Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1559

Cover Renegade Immortal 1

1559. ขอบคุณ…

ร่างสีรุ้งเอ่ยขึ้น “ยังมีหนามผนึกอีกหกชิ้น เจ้าลงมือต่อได้”

หวังหลินขบคิดเงียบๆ และหักห้ามความคิดในใจ แยนขวายื่นออกไปหาหนามที่ห้าซึ่งอยู่ตำแหน่งท้องน้อย

“หนามที่ห้าคือผนึกต้นกำเนิด!” น้ำเสียงบางเบาของร่างสีรุ้งดังกึกก้องในหูหวังหลิน

วินาทีที่หวังหลินสัมผัสหนาม พลังเทพโบราณและพลังปราณสวรรค์ของเขาปะทุขึ้นอีกครั้ง ราวกับร่างเขากำลังแตกเสียหาย พลังสองสายพุ่งเข้าใส่แขนขวา หวังหลินดึงออกมาอย่างรุนแรง

เสียงดังปังเกิดขึ้นเมื่อดึงหนามออกมา ทว่าร่างหวังหลินสั่นเทา เสียงปะทุดังออกมาจากแขนขวาของตัวเอง หมอกโลหิตพวยพุ่ง เขาถอยไปหลายก้าวก่อนจะประคองตัวเองได้

หวังหลินก้าวเดินไปหาฉิงชุ่ยด้วยแววตาแดงก่ำ ใบหน้าฉิงชุ่ยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องคร่ำครวญผุดออกมาจากลำคอ

หลังจากเข้าไปใกล้ฉิงชุ่ย หวังหลินคว้าหนามที่หกและเจ็ดโดยไม่ลังเล ทั้งสองอยู่ในขาของฉิงชุ่ย!

ไม่ต้องรอให้ร่างสีรุ้งเอ่ยปาก หวังหลินร้องคำราม แสงสีทองกะพริบจากแขนหวังหลินและมีพลังเทพโบราณท่วมท้น ดึงด้วยสองแขนอย่างยากลำบาก!

แม้แต่คนที่แข็งแกร่งเช่นฉิงชุ่ยก็มิอาจอดทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไป ถึงอย่างไรเสียงกรีดร้องโหยหวนของเขายังถูกระงับไว้เป็นเสียงเล็ดลอดจากจมูก

ปัง!

หนามทั้งสองถูกหวังหลินดึงออกมาเสียงดังลั่น โลหิตไหลย้อนออกมาจากมุมปาก แต่พลังต่อต้านในตัวหวังหลินเพิ่มขึ้นถึงขีดสุดจนใบหน้าบิดเบี้ยว

“ไม่เลว เหลืออีกสาม แต่สามชิ้นที่เหลือนั้นดึงออกมาไม่ง่ายนัก หากเจ้าสามารถดึงออกมาได้ ข้าจะมอบของขวัญให้” ร่างสีรุ้งสงบนิ่ง ยื่นมือออกไปใส่ก้อนเมฆเจ็ดสีในท้องฟ้า ก้อนเมฆสั่นเทาเกิดเป็นผลไม้สีเหลืองขนาดยักษ์และค่อยๆตกลงมา

ผลไม้ยังมีกิ่งก้านติดอยู่ด้วย ร่างสีรุ้งตัดกิ่งก้านออกให้ผลไม้ตกลงไป

“นี่คือของขวัญให้เจ้า”

หวังหลินมองผลไม้เต๋าและขมวดคิ้ว ร่างสีรุ้งมอบให้เขาเป็นความรู้สึกเดียวกับเทียนหยุน เขามองเจตนาอีกฝ่ายไม่ออก อีกฝ่ายอนุญาตให้หวังหลินช่วยเหลือฉิงชุ่ย บอกความลับเรื่องบัญชาโบราณและกระทั่งมอบผลไม้เต๋าให้อีก!

ทั้งหมดนี้ทำลงไปโดยไม่มีเหตุผลได้อย่างไร มันต้องมีปัญหาอยู่บ้างแน่!

หวังหลินขบคิดเงียบๆ ก่อนจะถอนสายตาออกมาจากผลไม้เต๋า เขามองหนามที่แปดซึ่งโผล่จากกลางหน้าผากฉิงชุ่ยเพียงแค่ไม่กี่นิ้ว!

หวังหลินมองเห็นหนามอีกสองแห่งได้ แต่พวกมันคงถอนออกมาไม่ง่าย

พอสูดหายใจลึก หวังหลินค่อยๆ ยกแขนขวาขึ้นไปหาศีรษะของฉิงชุ่ย คราวนี้เขาช้ามากๆ และเคร่งขรึมยิ่งกว่าการกระทำก่อนหน้านี้เสียอีก

หนามที่แปดอยู่ตรงศีรษะซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตและความตาย หากมันอยู่กลางหน้าผากก็คงสมเหตุสมผล แต่มันกลับอยู่ห่างออกมาไม่กี่นิ้วซึ่งทำให้หวังหลินงุนงง

