Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1679

Cover Renegade Immortal 1

1679. รวมตัว

ท้ายที่สุดหลี่เฉียนเหมยก็จากไปพร้อมกับพ่อของนาง และปรมาจารย์เต๋าความฝันก็ยังได้นางสนมลำดับห้าไปด้วย

ทั้งสองกลับไปยังเผ่าแพรฟ้าและนำทั้งเผ่ากลับมาที่นี่ จากนั้นจะเลือกอาณาเขตในดินแดนชั้นในเพื่อกลายเป็นบ้านใหม่ของเผ่าแพรฟ้า

ด้วยการที่ปรมาจารย์เต๋าความฝันอยู่ที่นี่ แม้เขาจะบาดเจ็บก็ไม่มีอันตรายอันใดเว้นแต่ราชันย์จะลงมือด้วยตัวเอง แม้แต่ราชันย์ก็คงไม่กล้าบังคับปรมาจารย์เต๋าความฝันมากเกินไปในตอนนี้เพราะหัวใจแห่งเต๋าไม่มีตำหนิแล้ว

เป็นเพราะปรมาจารย์เต๋าความฝันสามารถเข้าด่านวิบากแก่นแท้ได้ตราบใดที่เขาต้องการ เมื่อด่านวิบากเริ่มต้นขึ้น แม้แต่ราชันย์ก็ยังต้องล่าถอย

หลี่เฉียนเหมยหายตัวไปในดินแดนชั้นนอกพร้อมกับพ่อ หลังจากทั้งสองคนจากไป แสงสีฟ้าด้านนอกค่ายกลค่อยๆ จางหาย ดาราจักรดวงดาวกลับมามืดมิดอีกครั้ง

ตอนที่นางจากไป นางมีความสุขมาก รอยยิ้มของนางเหมือนเดิมเช่นในอดีต นางมองหวังหลินด้วยสายตาอ่อนโยน นี่คือชายที่นางเลือก นางไม่เสียใจทั้งก่อนหน้าและนับจากนี้ แม้นางจะตายด้วยเหตุนี้ นางก็ยังไม่เสียใจ

นี่คือ นิสัยของหลี่เฉียนเหมย

ยามนี้ในค่ายกลกงล้อ มีเพียงหวังหลินและมู่ปิงเหมยที่ยังอยู่ นางเป็นพยานรู้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความคิดจิตใจตกอยู่ในความปั่นป่วน

ไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยระหว่างทั้งสองคน ผ่านไปสักพักมู่ปิงเหมยจึงอ้าปากทำลายความเงียบ แต่หวังหลินหลับตาบ่มเพาะและทำความเข้าใจวิชาผ่าสวรรค์

คำพูดของมู่ปิงเหมยหายไปในลำคอและไม่พูดขึ้นอีก นิสัยของนางไม่เหมือนกับของหลี่เฉียนเหมย นางแตกต่างจากซื่อจื่อเฟิงและแตกต่างจากผีเสื้อสีแดง

นางคือตัวนางเอง มู่ปิงเหมย

เพียงเวลาไม่นาน เวลาที่เหลือครึ่งปีก็ผ่านไปห้าเดือน เหลือเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น

ในวันนี้ มู่ปิงเหมยยืนขึ้น แววตากระจ่างชัดไม่มีความสับสน นางมองหวังหลินอยู่สักพัก

“ดูแลตัวเองด้วย…” นี่เป็นประโยคแรกที่นางพูดขึ้นและเป็นประโยคเดียว หลังจากนั้นมู่ปิงเหมยก็หันกลับและเดินหน้าเข้าหาดาราจักรฟ้ากระจ่าง

นางคือเซียนสตรีแห่งดาราจักรฟ้ากระจ่าง ดังนั้นจำเป็นต้องกลับไปดาราจักร ฟ้ากระจ่าง

ราวกับนางอยู่กับหวังหลินมาสิบเอ็ดเดือนเพื่อเอ่ยเพียงประโยคนั้นประโยคเดียว มู่ปิงเหมยจากมาก่อนที่จะครบปี สิบเอ็ดเดือน ยังเหลืออีกหนึ่งเดือน

