1595. ผลแห่งกรรมของสำนักหลอมวิญญาณ 1
ตอนนี้มีบัณฑิตจำนวนมากจากหมู่บ้าน เมืองและหัวเมืองใหญ่ทั่วแคว้นจ้าวที่กำลังมุ่งหน้ามาเมืองหลวงเพื่อสอบราชการ มีทั้งที่ตัวคนเดียวเหมือนหวังหลิน หรือเป็นกลุ่มสามถึงห้าคนมุ่งหน้ามาหัวเมืองใหญ่ทั้งสี่สิบเก้าเขต ซึ่งหลังจากผ่าน การสอบครั้งนี้จะสามารถไปที่เมืองซูเพื่อสอบรอบสองได้
เมืองซูกลายเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงก็เพราะคนผู้หนึ่ง นามว่าซูต้าว ซึ่งเป็นหัวหน้าบัณฑิตของแคว้นจ้าว ด้วยตำแหน่งของเขาทำให้เมืองซูกลายเป็นเมืองหลวงของ เหล่าบัณฑิตแห่งแคว้นจ้าว
คนที่โดดเด่นที่สุดของการสอบในเมืองซูจะกลายเป็นคนที่ถูกเลือก คนที่ถูกเลือกทั้งหมดจะไปที่เมืองหลวงของแคว้นจ้าวที่ซึ่งพวกเขาจะท่องทะยานไปไกลหรือจากไปอย่างเงียบๆ
หวังหลินเดินไปตามถนน นำพาความคาดหวังจากครอบครัวและความต้องการของตัวเองในอนาคตไปด้วย เบื้องหลังคือชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ เขาสวมกระเป๋าไม้ไผ่อยู่บนหลัง พึมพำเสียงเพลงดังออกไปไกล ดูผ่อนคลายยิ่งนัก
ท้องฟ้าสีหม่นแต่ไม่มีฝนตก อย่างไรก็ตามร่องรอยเปียกชื้นบนถนนได้ส่งกลิ่นอายเย็นๆ ออกมา ดินทรายและน้ำฝนผสมเข้าด้วยกันกลายเป็นเส้นทางอันเปรอะเปื้อน
เดิมทีการเดินไปถึงเมืองคงใช้เวลาครึ่งวัน แต่หวังหลินและชายวัยกลางคนยังไม่เห็นเมืองจนกระทั่งพลบค่ำ
ท้องฟ้ายามตะวันตกดินเปล่งแสงสีส้มทะลุก้อนเมฆและสาดส่องไปบนเมือง ยามนี้เพียงแค่ชำเลืองสายตาดู ถนนเส้นนี้กำลังถึงปลายทาง
‘ในที่สุดก็ถึง’ หวังหลินปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่และปาดเหงื่อบนหน้าผาก ระหว่างทางเขาเจออะไรหลายอย่าง พอคิดย้อนไปจึงพบว่ามันค่อนข้างประหลาด
“ต้าฝู[1] เมืองอยู่ข้างหน้า เราจะไปอาศัยอยู่ที่นั่นสักพัก” หวังหลินยิ้มและมองผู้ช่วยด้านหลัง
“ข้าไม่ชอบชื่อนั้น…” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะด้วยสีหน้าขมขื่น
“ข้าคิดว่ามันดีแล้ว นั่นเป็นชื่อที่ดี” หวังหลินหัวเราะและนำต้าฝูไปที่ประตูเมือง หลังจากนำป้ายสิทธิ์ที่ได้จากหมู่บ้านมา พวกทหารตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยจึงปล่อยให้เข้าไปข้างใน
แม้ว่าจะพลบค่ำแต่เมืองยังคงมีชีวิตชีวา บนถนนมีอยู่หลายคน พวกเขาคือบัณฑิตที่เข้ามาสอบ หวังหลินมาถึงสายไปเล็กน้อยดังนั้นเขาและต้าฝูจึงหาห้องพักไม่ได้แม้จะไปตรวจสอบที่โรงเตี๊ยมถึงห้าที่