“หนามที่แปดไม่ใช่หนามแต่เป็นสิ่งที่วางเอาไว้เพื่อทะลวงเปิดวัฏจักรแห่งการ เกิดใหม่…” ร่างสีรุ้งดูเหมือนกำลังยิ้มพลางมองฝ่ามือของหวังหลินที่กำลังเข้าไปใกล้หนามที่แปด

หวังหลินหยุดชะงักไปชั่วจังหวะเมื่อห่างจากหนามเพียงแค่หนึ่งนิ้ว หนามนี้ต่างจากอีกเจ็ดที่ผ่านมา แม้หนามเหล่านั้นจะฝังอยู่ในร่างฉิงชุ่ย หนามโผล่ออกมาจากด้านนอกเสียส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามหนามที่แปดนี้กลับแทงอยู่ในฉิงชุ่ยมากที่สุดและโผล่ออกมาข้างนอกเพียงแค่สองนิ้ว

สองนิ้วแค่นี้ถือว่าสั้นมาก!

หวังหลินไม่อาจหยุดแขนได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาดึงมันออกมา ตำแหน่งนี้ช่างอันตรายเกินไป

ฉิงชุ่ยค่อยๆ เงยขึ้นมามองหวังหลิน แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่สายตากลับชัดเจน เขามองหวังหลินอยู่นานและจากนั้นพยักหน้า

หวังหลินมองฉิงชุ่ยและกัดฟัน วินาทีนั้นไม่ลังเลอีกต่อไปและจับไปยังหนามที่แปด ความเจ็บปวดทำให้ฉิงชุ่ยต้องร้องคร่ำครวญออกมา

ความทรงจำบิดเบี้ยวหลายอย่างเข้าไปในจิตใจหวังหลิน ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะปั่นป่วน ภาพจำนวนมากไหลเข้ามาทำให้จิตใจหวังหลินรู้สึกขยายตัวและเจ็บปวด

หวังหลินไม่ได้มองความทรงจำเหล่านี้อย่างละเอียด ฝ่ามือคว้าหนามที่แปดและดึงมันออกมาอย่างรุนแรงจนโผล่ได้สี่นิ้ว!

ฉิงชุ่ยกัดฟันและยังไม่ร้องรุนแรง เขาอดทนเอาไว้และส่งเสียงฟู่ๆ ลอดไรฟันออกมา

ลมหายใจสั้นๆ ไม่กี่ครั้งดูยาวนานเหลือเกินสำหรับหวังหลินและฉิงชุ่ย ความทรงจำที่ท่วมเข้ามาใส่เขาแทบทำให้หวังหลินบ้าคลั่งแต่เขาก็ไม่ปล่อยมือไป หวังหลินค่อยๆ ดึงหนามออกมามากขึ้นและมากขึ้น

ท้ายที่สุดแล้วหนามที่แทงเข้าใส่ศีรษะฉิงชุ่ยจึงถูกหวังหลินดึงออกมา โลหิตไหลย้อยจากปากฉิงชุ่ย เขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ล้มมาหาหวังหลินและหวังหลินรับเอาไว้

ศีรษะพาดใส่บนไหล่หวังหลิน ร่างกายอ่อนแอจนหวังหลินแทบไม่รู้สึกถึงน้ำหนัก เขาได้ยินคำพูดเบาๆ ออกมาเท่านั้น

“ขอบคุณ…” หลังได้ยินเช่นนั้น ฉิงชุ่ยจึงสลบไป

“ศิษย์พี่…” หวังหลินโยนหนามในมือออกไปและประคองฉิงชุ่ย หยาดน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

“ไม่เลว แต่หนามที่เหลืออีกสองแห่งนั้นยากยิ่งกว่าก่อนนี้นัก ช่างมันเถอะ รับไว้และไปได้แล้ว” ร่างสีรุ้งโบกแขนให้ผลไม้เต๋าลอยไปหาหวังหลิน

“ข้าพูดไว้ว่าจะยกมันให้เจ้า ดังนั้นเจ้ารับไว้เถอะ”

หวังหลินประคองฉิงชุ่ยและรับผลไม้เต๋ามา เขามองร่างสีรุ้งนั้นอย่างลึกซึ้งพลางเก็บผลไม้กลับไป หวังหลินพาฉิงชุ่ยเหาะเหินไปหาทางออกของดินแดนเจ็ดสี

หวังหลินสัมผัสถึงความน่ากลัวรุนแรงจากร่างสีรุ้งได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมร่างสีรุ้งถึงทำเช่นนี้ ขณะขบคิดจึงหยุดเดินทางและหันมาหาร่างสีรุ้ง

“ทำไม?” หวังหลินเอ่ยเสียงถามอย่างแหบพร่า

“เขาเป็นแค่เบี้ยในเกมกระดาน หากเจ้าต้องการช่วยเขาก็จงพาเขาไปให้ห่าง ส่วนเรื่องว่าทำไม…ข้าอยากเห็นว่าเหล่าเซียนจิตวิญญาณจะสามารถผ่านการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ที่เด็กน้อยจางนั่นทะลวงผ่านได้หรือไม่ถ้าได้รับโชควาสนา…บางทีข้าจะสามารถใช้สิ่งนี้ตามหาเขาได้…”

“ท่านกำลังหาอะไร?” หวังหลินขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร

“หากเจ้าสามารถพบมันได้ เจ้าก็จะรู้เอง” ชายสีรุ้งยิ้มออกมาและสะบัดแขนขวา ร่างหวังหลินถอยไปอย่างไร้การควบคุม

หวังหลินแววตาตกตะลึงเนื่องจากร่างค่อยๆ ถอยออกดินแดนเจ็ดสี

ขณะที่หวังหลินออกไปแล้ว เขาเอ่ยคำถามสุดท้าย “ท่านใช่จักรพรรดิเทพหรือไม่!?”