มู่ปิงเหมยจดจำเดือนนี้ไว้ ร่างโดดเดี่ยวของนางทะยานไปท่ามกลางหมู่ดาวช่างดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว นางรู้สึกอ่อนแรง ใครก็ตามที่มาเห็นนางคงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ นางไม่มีอะไรอื่นเลย นางอิจฉาลี่มู่หวาน และยังอิจฉาหลี่เฉียนเหมยไปด้วย

หลี่เฉียนเหมยยังมีพ่อ ลี่มู่หวานมีหวังหลิน แต่นางไม่มีใคร บ้านของนางไม่มีอยู่แล้ว อาจารย์ก็จากไปแล้ว ทุกคนที่นางคุ้นเคยและอยู่กับนางยามที่นางเติบโต ทั้งหมดล้วนตายไปสิ้น…หากจะมีใครสักคนก็คงเป็นหวังหลิน นางคือแม่ของหวังผิง เป็นความจริงที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้

‘แม้ข้าตาย ก็ไม่มีใครรู้…ผิงเอ๋อร์เกลียดข้ามาก…’ มู่ปิงเหมยมีท่าทีหม่นหมองพลางก้าวออกไปไกลลิบตา

จนกระทั่งร่างของมู่ปิงเหมยหายไปแล้วหวังหลินจึงลืมตาขึ้นมา มองตำแหน่งที่นางหายไปและขบคิดเงียบๆ

หวังหลินไม่ได้รู้สึกเกลียดมู่ปิงเหมยอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้รักเช่นกัน

‘อีกหนึ่งเดือน…’ หวังหลินมีสายตาเคร่งขรึมพลางมองอวกาศเบื้องหน้า ยกแขนขึ้นชี้ใส่จุดกลางหน้าผาก

ด้วยเหตุนี้ หวังหลินจึงร่างสั่นเทา เกิดเสียงปะทุดังกึกก้องในร่างกาย ร่างหวังหลินพร่ามัวและเปลี่ยนเป็นภาพมายา

ราวกับมีหวังหลินสองคนกำลังทับซ้อนกัน ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ ร่างก็บิดเบี้ยวและมีหวังหลินอีกคนปรากฏ!

ร่างที่ทับซ้อนแยกออกจากกัน เสียงปะทุหายไป ความพร่ามัวหายไป ร่างหวังหลิน ตัวจริงปรากฏขึ้นสองคน!

คนที่นั่งอยู่คือ ร่างดั้งเดิมของหวังหลิน เป็นร่างที่ได้รับการสืบทอดมรดกของ เผ่าบัญชาโบราณซึ่งมีดาวเทพโบราณ ดาวมารโบราณและดาวปีศาจโบราณ! ส่วนร่างที่กำลังยืนอยู่คือ ร่างเซียนของหวังหลิน!

มีช่วงหนึ่งที่หวังหลินมักจะทำเช่นนี้ ร่างดั้งเดิมบ่มเพาะ ส่วนร่างอวตารโลดแล่น ด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถบ่มเพาะได้ในเวลาเดียวกัน

ตอนนั้นมันนานมากแล้ว ยามนี้ร่างอวตารของหวังหลินโผล่ออกมาอีกครั้ง!

ร่างดั้งเดิมและร่างอวตารมองหน้ากันเอง ชั่วขณะหนึ่งร่างอวตารก็หายไปและ เข้าสู่ดินแดนชั้นใน ร่างดั้งเดิมหลับตาและนั่งอยู่ในค่ายกลเพื่อคุ้มครองดินแดนชั้นในเป็นเดือนสุดท้าย

หวังหลินก้าวทะยานผ่านดาราจักรด้วยชุดสีขาว ตอนนี้เขาไม่ได้มีร่างกายทรงพลังอีกแล้ว แต่ระดับบ่มเพาะยังอยู่ในขั้นวิญญาณดับสูญระดับกลาง

เขาในตอนนี้เป็นเพียงเซียนเท่านั้น ซึ่งไม่อาจสังหารศัตรูที่มีระดับบ่มเพาะสูงเกินไปด้วยร่างนี้ได้ เขาจะต้องพึ่งพาวิชาของตัวเอง

‘นี่เป็นเดือนสุดท้ายก่อนที่แม่ทัพทั้งสี่จะออกมาจากแดนสวรรค์โบราณ ยังมีบางอย่างที่ข้าต้องทำ! ข้าจำเป็นต้องรวมแดนสวรรค์ทั้งสี่ให้กลายเป็นแดนสวรรค์แห่งใหม่ ตั้งแต่วันนี้ไปเซียนดินแดนชั้นในจะอาศัยอยู่ในแดนสวรรค์และจะสามารถสร้างเพลิงนรกานต์ได้!’

