากสำนักเหิงยั่วทว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับไร้ประโยชน์เมื่อสำนักเหิงยั่วถูกทำลายลง
ปณิธานของหวังหลินไม่อาจจินตนาการได้ หลังจากอดทนความเจ็บปวดนี้มาสามเดือน ในที่สุดแกนในจุดจู่เซี่ยวได้แตกหักมากกว่าเดิม
แกนเยือกแข็งขนาดเท่ากำปั้นค่อยๆหดตัวลงเข้าสู่ทะเลลมปราณของเขา(ฉีไห่)ขณะที่มันหดตัวนั้นเสี้ยวพลังงานจากแกนเยือกแข็งได้เข้าสู่ร่างกาย
ทุกครั้งที่แกนเยือกแข็งหดตัว ยิ่งมีเส้นใยพลังงานปรากฎมากขึ้นจนในที่สุดแกนเยือกแข็งก็อยู่เหนือทะเลลมปราณ
หวังหลินสูดหายใจลึกและเริ่มทำลายกำแพงข้างหน้าทะเลลมปราณโดยไม่ลังเล
อีกสามเดือนผ่านไปจนในที่สุดกำแพงอุปสรรคนั้นก็แตกออกและเปิดขึ้นในเวลาเดียวกันแกนเยือกแข็งสองแกนได้ปะทะกัน หวังหลินได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ ขณะที่พลังงานน่ากลัวได้พรั่งพรูออกมาจากร่างกาย
ใบหน้าหวังหลินซีดทันที หลังจากนั้นคอของเขาขยับเล็กน้อยหวังหลินไอออกมาเป็นลิ่มเลือด เมื่อออกมามันแข็งตัวและปะทะเข้ากับกำแพงจากนั้นกำแพงก็ปกคลุมไปด้วยผลึกน้ำแข็งสีเลือด
หลังจากไอออกมาเป็นเลือด เขาได้นำหินวิญญาณระดับกลางออกมาแปดก้อนบดขยี้มันทั้งหมดจนกลายเป็นละอองฝุ่นหมุนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็วและสร้างเป็นสัญลักษณ์ประหลาด
สัญลักษณ์เรืองแสงจางๆก่อนจะหายไปจากนั้นกระบี่เหินสีดำปรากฎขึ้นและหมุนรอบหวังหลินหนึ่งคราก่อนจะหยุดลงด้านหน้าร่างปิศาจปรากฎตัวออกมาช้าๆจากกระบี่เล่มนั้น
เจ้าปิศาจมองหวังหลินคราแรกและเริ่มต่อสู้กับจิตใจตัวเองขณะเดียวกันสัมผัสวิญญาณที่ปลูกฝังไว้ในเจ้าปิศาจกระตุ้นขึ้นมาและมันยับยั้งความคิดเจ้าปิศาจที่จะโจมตีหวังหลินจากนั้นก็เริ่มเชื่อฟังอย่างแน่วแน่
จบทั้งหมดนี้ร่างหวังหลินหล่นลงกับพื้น เขาเพียงแค่มีเวลาพอจะวางค่ายกลหนึ่งแห่งขึ้นมาก่อนจะสลบไป
เมื่อพูดถึงค่ายกลนี้ หวังหลินได้เตรียมค่ายกลอย่างง่ายๆขึ้นมาหลายแห่งเพื่อใช้ระหว่างสถานการณ์ฉุกเฉิน
เจ้าปิศาจปกป้องถ้ำและลอบชำเลืองมองหวังหลินอยู่ไม่กี่ครั้งมันเริ่มต่อกับตัวเองอีกครั้งและคิด “ข้าควรโจมตีเขาหรือไม่? ดี…เขาดูไม่เหมือนจะแกล้งทำนะ…ยากที่จะบอก ชายคนนี้เจ้าเล่ห์นัก…อาห์ข้าควรจะสู้กับเขาดีหรือไม่? แต่หากข้าเอาชนะเขาไม่ได้หล่ะ….” เจ้าปิศาจสั่นสะท้านและโยนความคิดนี้ในใจทิ้งไป
หลังผ่านไปหนึ่งวันความคิดที่ถูกโยนออกไปก็กลับมาอีกครั้งและเริ่มต่อสู้ “ข้าควรโจมตีเขาดีหรือไม่? นี่เป็นเวลาสำคัญที่สุดหากข้าพลาดโอกาสนี้ไปข้าคงไม่มีโอกาสอื่น…ไม่สิ หวังหลินคนนี้ฉลาดแกมโกงเขาจะป้องกันตัวเองได้เช่นไร? ตอนที่เขายังไม่สลบ ยังปล่อยให้ข้าออกมามันดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย”
เจ้าปิศาจส่ายหัวและมองหวังหลินอย่างชั่วร้าย “ข้าจะไม่ตกหลุมเจ้า เชิญแกล้งทำต่อไปเลย” ความคิดนั้นถูกโยนออกไปอีกครั้ง
อีกวันผ่านไป เจ้าปิศาจมองหวังหลินเริ่มถูกยั่วอีกครั้ง “ลืมมันไปซะ สู้มัน! ข้าไม่คิดว่าเขากำลังแกล้ง ข้าต้องการสู้ สู้ สู้!!”
ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานและกระโดดเข้าหาหวังหลิน ค่ายกลป้องกันไม่มีผลใดกับมัน ดังนั้นจึงสามารถแตะตัวได้
แต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียวเจ้าปิศาจกรีดร้องโหยหวนเมื่อควันสีเขียวออกมาจากร่างและดูเหมือนร่างกำลังหายไปมันรีบถอยกลับขณะที่ร้องไห้อย่างน่าสังเวช “ข้ารู้ว่าเจ้านี่เป็นคนฉลาดแกมโกงนักเขาจะปล่อยให้ข้าออกมาโดยไม่ใส่ใจได้ยังไงกัน? บิดาเถอะมันวางสัมผัสวิญญาณในตัวข้าตอนไหนเช่นนั้น….ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากนี้ยังไง?” เจ้าปิศาจทรุดลงกับพื้นและเริ่มร่ำไห้
หลังเจอเหตุการณ์แบบนี้เจ้าปิศาจจึงพักในมุมอย่างเชื่อฟัง มันจ้องกำแพงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
วันที่สามหวังหลินตื่นขึ้นมาและยิ้มอย่างขมขื่นเขาประเมินความยากการหลอมรวมต่ำไปพลังทำลายล้างที่สร้างโดยการหลอมรวมเป็นกุญแจของกระบวนการนี้
เขาไม่อาจปล่อยให้พลังงานี้ออกมาไม่เช่นนั้นการหลอมรวมจะล้มเหลวแต่หากเก็บไว้ในร่างกายก็ไม่อาจทนได้ ใบหน้าหวังหลินมืดหม่นและยุ่งเหยิง
ความจริงแล้วร่างกายเขาไม่อาจรองรับพลังปราณหยินระดับนี้ได้ซึ่งทำให้เขาสับสนอย่างมหาศาลเช่นนั้นผู้อาวุโสที่ฝึกวิถีเซียนนรกจะหลอมรวมแกนเยือกแข็งทั้งสามได้ยังไงกัน? ลืมเรื่องคนอื่นไปก่อน แล้วซือถูหนานสำเร็จการฝึกวิถีเซียนนรกได้เช่นไร?
