153. แสดงความแข็งแกร่งในหนานต้าว
เซียนทั้งหมดพวกนี้อยู่ที่ขั้นแกนลมปราณระดับกลาง ตามปกติพวกเขาจะเพ่งสมาธิไปที่การฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นสำนักหลักทั้งสามหรือสำนักปิศาจรบ ทั้งหมดจะสุภาพกับคนเหล่านี้
หากไม่ใช่การปรากฎของอาญาสิทธิ์สั่งตาย พวกเขาจะไม่ปรากฎตัวขึ้น
ชายคนหนึ่งผิวหยาบกร้านแต่ใบหน้าชั่วร้ายมองไปที่หวังหลิน รูม่านตาหดแคบขณะที่พูดออกมาช้าๆ “เราต้องทำอะไรสักอย่าง หากเกิดขึ้นต่อไปมันจะได้รับการสนใจจากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดแน่ๆ แม้จะไม่มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนไหนในระยะห้าสิบล้านลี้รอบเมืองหนานต้าว หากเรื่องเลยเถิดกว่านี้เล่า? เมื่อเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมาถึงสักคน เราจะไม่มีโอกาส”
หนึ่งในชายชราที่เห็นหวังหลินสังหารเซียนขั้นแกนวิญาณได้อย่างง่ายๆเริ่มพูดขึ้น “คนผู้นี้เป็นเพียงขั้นแกนวิญญาณระดับต้น แต่ทำไมถึงได้ทรงพลังเช่นนี้? ดูสิว่ามารเฒ่าซางก้วนยังยอมเป็นศิษย์เขา แม้ว่าเราจะเข้าไปก็คงไม่ได้รับสิ่งใดกลับมา”
“ทั้งยังมีกระบี่เหินนั่นอีก ข้าไม่เคยเห็นกระบี่เหินที่สามารถเคลื่อนที่พริบตาได้มาก่อน กระบี่เล่มนั้นอย่างน้อยต้องเป็นสมบัติระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหรือกระทั่งขั้นตัดวิญญาณ มันได้สังหารนับร้อยคนแล้ว”
“เฮอะ เจ้าไม่เห็นหรือว่าเดิมทีมีร่างสิบร่างที่ถูกเจ้าอสูรลากมาด้วย? คนพวกนั้นเป็นผู้อาวุโสของสำนักปิศาจรบ มันสังหารเซียนขั้นแกนลมปราณได้ง่ายๆราวกับฆ่ามดฆ่าแมลง หากพวกเจ้ายังเต็มไปด้วยความโลภ นั่นเป็นปัญหาของเจ้าแล้วหละ ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ลาก่อน!” หนึ่งในเซียนที่มองหวังหลิน สายตาเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หลังจากพูดจบเขานำเรือออกมาลำหนึ่งและจากไปอย่างรวดเร็ว
เซียนที่เหลือครุ่นคิดอย่างเงียบๆจนกระทั่งหนึ่งในนั้นพูดขึ้น “ผู้ส่งสาส์นจากทะลด้านในกำลังมาถึงในเร็วๆนี้ ข้าจะไปสังหารอสูรตนนี้เพื่อยืดชีวิตข้าที่เสียไปหลายร้อยปี เมื่อข้าได้เม็ดยาฝึกตนนั่นข้าจะสามารถบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายได้และสามารถป้องกันชีวิตข้าได้อีก”
เฒ่าชราคนหนึ่งเต็มไปด้วยรอยย่นสูดหายใจลึกและพูดช้าๆ “ข้าด้วยเช่นกัน ชีวิตข้ากำลังใกล้จะจบหากข้าไม่สามารถเพิ่มระดับฝึกตนในอีกสิบปี…เวลานี้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรข้าต้องขอลองดู!”