‘เซียนทั้งหมดที่เกิดนับตั้งแต่นี้จะสามารถบ่มเพาะให้กลายเป็นเทพได้ หลังจากบรรลุขั้นตัดวิญญาณจะสามารถเข้าไปฝึกฝนในแดนสวรรค์ได้!’ หวังหลินท่องทะยานผ่านดินแดนชั้นในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ตลอดหลายชั่วอายุคน มีเพียงจ้าวดินแดนปิดผนึกคนก่อนเท่านั้นที่ทำแบบนี้ เขาสร้างสี่แดนสวรรค์ขึ้นมาเพื่อให้เซียนดินแดนชั้นในสามารถรวบรวมเพลิงนรกานต์ได้ ทว่าตอนที่เขาตาย สี่แดนสวรรค์กลับพังทลายและดินแดนชั้นในก็ไม่สามารถรวบรวมเพลิงนรกานต์ได้อีก

แต่ตอนนี้มันต่างกัน หวังหลินทำลายค่ายกลดินแดนปิดผนึกไปแล้ว กลิ่นอายของดาราจักรโบราณจึงหลั่งไหลเข้ามา ขีดจำกัดด้านเพลิงนรกานต์ของดินแดนชั้นในจึงหายไป ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดเพื่อสร้างแดนสวรรค์!

ก่อนหน้าเขามีหลายคนที่อยากทำเช่นนี้ แต่มีเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสม พวกเขาไม่ได้มีสมบัติของจ้าวดินแดนปิดผนึก และตอนนั้นค่ายกลดินแดนปิดผนึกก็ไม่ได้อ่อนกำลังมากพอ

หวังหลินก้าวเท้า สถานที่แห่งแรกที่เขาเข้าไปคือแดนสวรรค์วายุที่อยู่ในดาราจักรทะเลเมฆา! แดนสวรรค์วายุตกอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์และถูกเหล่าอสูรยุงจำนวนมากครอบครอง ระดับบ่มเพาะของหวังหลินตอนนั้นไม่สูงมากพอ แต่ตอนนี้เขาทำได้แล้ว!

อีกทั้งต้องขอบคุณสายสัมพันธ์ของเขา หวังหลินจึงรู้ว่าเหล่าอสูรยุงที่แยกจากกันช่วงสงครามครั้งนั้นยังอยู่รอดปลอดภัยและตั้งถิ่นฐานในแดนสวรรค์วายุ

หวังหลินก้าวหนึ่งครั้ง เกิดระลอกคลื่นเสียงดังสนั่นและหายวับไป เขาปรากฏตัวในส่วนลึกของทะเลเมฆา อยู่ตรงทางเข้าสู่แดนสวรรค์วายุ

หวังหลินเข้าไปในรอยแยกและมุ่งหน้าสู่แดนสวรรค์วายุที่คุ้นเคย สายลมดุจ คมมีดส่งเสียงหวีดหวิวในแดนสวรรค์

เสียงสายลมเป็นเพียงเสียงเดียวที่เกิดขึ้นที่นี่ มันล่องลอยผ่านท้องฟ้า ฝุ่นผงบนพื้นดินถูกสายลมพัดจนไม่มีเหลือ

หลังจากหวังหลินกวาดสัมผัสวิญญาณผ่านไป พลันมุ่งหน้าต่อโดยไม่ลังเล เรือนผมสีขาวสะบัดพลิ้ว สายลมไม่สามารถหยุดยั้งหวังหลินได้ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถหยุดได้ สายลมยังถูกทำลายเสียด้วยซ้ำ

ลึกเข้าไปในแดนสวรรค์วายุ มีแผ่นดินแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสายลมรุนแรงกว่าทุกแห่ง มีฝูงอสูรยุงสองฝูงอยู่ที่นี่ พวกมันกำลังเข่นฆ่ากันเอง

แต่ละฝูงมีจำนวนหลักหมื่น ยิ่งพวกมันต่อสู้กันยิ่งมีหลายตัวล้มตายกองพะเนิน ทว่าพวกที่ตายทั้งหมดมาจากฝูงหนึ่ง อีกฝูงเผยท่าทีกระหายเลือดพร้อมทั้งใช้ ปากแหลมแทงใส่ร่างของอีกฝ่าย

ยุงฝูงนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บถึงตายเลย!