หวังหลินคิดมากขึ้นแต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ซือถูหนานไม่เคยหยิบยกมาพูดถึง
“เช่นนั้นข้าจะทำให้ร่างกายทนต่อพลังงานหยินนี้ได้ยังไง?” หวังหลินบ่นพึมพำกับตัวเองเป็นเวลานานก่อนจะหัวเราะออกมาจากนั้นสายตาจ้องไปบนเจ้าปิศาจในมุมห้อง
หลังจากหวังหลินตื่นขึ้น เจ้าปิศาจแอบมองเขาตลอด ตอนที่หวังหลินมองมันร่างกายของมั่นดันสั่นสะท้านและรีบพูดขึ้นมา “ข้าได้ปกป้องท่านและตื่นตัวตลอดเวลาเชียวนะ”
หวังหลินจับเจ้าปิศาจและโยนมันเข้าไปในกระบี่เหินก่อนจะออกจากห้องศิลาไป
เขามองไปที่ห้องของลี่มู่หวานและเห็นเธอทรุดตัวบนโต๊ะ นอนหลับสบายผมอ่อนนุ่มถูกมัดขึ้นเป็นทรงหางม้าส่วนของหางม้าอยู่ข้างใบหน้าและที่เหลืออยู่หลังหูใบหน้ามีสีแดงจางๆและมีประกายราวกับแสงอาทิตย์สะท้อนหิมะ
เสื้อผ้าสีม่วงที่เธอสวมอยู่ทำให้เธอดูราวกับภาพวาดและทำให้หัวใจทุกผู้คนเต้นรัวขณะเดียวกันควันสีขาวเล็กน้อยได้ออกมาเตาหลอมยาถัดจากเธอนั่นทำให้เธอราวกับนางฟ้าในรูปวาด
ของประดับตกแต่งที่ลี่มู่หวานเพิ่มมาในห้องเป็นเถาวัลย์เขียวที่เธอหยิบมาจากไหนสักแห่ง ทำให้ฉากนี้ยิ่งอลังการมากขึ้นไปอีก
กลิ่นหอมของสมุนไพรออกมาจากห้องของเธอ เมื่อหวังหลินสูดดมเข้าไปทำให้จิตใจโล่งขึ้นมาทันที
เขามองดูเป็นเวลานานก่อนจะถอนสายตาออกมาและมองไปที่ห้องศิลาห้องอื่นครึ่งห้องเต็มไปด้วยสมุนไพรและอีกครึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบอย่างอื่นกะโหลกมังกรก็รวมอยู่ในวัตถุดิบพวกนั้น
ซากมังกรใหญ่เกินไปโดยเฉพาะกระดูกมันสิ้นเปลืองเกินไปหากจะใช้ทั้งหมดไปกับค่ายกลดังนั้นหวังหลินจึงออกมาครั้งหนึ่งเพื่อบอกให้ลี่มู่หวานเก็บบางส่วนเอาไว้
หลังจากให้คำสั่งนั้นเขาก็เริ่มหลอมรวมแกนเยือกแข็งทั้งสามแกนหวังหลินเริ่มไตร่ตรองมีสีม่วงติดบนกระดูกพวกนี้เล็กน้อยที่ทำให้มันดูราวกับโลหะมากกว่ากระดูกเขาคิดว่านี่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้โครงสร้างร่างกายมังกรพิเศษกว่าใคร
ขณะที่หวังหลินกำลังสังเกตอยู่นั้นจิตใจเคลื่อนไหวเร็วรี่และหันตัวกลับมาลี่มู่หวานเปิดประตูและอ้าปากค้างออกมา เธอตกตะลึงเมื่อเห็นเขาอาการง่วงนอนทั้งหมดหายไป
ในที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ ความคิดลี่มู่หวานได้เปลี่ยนไปอย่างช้าๆตอนเริ่มต้นเธอคอยเฝ้าระวังหวังหลินตลอดเวลาเพราะว่ากลัวเขาอาจจะโจมตีเธอขึ้นมาหลังจากนั้นผู้คนที่ฝึกฝนมนต์เซียนจะเก็บเกี่ยวพลังงานหยินบ่อยๆ
แต่จากนั้นเธอได้เข้าใจว่าหวังหลินคนนี้แทบจะปิดประตูฝึกฝนอยู่เสมอก่อนหน้านี้เธอคิดว่าพี่ชายเธอเป็นขยันฝึกฝน แต่หลังจากได้มาเห็นหวังหลินเธอกลับรู้ว่าเขาขยันมั่นเพียรจริงๆ
