Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 157

Cover Renegade Immortal 1

157. เรื่องเศร้าและสาวงาม

 

ใบหน้าเจ้าปิศาจมีความหวาดกลัวอย่างมากขณะที่มันคายวิญญาณออกมาทีละตัว หลังจากคายออกมามากกว่าสี่สิบตัว แกนพลังทองคำเกือบจะแตกสลายแล้ว

หวังหลินสะบัดแขนและวิญญาณทั้งหมดสี่สิบสามดวงลอยเข้าหน้าผากเขา พวกมันเข้าไปในจิตสำนึกและลอยถัดจากวิญญาณขั้นแกนพลังปราณจากซวนหวู่

สายฟ้าแดงขอบเขตจวี่พุ่งผ่านแต่ละดวงพร้อมกับที่ดวงวิญญาณหายวับไป หวังหลินรู้สึกได้ทันทีว่าวิญญาณของตนเองแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย

เจ้าปิศาจลอบผ่อนคลายเล็กน้อยก่อนจะจ้องหวังหลินพลางบ่นในใจ “นี่มันเกินไปแล้ว! วิญญาณทั้งหมดข้าขโมยกลับมาจากเจ้ากระบี่เลวนั่น! ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องล้างแค้น! รอจนกว่าระดับฝึกตนของข้าฟื้นฟูจนถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดก่อนเถอะ!”

ขณะที่มันกำลังคิดอยู่นั้นร่างของมันถูกหวังหลินจับขึ้นและโยนเข้าไปในเส้นเอ็นมังกร เจ้าปิศาจถอนหายใจผิดหวัง แรงกระตุ้นให้ต่อสู้กับหวังหลินปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทว่าความคิดนั้นวางลงไปเมื่อคิดได้ว่าคงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีแน่หากแกนพลังทองคำของมันแตกสลาย

หลังจากดื่มน้ำพลังปราณหวังหลินนั่งลงเพื่อฝึกฝน เมื่อคิดถึงความแข็งแกร่งของการฝึกวิชากระบี่ของเจี๋ยตงเล่ย เขาน้ำหินวิญญาณหลายร้อยก้อนออกมาเพื่อใช้มันวางค่ายกลป้องกันกระดองเต่าหลายร้อยชั้นให้กับตัวเอง

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมด หวังหลินสูดหายใจลึกและกระแทกด้านข้างผนัง ปากมังกรค่อยๆเปิดขึ้น หวังหลินลุกและเดินออกไป

เมื่อเดินออกมาจากปากมังกร หวังหลินเห็นร่างงดงามและบอบบางยืนอยู่ใกล้กับหางมังกร ใบหน้าลี่มู่หวานซีดเซียวแต่สายตาเธอเปล่งประกายขณะจ้องไปบนเกล็ดบนหางมังกรชิ้นหนึ่ง

ซางก้วนโม่ยืนถัดจากเธอด้วยไข่มุกเรืองแสงเพื่อให้แสงไฟกับเธอ

หวังหลินยังคงเงียบ เวลานี้เขาไม่ได้ปิดประตูฝึกฝนนานนักแต่จากที่เห็นลี่มู่หวาน เธอไม่ได้จากไปไหน หวังหลินถอนหายใจขณะกระโดดลงไป ร่างกายร่อนลงตามลำตัวมังกรและถึงเบื้องหลังเธอพอดี

เมื่อซางก้วนโม่เห็นหวังหลิน เขาใส่ชักนำพลังปราณเพิ่มเข้าไข่มุกทันทีเพื่อทำให้มันสว่างขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังบังคับให้เม็ดเหงื่อปรากฎขึ้นบนหน้าผากให้ดูราวกับกำลังเพ่งสมาธิเต็มที่

หวังหลินมองใบหน้าอันละเอียดอ่อนของเธอที่กำลังเคร่งขรึม คิ้วสวยงามราวกับรูปวาดกำลังขมวดเป็นปมและเธอกำลังกัดริมฝีปากขณะตรวจสอบเกล็ดพวกนี้ ลมอ่อนๆพัดเส้นผมปลิวไสว

หวังหลินค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ”เราไปกันเถอะ ข้าจะนำเจ้ากลับบ้าน…”

นิ้วของลี่มู่หวานสั่นเทา เธอยกศีรษะตัวเองขึ้นจ้องหวังหลินเป็นเวลานานก่อนจะกระซิบ ‘ท่านจะส่งข้ากลับไปจริงๆหรือ?’