ขณะนั้น ฝูงยุงที่ตายและสูญเสียครั้งใหญ่พลันส่งเสียงร้องเศร้าโศกและถอยอย่างพ่ายแพ้ แต่ฝูงยุงที่ดุร้ายพุ่งออกมาล้อมรอบพวกมัน อสูรยุงสีทองขนาดมากกว่า พันฟุต ใหญ่เท่ากับภูเขาย่อมๆ บินออกมาจากระยะไกล

เมื่อยุงตัวนี้ปรากฏ แรงกดดันทรงพลังแผ่กระจาย มันดูดุร้ายและมีจะงอยปากยาวกว่าร้อยฟุต พอมันปรากฏร่าง ราวกับราชาได้มาถึง

อสูรยุงยักษ์พุ่งเข้าไปในกลุ่มที่ล่าถอย มันอาละวาดและดุร้ายรุนแรง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่น เพียงไม่กี่ลมหายใจ มียุงหลายพันตัวต้องสิ้นชีพ

ส่วนฝูงยุงด้านหลังราชายุงพลันพุ่งออกไป ใช้เวลาไม่นานเหล่าศัตรูหลักหมื่นก็ตายสิ้น ไม่มีเหลือรอดแม้แต่ตัวเดียว!

ราชายุงเต็มไปด้วยโลหิต แววตาเย็นเยียบของมันมีความเศร้าซ่อนเอาไว้ ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีนี้มันมักจะเศร้าเสมอเพราะไม่สามารถตามหาเจ้านายเจอได้ มันทำได้แต่สังหารเพื่อระบายความเศร้าเท่านั้น เจ้ายุงยักษ์ส่งเสียงแหลม ไม่ใช่เสียงตื่นเต้นแต่เป็นเสียงร้องโหยหวนราวกับเด็กน้อยถูกละทิ้ง ร้องไห้แด่สรวงสวรรค์!

ฝูงยุงรอบด้านส่งเสียงร้องเช่นกัน เสียงของพวกมันประสานกันสั่นสะเทือนสวรรค์ยิ่ง

ขณะส่งเสียง ฝูงอสูรยุงกลุ่มใหญ่ทะยานออกไปจากแผ่นดินนี้และหลบหนีอย่างรวดเร็ว บางส่วนถึงจะมีรูปร่างใหญ่โต แต่พวกมันก็หนีด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน

ในความทรงจำของแต่ละตัว ช่วงร้อยปีที่ผ่านมามีฝูงอสูรยุงหนึ่งกลุ่มที่บ้าคลั่งยิ่ง พวกมันไล่ฆ่าและเติบโตแข็งแกร่งขึ้น เมื่อไรที่พวกมันไปยังแผ่นดินแห่งใหม่ พวกมัน ก็จะทำแบบเดียวกันและไล่สังหาร หากไม่จากไป ไม่ว่าจะทำสิ่งใด พวกมันก็จะสังหารอยู่ดี

ทว่าในยามนี้อสูรยุงตัวยักษ์พลันสั่นเทา เสียงคำรามหายไปอย่างสิ้นเชิง แววตาเยือกเย็นเสียดกระดูกพังทลายลงและถูกแทนที่ด้วยความงุนงงซึ่งหายไปร้อยปีแล้ว!

ความงุนงงนี้ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น! เจ้าอสูรยุงยักษ์ทะยานออกไปด้วยความตื่นเต้นและมีความสุข มันส่งเสียงอีกครั้งและทะยานเข้าไปไกลราวกับบ้าคลั่ง ไปแล้ว

ราวกับมันสัมผัสกลิ่นอายของเจ้านายที่แยกจากกันมานาน มันลืมเลือนทุกอย่างและตามหากลิ่นอายนั้นอย่างบ้าคลั่ง!!

หวังหลินอยู่บนท้องฟ้าในแดนสวรรค์วายุ เขาหันไปทางซ้ายและเผยรอยยิ้มเปี่ยมสุข

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!