ในสายตาเธอหวังหลินอยู่ที่ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายแล้วและอีกเพียงก้าวเดียวก็บรรลุไปขั้นแกนลมปราณทว่าขั้นแกนลมปราณมันง่ายที่จะบรรลุขนาดนั้นเชียวหรือ? ในความทรงจำของลี่มู่หวานมีผู้เยาว์วัยที่สุดที่บรรลุขั้นพื้นฐานลมปราณอายุสิบเจ็ดปีแต่คนผู้นั้นใช้เวลาสามสิบปีจากจุดนั้นก่อนที่จะบรรลุขั้นแกนลมปราณคนผู้นั้นเป็นบรรพชนของฮัวเฝินเป็นคนแรกที่บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและเป็นคนที่ยกแคว้นฮัวเฝินขึ้นจากอันดับสองไปอันดับสาม
แต่เมื่อมองลักษณะของหวังหลิน เธอคิได้ว่าเขาเพียงอายุราวยี่สิบปีมันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสร้างแกนลมปราณในช่วงเวลาอันสั้นเมื่อหวังหลินบอกเธอว่าเขาจะส่งเธอกลับเมื่อตอนที่เขาบรรลุขั้นแกนลมปราณเธอลอบถอนหายใจเธอเชื่อว่าเขาจะใช้เวลาสักยี่สิบหรือสามสิบปีเพื่อบรรลุขั้นแกนลมปราณสำเร็จจึงรู้สึกดูถูกหวังหลินหากเขาต้องการเก็บเธอไว้เขาแค่พูดออกมาแทนที่จะอ้างแบบนี้
ลี่มู่หวานครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นถามขึ้น “ท่าน…ระดับฝึกตนของท่านได้ถึงจุดคอขวดหรือ?” จิตวิญญาณโลหิตของเธออยู่ในมือเขา ดังนั้นหากเขาเกิดบ้าขึ้นมาเธอคงไม่รู้จะตอบสนองยังไง คำถามนี้เกิดขึ้นในใจเธอเป็นเวลานานวันนี้เมื่อเธอเห็นเขาขมวดคิ้วจึงช่วยไม่ได้ที่เธอจะนึกได้ว่ามนต์แห่งความตายจำเป็นต้องดูดซับพลังหยินจากเซียนสตรีจากการคำนวณของเธอแล้วมันจะใช้เวลาหลายเดือนตั้งแต่ที่เขาสังหารคนครั้งล่าสุดหรือจับต้องผู้หญิงใดสักคน
หวังหลินไม่รู้ว่าลี่มู่หวานกำลังคิดอะไร เขามองเธอและพยักหน้า
หัวใจลี่มู่หวานเต้นผิดจังหวะ เธอก้าวถอยหลังและใบหน้าซีดเผือดเธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย “ข้า…ข้าแค่สัญญาว่าจะช่วยท่านปรุงยาหากข้า…ข้า…แม้ว่าข้าจะตาย ข้าก็ไม่ยอมรับ”
หวังหลินถูกลี่มู่หวานจับได้ เขาหันสายตาไปจ้องกระโหลกมังกรและถามขึ้น “ทำไมกระโหลกมังกรถึงเป็นสีนี้?”
เธอกัดริมฝีปากและพูดเบาๆ “ร่างมังกรเต็มไปด้วยพิษ ดังนั้นไม่แปลกที่กระดูกจะเป็นสีนี้”
“เต็มไปด้วยพิษ?” หวังหลินตกใจขณะที่ตรวจสอบกะโหลกอย่างระมัดระวัง
“ก่อนที่มังกรจะตาย ร่างมันเต็มไปด้วยพิษแห่งความตาย เมื่อมันตายไปพิษสามารถเปลี่ยนร่างมันเป็นสมบัติชนิดหนึ่งส่วนที่มีพิษมากที่สุดของมังกรอยู่ที่ไขกระดูกและส่วนที่มีมูลค่ามากที่สุดอยู่ที่ไขกระดูกเช่นกัน” ใบหน้าลี่มู่หวานค่อยๆเยือกเย็นและน้ำเสียบสงบลง
หวังหลินจ้องกะโหลกมังกรเงียบๆและเริ่มคิด ใบหน้ายุ่งเหยิงและพึมพำ “ร่างเต็มไปด้วยพิษ…ทำไมมังกรไม่ได้รับผลกระทบจากพิษตอนที่มันมีชีวิต…” ความคิดหนึ่งวาบผ่านในใจแต่ก็ออกไปอย่างรวดเร็วหวังหลินเพียงได้รับคำใบ้คำหนึ่งก่อนจะกลับมางุนงงอีกครั้ง
ลี่มู่หวานมองหวังหลินอย่างเยือกเย็นเมื่อเห็นคิ้วเขาเริ่มขมวดมากขึ้นจึงอดไม่ได้ที่จะพูด “ร่างมังกรสร้างพิษด้วยตัวมันเองจากเนื้อหนัง กระดูกอวัยวะภายในและกระทั่งน้ำลายดังนั้นโดยธรรมชาติมันไม่ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว….”