หวังหลินหลบสายตาของลี่มู่หวานและพยักหน้า

ลี่มู่หวานหัวเราะแต่เสียงหัวเราะแฝงไปด้วยการทำตัวไม่ถูก เธอยืนขึ้นและกระชับเสื้อตัวเอง “ให้เวลาข้าสามวัน ตกลงไหม?”

หวังหลินมองเธอหนึ่งคราาก่อนจะเหาะกลับไปที่เศียรมังกรพลันนั่งลงในท่านั่งดอกบัว

ลี่มู่หวานนำหินหยกออกมาจากกระเป๋าและวางมันบนหน้าผาก หลังจากนั้นเธอบันทึกรูปแบบของเกล็ดมังกรไว้ในความทรงจำ เธอหันไปที่ซางก้วนโม่และพูดอย่างใจเย็น “โปรดเตรียมห้องไว้ให้ข้าหนึ่งห้อง”

ซางก้วนโม่รับคำอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเมื่อย้อนมองกลับไป ความสัมพันธ์ของเจ้าอสูรกับสาวน้อยคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด

ภายในห้อง ลี่มู่หวานนั่งบนพื้นอย่างสงบนิ่งขณะที่ฉากเหตุการณ์หลายปีที่ผ่านมากระพริบวาบผ่านสายตาเธอ ตั้งแต่ที่เธอถูกเซียนขั้นแกนลมปราณของซวนหวู่ไล่ล่า ถูกหวังหลินช่วยชีวิตและหนีออกมาด้วยกันสองคน จากนั้นถูกอสูรอัคคีไล่ล่าอีกและหนีเข้าทะเลปิศาจ สร้างถ้ำที่เธอถวายตัวเองกับการปรุงยาและเขามุ่งมั่นกับการฝึกตน…สามปีหลังจากนั้นเขาออกมาและนำเตาปรุงยามาให้เธอ ทั้งยังถูกเซียนขั้นแกนลมปราณไล่ล่าอีก จากนั้นเขาก็บรรลุขั้นแกนลมปราณและจากนั้นเส้นทางที่เขาผ่านเต็มไปด้วยโลหิต

เมื่อหวังหลินกำลังจะบรรลุขั้นแกนลมปราณ สาวน้อยบอบบางเช่นเธอต้องออกไปเผชิญหน้าเหล่าเซียนมารขั้นแกนลมปราณด้วยตัวเอง ขณะที่เธอกำลังจะถูกคนอื่นสังหาร หวังหลินพลันปรากฎตัวออกมาและช่วยชีวิตเธอไว้ เธอไม่อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้นั่นเพราะว่าร่างกายเธออ่อนแอและกำลังจะตกลงไป ทว่าหวังหลินอุ้มเธอไว้ได้ “อย่าขยับ ข้าจะพาเจ้าไปสังหารคนพวกนั้นเอง” ประโยคนี้ดังก้องในโสตประสาท

ประโยคนั้นทำให้เกิดความรู้สึกอันซับซ้อนในใจของเธอ พลันใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ระหว่างทางเธอคิดเรื่องนี้หลายครั้งจึงทำให้เธอยิ้มอย่างขมขื่น ทว่าขณะที่หวังหลินสังหารผู้คนระหว่างทาง ประโยคนั้นทำให้เธอหนักอึ้งในใจ ลี่มู่หวานพึมพำ “ข้าจะพาเจ้าไปสังหารคนพวกนั้นเอง….” ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆขณะที่เธอสูดหายใจเข้า “คนอื่นๆพาข้าไปดูดวงจันทร์สวยงามหรือดวงอาทิตย์ฉายแสงยามเช้า และยังไม่เคยมีใครพาข้าไปสังหารคนอื่น…”