พอเห็นท้องฟ้ามืดขึ้นเรื่อยๆ หวังหลินจึงกระวนกระวาย โชคดีที่โรงเตี๊ยมแห่งสุดท้ายมีห้องว่างหนึ่งห้อง แม้จะราคาสูงอยู่เล็กน้อย แต่ท้องฟ้าเริ่มมีเสียงฟ้าลั่นไปทั่ว สายฝนที่หยุดก่อนหน้านี้เริ่มเผยทีท่าว่าจะตกอีกครั้ง หวังหลินกัดฟันและให้ต้าฝูนำเงินออกมา
ต้าฝูนำเงินออกมาถือไว้ด้วยหัวใจที่เจ็บปวดและไม่ยอมยื่นให้หวังหลิน ทั้งยังพึมพำกับตัวเอง
“เงินเหลือไม่มาก…ช่างน่าเจ็บปวด…ดูเหมือนข้าจะพบเจอเรื่องบางอย่างมาก่อนและรู้ว่าเงินนั้นสำคัญมากแค่ไหน…”
ขณะที่พึมพำ เสี่ยวเอ้อร์มองหวังหลินและชายวัยกลางคนด้วยความดูถูก เขานำพาทั้งสองไปห้องรับแขกอย่างเกียจคร้าน เขาเจอบัณฑิตแบบหวังหลินมาเยอะ บางคนก็ใจกว้างและบางคนก็ยากจนเหมือนหวังหลิน
หวังหลินมีนิสัยเรียบง่าย แม้จะสังเกตสีหน้าท่าทางของเสี่ยวเอ้อร์ได้เขาก็ไม่นำมาใส่ใจ
ห้องที่ได้รับไม่ได้ใหญ่แต่ก็เหมาะสมกับคนสองคน อย่างไรก็ตามตอนที่เปิดประตูไปพลันมีกลิ่นเหม็นอับออกมาจนหวังหลินต้องขมวดคิ้ว ในฤดูฝนแบบนี้กลิ่นเหม็นอับมิอาจหลีกเลี่ยงได้เว้นแต่จะเป็นโรงเตี๊ยมราคาแพง
หลังจากกินอาหารง่ายๆ ไปสองสามอย่าง หวังหลินนอนอยู่บนเตียง มองดูตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ เขาได้ยินเสียงต้าฝูกรนดังลั่น
เตียงนอนให้สัมผัสเปียกชื้นและนอนไม่ค่อยสบาย หลังจากกลิ้งไปกลิ้งมาพักใหญ่หวังหลินกลับนอนไม่หลับ ดังนั้นจึงลุกขึ้นมาถอนหายใจ ต้าฝูกรนต่อไปขณะที่ หวังหลินนั่งอยู่บนเตียง เขานำหนังสือออกมาและเริ่มอ่านด้วยการใช้ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะ
ขณะที่อ่านไป สายฟ้าดังลั่นในท้องฟ้าและมีประกายแสงกะพริบวาบ สายฟ้าครั้งนี้รุนแรงมาก แม้จะฟาดลงมานานแล้วมันก็ยังไม่หายไป เสียงดังสนั่นหวั่นไหวปลุกให้ใครหลายคนในเมืองต้องตื่นขึ้นมา
สายลมพัดรุนแรงขึ้นราวกับท้องฟ้าด้านบนจะฉีกขาด สายลมส่งเสียงโหยหวนและพัดใส่พื้นดิน ก้อนโคลนจำนวนมากลอยขึ้นไปในอากาศ สายฝนกระหน่ำใส่หน้าต่างบ้านทุกหลัง
เสียงดังเปาะแปะออกมาจากประตูในห้องของหวังหลินราวกับสายลมกำลังทะลวงผ่านมา หวังหลินไม่สามารถเพ่งสมาธิอ่านหนังสือได้ เขาขมวดคิ้วและเงยหน้า
ขณะนั้นหน้าต่างพลันถูกสายลมเปิดอย่างรุนแรง หน้าต่างสองบานเริ่มกระทบกับขอบรอบๆ สายลมยังพัดพาน้ำฝนผ่านประตูมาด้วย
ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะมอดดับและห้องมืดสนิท เส้นผมของหวังหลินปลิวไปตามสายลม แม้แต่เสื้อผ้าก็พัดกระพือรุนแรง ขณะที่สายลมและสายฝนรุกรานไปในห้อง แม้แต่หนังสือในมือของหวังหลินแทบจะพัดออกไป