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งผ่านในใจหวังหลินความคิดนั้นเริ่มชัดขึ้นและชัดเจนขึ้นคิ้วหวังหลินค่อยๆคลายออกจนในที่สุดเขาหัวเราะออกมาและเก็บกะโหลกมังกรไว้ในกระเป๋า
“เมื่อร่างกายข้าไม่อาจทนต่อพลังงานหยินได้งั้นให้ร่างกายเป็นพลังงานหยินเสียเองเล่า เช่นนั้นข้าก็จะทนรับมันได้” หวังหลินสูดหายใจลึก มองที่ลี่มู่หวานและเดินเข้าหาเธอ
ใบหน้าเริ่มซีดจาง เธอถอยกลับไปที่กำแพงร่างกายสั่นระริกและเธอคิดแค่เพียงว่าเขากำลังจะสังหารเธอจึงได้ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่นหวังหลินพูดขึ้น “เมื่อข้าบรรลุขั้นแกนลมปราณข้าจะส่งเจ้ากลับสำนักลั่วเหอ”
จบคำพูด เขาหันตัวกลับ พุ่งออกไปนอกถ้ำและหายตัวไปในพริบตา
ลี่มู่หวานตกตะลึงจนอึ้งไป ในใจเธอสาปแช่งที่ผุดความคิดบ้าๆขึ้นมา จนเธอนั่งลงพิงผนัง
หวังหลินกระตุ้นวิชาหลบหนีปฐพีถึงจุดสูงสุดขณะที่พุ่งเข้าหาหุบเขาซากศพหลังจากได้รับความเข้าใจจากคำพูดของลี่มู่หวานตอนนี้เขามั่นใจร้อยส่วนในการหลอมรวมแกนเยือกแข็งทั้งสามเข้าด้วยกันแล้ว
หวังหลินเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เขามาถึงหุบเขาซากศพในสามวันพุ่งตรงเข้าไปข้างในและเหาะเหินจากหุบเขาแรกไปหุบเขาที่สิบสามภายนอกหุบเขาที่สิบสี่หวังหลินสูดหายใจลึกและก้าวเดินเข้าไป
ภายในหุบเขาที่สิบสี่พื้นดินปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งขณะที่หวังหลินเดินเข้าไปเสี้ยวพลังงานหยินชอนไขเข้ามาในฝ่าเท้าหวังหลินลังเลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆหดตัวลงเข้าไปในพื้นด้วยวิชาหลบหนีปฐพี
ขณะที่เขาจมลงไป พลังงานหยินเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากลงไปได้ลึกสามสิบผิง(100 เมตร)เขาก็หยุดลงขณะที่พลังงานหยินปฐพีอันแข็งแกร่งได้แช่แข็งร่างกายเขานี่เป็นขีดจำกัดของหวังหลินแล้วหากเขาเข้าไปลึกกว่านี้กระทั่งวิญญาณคงถูกแช่แข้งไปด้วย
หุบเขาที่สิบสี่มีความลึกอยู่เท่าไหร่และความลับอะไรอยู่ในนั้นหวังหลินไม่ได้ใส่ใจเขาควบคุมการเต้นของหัวใจอย่างละเอียดและขยับร่างกายเป็นท่านั่งดอกบัว
“ข้าจะไม่จากหุบเขานี้ไปจนกว่าแกนทั้งสามจะรวมเป็นหนึ่ง!” หวังหลินพึมพำในใจและหลับตาลง
เวลาผ่านไปราวกระพริบตา สามปีผ่านไป
ภัยพิบัติของฮัวเฝินในที่สุดได้ถูกแก้ไขแคว้นอันดับสี่ได้ส่งเซียนขั้นตัดวิญญาณออกมาสามคนพวกเขาใช้เวลาสิบเก้าวันเพื่อดูแลอสูรอัคคีทั้งหมดให้เชื่องจากนั้นหลอมพวกมันเข้าด้วยกันเป็นอสูรอัคคีระดับกลางตัวหนึ่งและพากลับแคว้นตัวเอง
ระดับของอสูรวิญญาณมีช่องว่างกว้างมาก พวกมันจำแนกขั้นได้เป็น ผิดปกติ วิญญาณ เดียวดาย และอสูรสวรรค์ แต่ขั้นมีระดับสูง กลาง และต่ำ