ไม่นานนักเธอหายใจออกและพึมพำ “หลายปีมานี้เขาไม่เคยถามชื่อข้าและข้ายังไม่ทราบนามเขาเช่นกัน บางทีในสายตาเขา ชื่อข้าไม่สำคัญไปกว่าที่ข้ารู้จักศาสตร์การปรุงยา…ตอนนี้เม็ดยาพวกนั้นถูกปรุงขึ้นมา ข้าเดาได้ว่าข้าคงหมดคุณค่าไปซะแล้ว…” เมื่อคิดเช่นนี้ความรู้สึกซับซ้อนในใจกลายเป็นรุนแรงขึ้นจนกระทั่งเจ็บแปลบในหัวใจพลันกระแสโลหิตไหลออกมาจากมุมปาก

ความเศร้าอันสวยงามคงเหมาะกับเธอตอนนี้

หลังจากผ่านไปนานเธอกัดริมฝีปากตัวเองและนำหินหยกเกล็ดมังกรออกมาจากกระเป๋า มีทั้งหมด 18,874 ชิ้นเช่นเดียวกับจำนวนเกล็ดมังกรก่อนหน้านี้ เจี๋ยตงเล่ยไม่มีเวลาพอที่จะให้ศิษย์ยืนได้ทุกชิ้น

หินหยกเกล็ดมังกรพวกนี้เป็นผลมาจากความพยายามของเธอในครึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอใช้เวลาทั้งหมดบันทึกเกล็ดทุกชิ้น ปริมาณความเครียดสะสมมีค่าอย่างน้อยห้าปีในชีวิตเธอเสียอีก…

ลี่มู่หวานไม่ได้สนใจเรื่องนั้นอีกต่อไป เธอนำเกล็ดออกมาทีละชิ้นและเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน บางครั้งเธอกระทั่งเปลี่ยนโครงสร้างข้างใน

อันดับแรกเธอรวมหินหยกเกือบสองหมื่นชิ้นให้กลายเป็นหมื่นชิ้น จากนั้นกลายเป็นห้าพันชิ้นและหลอมเป็นเนื้อเดียวกันไปเรื่อยๆ

สามวันผ่านไปใบหน้าลี่มู่หวานซีดจางและร่างกายอ่อนแอมากๆ เธอรู้สึกว่าราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อแม้จะแค่ลมพัด เธอเดินออกมาจากถ้ำพิงตัวเองกับผนัง

หวังหลินกำลังถือของชิ้นหนึ่งในมือขณะที่ศึกษามันสามวันก่อน

เมื่อลี่มู่หวานออกมาหวังหลินวางของชิ้นนั้นลงก่อนจะกระโดดลงไปด้านหน้าเธอ เมื่อเห็นเธอหน้าซีดพลันขมวดคิ้วและถามขึ้น “เจ้าทำอะไรสามวันสามคืนเล่า? ดื่มนี่” หวังหลินนำขวดหยกที่มีพลังปราณสามร้อยหยดข้างในขึ้นมาและวางมันลงฝ่ามือลี่มู่หวาน

ลี่มู่หวานเก็บขวดหยกราวกับสมบัติพลันกระซิบ “ขอบคุณมากท่านพี่ ข้าสบายดี เรา…ไป…” สิ้นคำพูดใบหน้าเธอมีสีคืนมาบางส่วนขณะโน้มตัวลงบนไหล่หวังหลิน “ไป…กลับบ้าน…”

หวังหลินครุ่นคิดเป็นเวลานานก่อนจะโอบรอบเอวเธอด้วยมือซ้าย ร่างกายเหาะขึ้นไปบนอากาศทันทีและเปิดสายหมอกด้านหน้าออกเป็นทาง จากนั้นทั้งสองหายลับบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

ดอกพลัมเป็นสิ่งสวยงามหากมันแฝงสีทองคงดูหรูหรามาก ทว่าสีแดงตรงกลางได้เปลี่ยนความรู้สึกให้มันยังเป็นดอกไม้ จากธรรมดาสู่ความน่ากลัว จากสวยงามสู่ความประหลาด