สิ้นคำพูดร่างนั้นเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าตรงไปในตำแหน่งที่หวังหลินอยู่และมีเซียนอีกคนติดตามไปด้วย
เซียนที่เหลือต่างสงบเงียบแต่กลับมองทั้งสองอย่างระมัดระวัง พวกเขาตัดสินใจว่าหากทั้งสองแสดงให้เห็นว่ายังพอมีโอกาสชนะอยู่บ้างถึงจะตัดสินใจเข้าร่วมทั้งหมด แต่หากไม่มีโอกาสชนะเลยคงต้องจากไปทั้งหมดโดยไม่สร้างศัตรูกับชายคนนี้
หวังหลินผลักร่างเซียนขั้นแกนลมปราณที่ตายไปแล้วออกไปและถือแกนสีทองในมือ เขามองไปที่เหล่าเซียนที่กระจัดกระจายและเยาะเย้ยในใจพลันตบเอ็นมังกรและพูดขึ้น “ออกมาซะ วันนี้เจ้าสามารถกลืนกินได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ”
เจ้าปิศาจที่อยู่ภายในเส้นเอ็นมังกรไม่อาจทนสิ่งยั่วยวนของเหล่าอาหารอันโอชะทั้งหมดเบื้องหน้าได้ ทว่ามันกล้าออกมาโดยที่หวังหลินไม่ได้สั่ง แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหวังหลิน มันหัวเราะและกระโดดออกจากเส้นเอ็นมังกรพลันเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงพร้อมกับกระโดดไปบนเซียนขั้นแกนลมปราณที่กำลังหนีอยู่คนหนึ่ง ร่างเซียนคนนั้นกระตุกเล็กน้อยก่อนในที่สุดจะซูบผอมและกลายเป็นโครงกระดูก หมอกสีแดงออกมาจากศีรษะของเขาและหัวเราะ “รู้สึกดีจริงๆ! ในที่สุดข้าก็ได้กิน เช่นนั้นข้าจะกินอิ่มหนำสำราญไปเลย!”
หวังหลินมองเจ้าปิศาจคราหนึ่งและจากนั้นเปลี่ยนความสนใจไปที่ลี่มู่หวาน ใบหน้าลี่มู่หวานซีดขาวขณะที่เธอจ้องเจ้าปิศาจขณะที่กัดริมฝีปากล่าง
เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เธอหวาดกลัวเมื่อเจ้าปิศาจปรากฎตัวขึ้น
หวังหลินถอนสายตาและจ้องเจ้าปิศาจอย่างเยือกเย็น เจ้าปิศาจจากไปอย่างรวดเร็วและคิดขึ้น ‘ใครอยากจะอยู่ข้างเจ้ากัน? ยิ่งไกลจากเจ้ายิ่งดี ดีที่สุดหากข้าจะไม่เห็นเจ้าอีกเลย โลกนี้กว้างใหญ่ จะสบายแค่ไหนหากเป็นอิสระ’
แต่มันเริ่มรู้ว่าตัวเองพูดมากเกินไป เจ้าปิศาจพึมพำกับตัวเองขณะที่มันตามล่าด้านหลังพวกเซียน เมื่อมันเผยรอยยิ้มชั่วร้ายจะเป็นตอนที่มันกำลังกลืนกินเซียนเข้าไป ลำแสงสีทองแทงทะลุผ่านหน้าอกเซียนคนหนึ่ง มันสาปแช่งออกมาเสียงดังขณะที่กระโดดเข้าหาเซียนอีกคนจนกลายเป็นแสงสีทองกระพริบวูบวาบ
หลังจากเจ้าปิศาจากไป จิตใจของลี่มู่หวานค่อยๆสงบลง เธอลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะหันเข้าหาหวังหลิน “เขา…เขาคือ?”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น ไม่มีเซียนคนอื่นในระยะหนึ่งร้อยเมตร ศพเซียนทั้งหมดที่ตายถูกมัดรวบขึ้นด้วยเส้นเอ็นมังกรและลอยด้านหลังเขาราวกับกรง
การรบนี้ทำให้ชื่อของหวังหลินกระจายไปทั่วเขตของหนานต้าว มีร่างอย่างน้อยหนึ่งพันศพกระจายด้านหลังเขาจนปกคลุมท้องฟ้า