“ข้าทั้งใช่และไม่ใช่…” น้ำเสียงเบาบางดังออกมา หวังหลินปรากฏตัวในดาราจักรฟ้ากระจ่าง จากนั้นรอยแยกสู่ดินแดนเจ็ดสีค่อยๆ หายไป

ร่างกายกลับมาควบคุมได้ดังเดิมแต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ประทับไว้ส่วนลึกในจิตใจ เขาคล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างแต่ที่ทิ้งไว้ทำให้งุนงงกว่าเดิม

‘เขากำลังมองหาอะไร…หาก ‘เด็กน้อยจาง’ ที่เขาพูดถึงคือผีเฒ่าจาง เช่นนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์อะไรขึ้นกับผีเฒ่าจาง…’

‘การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชายสีรุ้งต้องตามหาคืออะไร…’ ขณะที่ขบคิด หวังหลินล่าถอยและมองดูดินแดนเจ็ดสีที่หายไปแล้ว

‘เรื่องเกี่ยวกับฉิงชุ่ยเป็นแค่เกมกระดานเท่านั้น…’ หวังหลินกะพริบแววตาเย็นเยียบ เขาประคองฉิงชุ่ยมาถึงดาวรกร้างใกล้กองบัญชาการพันธมิตรเซียน

บนดาวดวงนี้ไม่มีเซียนหรือพลังปราณอยู่เลย แต่มีอสูรอยู่บางส่วน ทว่าสำหรับหวังหลินแล้วที่นี่เป็นที่ที่ดีที่สุดในการถอนผนึกบนตัวฉิงชุ่ย

หวังหลินนั่งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งในดาวเคราะห์ วางร่างฉิงชุ่ยที่ไร้สติอยู่ด้านหน้า เขาสูดหายใจลึกและหลับตาเพื่อพยายามระงับพลังต่อต้านอันเจ็บปวดในร่างกาย อย่างไรก็ตามมันยากมากและท้ายที่สุดเขาทำได้แค่ทำให้ความเจ็บปวดทุเลาลงเล็กน้อย

ในเลือดเนื้อของเขามีหนามฝังอยู่นับไม่ถ้วน แม้จะมองไม่เห็นแต่ความเจ็บปวดทุกครั้งที่หายใจถือเป็นเครื่องย้ำเตือนการคงอยู่ของมัน

ราคาของการช่วยฉิงชุ่ยนับว่าสูงมาก

อย่างไรก็ตามแม้ให้เลือกอีกครั้งหวังหลินก็คงทำแบบเดิมโดยไม่ลังเล แม้จะไม่เป็นไปตามแผน และดูเหมือนจะโง่เขลามากก็ตาม

เหตุผลที่เขารอคอยมาหลายปีเพื่อช่วยฉิงชุ่ยเป็นเพราะระดับบ่มเพาะเมื่อคราวก่อน เขาไม่มีโอกาสเลยจึงไม่สามารถช่วยเหลือฉิงชุ่ยได้

แต่ตอนนี้ด้วยระดับบ่มเพาะในปัจจุบัน หวังหลินมีโอกาสช่วยเหลือฉิงชุ่ยได้ หากเขายังรอจนกว่าจะมีโอกาสดีกว่านี้ รอจนกลายเป็นเซียนขั้นที่สาม รอจนเขาแข็งแกร่งพอ เขาคงไม่รู้ว่าฉิงชุ่ยจะยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่…

บางครั้งแล้ว แม้จะมีคนที่คำนวณทุกอย่างชัดเจน ทุกๆ ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ คนแบบนั้นคงไม่รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกคืออะไร

แม้จะรู้ว่ามันอันตราย เขาก็ยังต้องไป! หากเป็นฉิงชุ่ย หวังหลินรู้ว่าด้วยนิสัยของฉิงชุ่ยก็คงทำแบบเดียวกัน เขาก็คงช่วยหวังหลิน!

แค่นี้ก็พอแล้ว

มันเป็นเหตุผลง่ายๆ และตอบได้ตรงๆ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้แบบนี้…ชีวิตมีค่า แต่บางครั้งก็มีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต

แต่มีน้อยคนที่ยังเชื่อเช่นนั้น

หวังหลินไม่ใช่สุภาพบุรุษหรือเซียนผู้โหดเหี้ยม เขาเป็นคนที่มีเลือด มีเนื้อและมีอารมณ์ความรู้สึก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!