อสูรอัคคีที่ถูกลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าดูดซับนั้นเพียงอีกครึ่งก้าวจะเข้าสู่อสูรเดียวดายหากนับตามลำดับนี้แล้ว มันเป็นอสูรวิญญาณระดับสูงที่อยู่จุดสูงสุดลูกหลานของมันทั้งหมดต่างเป็นอสูรวิญญาณระดับต่ำนี่จึงแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างระดับสูงกลางและต่ำ หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าอสูรอัคคีอยู่ในภาวะอ่อนแอมันคงไม่ถูกกลืนกินได้ง่ายๆ
จึงบอกได้ว่าอสูรวิญญาณระดับสูงนั้นเทียบเท่าเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุดอสูรวิญญาณระดับกลางเทียบเท่ากับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายสูงสุดและอสูรวิญญาณระดับต้นเทียบเท่ากับเซียนขั้นแกนวิญญาณระดับปลาย
มังกรที่ตายไปนั้นเป็นอสูรวิญญาณระดับกลาง
แม้ว่าอสูรอัคคีได้จากไปแล้วพลังปราณอัคคีภายในแคว้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกฝนพวกเขาเพียงได้แค่รอให้พลังปราณอัคคีค่อยๆหายไปตามกาลเวลา
การรบกับซวนหวู่ดำเนินต่อไปแต่การรบระหว่างคนหลายร้อยคนกลายเป็นสิ่งหายากไปแล้วการรบส่วนใหญ่เป็นเพียงคนจำนวนไม่กี่สิบคนหลังจากเซียนของซวนหวู่หายไปหนึ่งในสามเหล่าเซียนของฮัวเฝินก็ไม่ได้มีพลังแรงพอที่จะผลักดันต่อไปดังนั้นทุกสิ่งจึงเกิดการเสถียรขึ้น
ขณะที่การต่อสู้ระหว่างสองแคว้นเปลี่ยนจากการฆ่าล้างกันไปเป็นสนามฝึกฝนสำหรับเหล่าเซียนของทั้งสองแคว้นแทนเรื่องนี้เป็นการดูถูกอย่างใหญ่หลวงกับเซียนทั้งหมดที่ได้ตายไประหว่างเริ่มสงคราม
ส่วนหวังหลิน หลังจากอยู่ใต้พื้นดินนับสามสิบผิงของหุบเขาซากศพที่สิบสี่หัวใจเต้นช้าลงมากขณะที่พลังงานหยินจำนวนมหาศาลเข้าไปในร่างเขากระจายสู่ร่างเนื้อและกระดูก
พลังงานหยินจำนวนมากค่อยๆรวบรวมภายในร่างกายเขาเช่นนั้นกายเนื้อตอนนี้จึงเป็นสีฟ้าราวกับกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งหกเดือนที่ผ่านมาหัวใจเขาเต้นเป็นจำนวน 9,837,543 ครั้งเท่านั้นและเขาได้ลงไปอีกเป็น 60 ผิง(180 เมตร)
อีกหกเดือนผ่านไป พลังงานหยินได้เข้าสู่อวัยวะภายในของเขาทั้งหมดร่างเนื้อและโลหิตเริ่มแข็งตัว มือและเท้าเริ่มเป็นผลึกน้ำแข็งมันทำให้รู้ว่าหากมีพลังใดเข้ามาจะสลายร่างเขาเป็นชิ้นๆในหกเดือนที่ผ่านมานี้หัวใจหวังหลินเต้นเพียง 487,659 ครั้งเท่านั้นและเขาลงไปใต้ดินถึง 243 ผิง
อีกหกเดือนผ่านไป ผลึกน้ำแข็งได้งอกบนแขนและขาหากมองใกล้ๆจะเห็นว่ากระดูกของเขามีน้ำแข็งอยู่ภายในด้วยลำตัวหวังหลินเริ่มเปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง หัวใจเต้นทั้งหมดเพียง 3865 ครั้งเท่านั้นและร่างจมลึกไปถึง 486 ผิง (1460 เมตร)