คำสีแดง ‘ลงโทษ’ เหนือศีรษะเขาเปลี่ยนจากสิ่งล่อตาล่อใจกลายเป็นสัญลักษณ์ของเซียนผู้ทรงพลัง
“มันคือปิศาจ” หวังหลินพูดอย่างสงบในขณะที่เขาจ้องไปที่ลำแสงสองเส้นที่พุ่งตรงเข้ามาจากระยะห้าร้อยลี้ หวังหลินหลับตาชั่วครู่ก่อนจะหันตัวและจากไป
“ซางก้วนโม่ มู่หนาน มู่เป่ย พวกเจ้าทั้งสามคนต้านไว้ก็พอ”
น้ำเสียงเย็นเฉียบดังขึ้นภายในหัวทั้งสามคน ร่างซางก้วนโม่สั่นเทาขณะที่เขาพุ่งความสนใจไปที่เซียนสองคนที่กำลังเข้ามาหา ตอนนี้จิตใจเขาสับสนวุ่นวายไปเรียบร้อย แม้เขาจะรู้ว่าเจ้าอสูรตัวนี้แข็งแกร่งมาก ทว่าไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเช่นนี้
“มนต์แห่งความตาย…มันน่ากลัวจริงๆ…หากข้าไม่ตายตอนนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตามข้าต้องลองฝึกมันดู หากข้ามีพลังแบบนี้ข้าสามารถเดินไปส่วนนอกของทะเลปิศาจได้อย่างไร้ผู้ต้าน”
ซางก้วนโม่สูดหายใจลึกและไม่รู้สึกแย่อีกต่อไปที่เขายื่นจิตวิญญาณโลหิตให้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ความแข็งแกร่งจะเป็นที่เคารพเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในทะเลปิศาจ
ความคิดของมู่หนานและมู่เป่ยเริ่มเหมือนกับซางก้วนโม่ ด้วยพลังอำนาจของอสูร้ายตัวนี้ สำนักปิศาจรบจะไม่มีโอกาสยืนได้ หากร้องขอชีวิต คงต้องติดตามอสูรร้ายผู้แข็งแกร่งตนนี้
ทั้งสองมองหน้ากันเองก่อนจะกัดฟันแน่นและรีบติดตามซางก้วนโม่อย่างรวดเร็ว
ซางก้วนโม่มองไปที่หนึ่งในสองคนนั้นและหัวเราะขึ้น “ฮ่าฮ่า นั่นมันเจ้าเฒ่าโอวหยางไม่ใช่หรือนั่น เราไม่เจอกันมานานเท่าไหร่แล้ว มาสนิทกันให้มากกว่านี้หน่อย” เขาจับกระบี่ด้านหลังทันที กระบี่ดำลอยออกมาและพุ่งเข้าหาเฒ่าชรา
ส่วนสองพี่น้องตระกูลมู่ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะอยู่ขั้นแกนลมปราณระดับต้นแต่กลับต่อสู้ร่วมกัน พวกเขาต่อสู้ในจุดที่เสียเปรียบแต่ว่ายังสามารถรั้งไว้ได้อีกเล็กน้อย
สายตาหวังหลินกวาดผ่านเหล่าเซียนที่อยู่ห่างไปนับห้าร้อยลี้และสายตายิ่งเย็นเยียบมากขึ้น
เหล่าเซียนที่รอดตายได้หนีห่างไปไกลแล้ว ทั้งหมดต่างหวังให้งอกขามาอีกสองข้างเพื่อวิ่งหนีให้เร็วกว่าเดิม ร่างหวังหลินสลักลึกลงใจจิตใจแต่ละคนและจะไม่มีทางลบเลือนได้
มีคนเหลืออยู่สี่คนขั้นแกนลมปราณระดับกลางกำลังมองห่างไปนับห้าร้อยลี้ ร่างเฒ่าชราผิวหยาบกร้านส่ายศีรษะ เขากำลังจะหันตัวจากไปทว่ารูม่านตาหดเล็กลงทันที
หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรียืนอยู่ด้านหลังเขาห่างไปสิบนิ้ว เหนือศีรษะเขามีคำว่า ‘ลงโทษ’ ลอยเป็นสีแดงเลือด
เหล่าเซียนที่เหลือสังเกตได้ว่ามีสิ่งผิดปกติและนำสมบัติเซียนทั้งหมดออกมาราวกับเผชิญกับศัตรูมหาศาล แต่ไม่มีกล้าโจมตีคนแรก
หวังหลินตรวจสอบทั้งสามคนและพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ไปซะ!”