หวังหลินอุทานและรีบลุกขึ้น เขาเผชิญหน้ากับสายลมและก้าวเข้าไปใกล้หน้าต่าง ขณะนั้นสายฟ้าดังลั่นกึกก้อง ราวกับเสียงรุนแรงนี้กำลังออกมาจากหน้าต่างจนทำให้หวังหลินตกตะลึง
วินาทีนั้นประกายสายฟ้าหนึ่งสายกะพริบวาบเบื้องหน้าหวังหลิน แสงสว่างวาบล้อมรอบเมืองที่กำลังหลับใหล
หวังหลินเห็นส่วนหนึ่งของเมืองตกอยู่ในความมืด พอเห็นแบบนี้เขาถึงกับตกตะลึง
เขาเห็นวิหคสีขาวที่เคยเจอในความฝันระหว่างทางมาที่นี่ วิหคสีขาวบินเป็นวงกลมท่ามกลางสายลมและสายฟ้า
ดูเหมือนมันจะรับรู้สายตาของหวังหลินได้ วิหคสีขาวมองมาที่หวังหลิน นาทีนั้นสายตาของทั้งสองจึงประสานกัน
สายฟ้ารุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม ประกายแสงกะพริบวาบไม่หยุด ขณะที่ท้องฟ้าแปลบปลาบจากแสงของสายฟ้า ความคิดหวังหลินถึงกับดังลั่น เขายังคงอยู่ที่เดิม รู้สึกราวกับความคิดบางส่วนค่อยๆ รวมเข้าด้วยกันอยู่ในใจ ความคิดเหล่านั้นค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นเสียงเลือนลาง
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนและเก่าแก่ มันดังกึกก้องในใจหวังหลิน
“เวรกรรม…เวรกรรมคืออะไร…เวรกรรม มันคือสิ่งใด…”
สายลมพัดเข้าไปในหน้าต่างและตีใส่ร่างหวังหลินอย่างต่อเนื่อง เขายืนอยู่ตรงหน้าต่างและให้สายลมกระแทกเข้ามา สายฝนตกลงมา สายฟ้าดังลั่น แสงไฟกะพริบวาบ ในสายตาเขา ทุกอย่างในโลกนี้นอกจากวิหคสีขาวตัวนั้นได้เลือนหายไปหมด
เจ้าวิหคกระพือปีกและเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงหนึ่งสายพุ่งเข้าหาหวังหลิน มันเข้า มาใกล้ในพริบตาและแล่นไปบนหน้าต่าง มันพับปีกและมองหวังหลินอย่างเงียบงัน
หวังหลินมองมันอยู่สักพัก
แล้วจึงพึมพำ “เจ้ากำลังพูดกับข้าใช่หรือไม่…”
“เวรกรรม มันคืออะไร…” แววตาหวังหลินผุดความงุนงงสับสน เจ้าวิหคมองมาที่หวังหลินอย่างล้ำลึกก่อนจะบินออกไปนอกหน้าต่าง มุนวนอยู่บนฟ้าไม่กี่ครั้งก่อนจะส่งเสียงร้องและเลือนหายไปในก้อนเมฆสีดำ
แม้ว่ามันจะจากไปแล้ว สายฟ้ายังคงดังอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเสียงดังรุนแรงก็ยิ่งจะขัดความคิดหวังหลิน เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวและชี้นิ้วออกไป
เพียงเท่านั้น ดวงตาขวากะพริบเป็นสายฟ้า อักขระส่องสว่าง สายฟ้าในท้องฟ้าหยุดลงราวกับผู้มีอำนาจสายฟ้าที่เหนือกว่าได้ทำให้มันต้องล่าถอย