มีเซียนหลายคนกำลังคุยกันภายในโรงเตี๊ยม แต่เมื่อชายชราคนหนึ่งเข้ามา การสนทนาหยุดลงทันที สายตาหลายคู่มองไปยังชายชราก่อนจะถอนสายตาออกมา

หลังจากชายชราเข้ามาในโรงเตี๊ยม เขาไม่ได้มองรอบๆทว่านั่งลงบนเก้าอี้ใกล้หน้าต่างแทน หลังจากสั่งไวน์ขาวพลันดื่มด้วยตัวเอง บางครั้งเขาก็คิ้วขมวดและบางครั้งก็คลาย ชัดเจนว่าจิตใจเขาหนักอึ้งมากๆ

ขณะเดียวกันการพูดคุยในโรงเตี๊ยมได้กลับมา

ขณะที่หนึ่งในโต๊ะเหล่านั้น เซียนสองสามคนเผยใบหน้ากังวลและกระซิบ “อสูรตัวนั้นสังหารคนรายทางและสู้กับเจี๋ยตงเล่ยที่เป็นจ้าวสำนักปิศาจรบเป็นเวลาสามวันสามคืน ในที่สุดเขาก็ใช้สมบัติวิเศษอันลึกลับสังหารเจี๋ยตงเล่ยในทันทีและเฆียนร่างเขาเจ็ดวันเจ็ดคืน ฮี่ฮี่ ข้าคิดว่าเมืองหนานต้าวจะมีจ้าวเมืองคนใหม่เสียแล้ว”

ใบหน้าชายชราเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูด “สมบัติวิเศษอันลึกลับ”

เซียนคนหนึ่งภายในโต๊ะเผยการรำลึกและถอนหายใจ “ฮี่ฮี่ เรื่องนั้นน่ะรึ? ข้าเห็นอสูรนั่นด้วยตัวเอง ตอนนั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยร่างศพที่มันขังมา มีศพอย่างน้อยหนึ่งพันร่าง อสูรนั่นรู้วิธีหาความสุขด้วยตัวเองเป็นแน่ มันกระทั่งถือสาวงามในมือขณะที่เหาะเหินผ่านท้องฟ้า ฉากนี้ทำให้ข้าจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต”

ชายชราขมวดคิ้วบางๆและพึมพำกับตัวเอง

ชายหนุ่มหน้าตากเย็นชาดื่มขึ้นและเยาะเย้ย “พวกเจ้าควรเงียบได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าเจ้านั่นฝึกฝนมนต์แห่งความตายที่โหดร้ายทารุณมากและเกลียดคนที่พูดถึงมัน ระวังตัวไว้หากคำพูดเข้าถึงหูมัน พวกเจ้าจะตายโดยไม่ได้ฝังศพ”

ขณะที่ชายชราได้ยินคำว่า ‘มนต์แห่งความตาย’ สายตาพลันส่องว่างขึ้น

ชายหนุ่มเยาะเย้ยขณะดื่มขึ้นอีก “ในความคิดว่า นับตั้งแต่ชายคนนั้นมีถูกอาญาสิทธิ์สั่งตาย หากเขายังอยู่ในเมืองหนานต้าวคงไม่อาจรอดชีวิตได้นาน ตอนนี้ยังไม่มีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดใกล้ๆเมืองหนานต้าว แต่เมื่อข่าวกระจายออกไป เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหลายคนอาจจะมาที่นี่ หากข้าเป็นมันข้าคงหาที่หลบซ่อนไปร้อยวัน”

“อาญาสิทธิ์สั่งตายร้อยวัน?!” ดวงตาชายชราสว่างขึ้นมากกว่าเดิม ฝ่ามือขวายื่นออกมาพร้อมกับใบหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีขณะที่ลำคอถูกจับด้วยพลังล่องหนและดึงเข้าไป

“เจ้าหนุ่ม ตาเฒ่าคนนี้สนใจคนที่เจ้าพูดถึงอย่างมาก เจ้าบอกรายละเอียดมันให้ข้าได้หรือไม่?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!