ในสี่คนมีเพียงชายชราคนเดียวที่พร้อมจะจากไปพลางเผยแววตาขอบคุณและจากไปทันที ที่เหลือทั้งสามคนใบหน้าเปลี่ยนสีจากแดงเป็นขาวขณะที่ถอยหลังช้าๆ หนึ่งในนั้นพูดออกมา “เรื่องในวันนี้…”
ลี่มู่หวานลอบถอนหายใจและคิดขึ้น ‘ทำไมพวกท่านไม่รีบหนีไปอีก? คิดว่าคำพูดพวกนี้จะมีประโยชน์อันใดหรือ?’ แน่นอนว่าก่อนที่เขาจะพูดจบ หวังหลินขมวดคิ้วและสะบัดแขน ขอบเขตจวี่ลอยออกมาและดวงตาของเซียนคนนั้นเป็นสีแดงเลือดทันที
เขากุมศีรษะตัวเองก่อนที่มันจะระเบิดดังปัง แกนพลังสีทองปกคลุมด้วยโลหิตลอยเข้าฝ่ามือหวังหลิน
ที่เหลืออีกสองคนหันตัวกลับและวิ่งหนีออกไปโดยไร้คำพูด หวังหลินจ้องทั้งสองพลางประทับขอบเขตจวี่ไว้บนทั้งสอง
ขณะเดียวกันเซียนที่ต่อสู้กับซางก้วนโม่กรีดร้องอย่างโหยหวนและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขากำลังหนี เจ้าปิศาจและกระบี่ผลึกปรากฎด้านหน้าทันที เจ้าปิศาจคำราม “หยุดขโมยจากข้าซะ! เจ้านี่เป็นของข้า! ของข้าเท่านั้น!”
ทว่ามันยังไม่ก้าวช้าเกินไป หลังจากแสงสีทองกระพริบพลันปรากฎหลุมขนาดใหญ่ขึ้นบนหน้าอกของเซียนคนนั้น
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เซียนที่สู้กับสองพี่น้องตระกูลมู่ตายภายใต้การลอบโจมตีของซางก้วนโม่ หวังหลินเก็บกระบี่ผลึกกลับเข้าร่างกายอีกครั้งและเจ้าปิศาจกลับเข้าเส้นเอ็นมังกรอย่างไม่เต็มใจ
“นำทางข้าต่อไป!” น้ำเสียงหวังหลินเยือกเย็นและเจตนาบีบบังคับ
หวังหลินรู้ว่าหากเขาต้องการมีที่ยืน เขาต้องแสดงพลังของตัวเองให้เห็นและสำนักปิศาจรบเป็นสถานที่ที่ดีที่สุด
ขณะเดียวกันมู่หนานและมู่เป่ยนับถือหวังหลินจากก้นบึ้งลึกๆภายในใจ โดยเฉพาะมู่เป่ยที่เผยความนับถืออย่างไร้เงื่อนไขขณะที่นำทางไปสำนักปิศาจรบ
เบื้องหลังหวังหลิน ร่างจำนวนมากเปล่งประกายกลิ่นอายแห่งความตาย ฉากนี้มีความหมายมากกว่าคำพูดใด เซียนหลายคนที่มีเจตนาร้ายได้เห็นร่างศพนับพันต่างมีใบหน้าขาวซีดทันทีและถอยหนีอย่างรวดเร็ว กลัวว่าจะถูกรวมเข้าไปในกลุ่มซากศพพวกนี้