ราวกับเป็นความต้องการของราชาแห่งสายฟ้าและสามารถควบคุมสายฟ้าได้อย่างไร้ขอบเขต ราวกับมันต้องการให้สายฟ้าถอย สายฟ้าจึงต้องถอย! แม้กระทั่งแสงสายฟ้าก็ดูเหมือนจะหายวับไปเพียงแค่เขาชี้นิ้ว
แม้กระทั่งสายลมยังสูญสลายไปเบื้องหน้าดัชนีและถูกผลักกลับไปพร้อมกับสายฝน สายฝนนี้ดูเหมือนจะมีจิตวิญญาณและมันหวาดกลัวยิ่ง พริบตาเดียวฝนก็หยุดตก
สิ่งที่หยุดเป็นเพียงสายฝนในท้องฟ้าเหนือแคว้นแห่งนี้เท่านั้น ภายใต้แรงกดดันเสมือนราชาแห่งสายฟ้า สายฝนทั้งหมดในแคว้นจ้าวดูเหมือนจะหยุดลง สายฟ้าแตกสลาย แสงกระจัดกระจายและก้อนเมฆสีดำลาลับไป
ในท้องฟ้าในแคว้นจ้าวมีเหล่าเซียนกำลังเหาะเหินซึ่งรวมถึงหวังจัว ฉีเฟย แม่นางโจวและคนอื่นๆ พวกเขากำลังทะยานอยู่ในสายฝน แต่ทั้งหมดตกตะลึงและหวาดกลัว เบื้องหน้าเขาเป็นชายชราผู้หนึ่ง ชายชรามองกลับไปและมีแววตาตกตะลึงเช่นเดียวกัน
“กลิ่นอายนี้…นี่มันระดับบ่มเพาะแบบไหนกัน?!”
ด้านอีกฝั่งของแคว้นจ้าว ลำแสงสองสายปรากฏขึ้นมาตอนที่ก้อนเมฆสีดำ แตกสลายไป เผยเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี ด้านสตรีคือ หลิวเหมย ใบหน้าซีดเผือดและมองกลับไปด้วยสายตางุนงง สีหน้าของชายถัดจากนางก็เปลี่ยนไปด้วยและแทบอุทานออกมาเสียงดัง
รวมถึงในแคว้นจ้าว ในเมืองเถิง เซียนเฒ่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของตระกูลเถิง นามว่าเถิงฮว่าหยวนกำลังบ่มเพาะฝึกฝน ยามนี้เขาลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวบางอย่าง
ณ ยอดเขาสำนักเหิงยั่ว มีชายชราผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียวกำลังมองไปบนท้องฟ้าและขมวดคิ้ว เขาคือฮวงหลง แต่นาทีนี้สีหน้าพลันเคร่งเครียด สองฝ่ามือสร้างผนึกไปเรื่อยๆจนกระทั่งมันสั่นเทาและมีโลหิตไหลออกมาจากเล็บมือ ดวงตาเผยแสง สีประหลาดราวกับไม่อยากจะเชื่อ
‘นี่…มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?!’
ณ สถานที่ห่างไกลบนดาวซูซาคุ มีสำนักแข็งแกร่งอยู่แห่งหนึ่ง สำนักแห่งนี้แข็งแกร่งพอจะกวาดล้างแคว้นระดับห้าได้ทั้งหมด สำนักนี้เต็มไปด้วยดวงวิญญาณและมีเสียงภูตผีดังกึกก้อง มองไกลๆ มันดูราวกับธงผืนยักษ์!
มีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงวิญญาณ เขาเป็นชายวัยกลางคนและเป็นศิษย์พี่ของตุ้นเทียน
‘ข้าหามันไม่เจอ…ข้าทำนายไปแล้วสามสิบเจ็ดครั้งและไม่สำเร็จสักครั้งเดียว หรือว่าสำนักหลอมวิญญาณของข้าจะไม่มีหวังแล้วจริงๆ…’