หกเดือนผ่านไปอีก ร่างกายทั้งร่างนอกเหนือจากศีรษะกลายเป็นผลึกน้ำแข็งและหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว ร่างกายจมลึกไปถง 1224 ผิง
อีกสองปีผ่านไป ครึ่งทางผ่านไปในปีที่สามศีรษะเขากลายเป็นผลึกน้ำแข็งเช่นกัน ไม่มีร่องรอยแห่งชีวิตจากหวังหลินในที่สุดเขาก็บรรลุภาวะนรกที่ซึ่งจำเป็นในการฝึกวิถีเซียนนรก
ร่างกายหวังหลินจมลงไปถึง 2659 ผิงและปรากฎช่องว่างสีฟ้าเข้มรอบกายเขาเต็มไปด้วยกระดูกอสูร ด้วยเหตุผลบางประการเลือดเนื้อของอสูรเหล่านี้ได้หายไปทิ้งไว้เบื้องหลังทะลซากศพแห่งนี้
กระดูกทั้งหมดที่นี่ได้กลายเป็นผลึกสีฟ้า
หวังหลินนั่งอยู่ภายในทะเลกระดูกและใช้เวลาหนึ่งเดือนเพื่อฟื้นฟูการเต้นของหัวใจสองเดือนเพื่อฟื้นฟูสัมผัสวิญญาณและสามเดือนเพื่อให้รู้สึกถึงแกนพลังงานเยือกแข็ง
ต่อมาแกนพลังงานเยือกแข็งจากจุดจู่เซี่ยวและฉีไก่ได้ปะทะกันสร้างเป็นพลังงานหยินอันรุนแรงพรั่งพรูออกมาทว่าเมื่อเปรียบกับพลังงานหยินในร่างกายหวังหลินตอนนี้กลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
หวังหลินรวมแกนพลังเยือกแข็งทั้งสองเข้าด้วยกันได้ง่ายๆและควบแน่นมันให้กลายเป็นหนึ่งแกน
ไม่นานหลังจากนั้นแกนพลังงานเยือกแข็งที่รวมกันได้มาถึงจุดตันเถียน ม่านพลังที่จุดตันเถียนเพียงครึ่งชั่วโมงก็สลายออก
แกนเยือกแข็งที่รวมกันก่อนหน้าปะทะกับแกนเยือกแข็งในจุดตันเถียนทันใดนั้นพลังงานหยินจากครั้งล่าสุดพรั่งพรูออกมามากกว่าเดิมนับสิบเท่าพลังงานหยินนี้หนามากแต่มันยังน้อยกว่าพลังงานในร่างหวังหลินเล็กน้อยที่สามแกนค่อยๆหลอมรวมเป็นหนึ่งอย่างช้าๆ
ทว่าสีของมันไม่ได้เป็นสีทองแต่กลายเป็นสีเทาล้วน
หวังหลินไม่ทราบว่าวิถีเซียนนรกได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างระหว่างลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและขอบเขตจวี่จึงพูดได้ว่าความยากที่หวังหลินเผชิญหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
วิถีเซียนนรกถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่เร็วที่สุดในการบรรลุขั้นแกนพลังปราณเพราะว่ามันสร้างแกนเยือกแข็งต้นแบบเป็นอันดับแรกจากนั้นจึงใช้พลังปราณเปลี่ยนมันเป็นแกนทองคำ
ตอนนี้หวังหลินเสร็จสิ้นมากกว่าครึ่งทางแล้วดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้พลังปราณเพิ่มขึ้นในการสร้างแรงผลักครั้งสุดท้ายทว่าขั้นแกนพลังปราณไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จ มันยังมีโอกาสล้มเหลว
หากเขาล้มเหลว แกนต้นแบบจะแตกละเอียดและเขาต้องเริ่มใหม่อีกครั้ง