1717. เทียนหยุน
ความคิดของหวังหลินคือการใช้วิญญาณอวตารของเทียนหยุนเพื่อพยากรณ์ว่าเทียนหยุนตัวจริงอยู่ที่ไหน เขาหลับตาและจึงเห็นสถานที่ที่เขาเอาไว้คุมขังวิญญาณอวตารของเทียนหยุน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหวังหลินได้ใช้วิญญาณอวตารของเทียนหยุนเพื่อทำนายสถานการณ์ความเป็นความตายนับครั้งไม่ถ้วนและมันยังเป็นตัวช่วยสำหรับเขา อย่างมหาศาล ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้สึกถึงตัวตนของเทียนหยุนเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ เขาคงไม่ต้องการไปล่วงเกิน
อีกทั้งในใจหวังหลินนั้น ความลึกลับของเทียนหยุนเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้สึกจากคนอื่นเลย
‘เขาเป็นใครกันแน่…และมีแผนจะทำอะไร…’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางใช้ความคิดผสานกับร่างอวตารของเทียนหยุนและค่อยๆ เริ่มการทำนาย
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังหลินนั่งอยู่นอกบ้านและไม่ขยับไปไหนเลย ความคิดจิตใจผสานเข้ากับเทียนหยุนอย่างสมบูรณ์และเกิดภาพมายาว่าเขากลายเป็นเทียนหยุนและเขาอยู่ที่ไหน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ ความจริงแล้วตอนที่เขาต่อสู้กับเทียนหยุนก็รู้สึก แบบนี้แล้ว ขณะที่ผสานเข้าไปหวังหลินจึงค่อยๆ สงบนิ่งลง แม้จะหลับตา ทว่า แดนสวรรค์อยู่ในใจ ทุกสิ่งทุกอย่างในสรวงสวรรค์อยู่ในสายตาเขา ไม่มีสิ่งใดจะ เล็ดลอดการพยากรณ์ของเขาไปได้
ความรู้สึกแบบนี้อาจทำให้คนผู้นั้นขยายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด
หวังหลินคล้ายจะหลงลืมชื่อของตัวเองและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเทียนหยุน ภายใต้การผสานกันครั้งนี้ สัมผัสวิญญาณของหวังหลินแผ่กระจายออกไปรอบร่างกาย
หวังหลินต้องการค้นหาเทียนหยุนผ่านการเชื่อมต่อระหว่างร่างดั้งเดิมและ ร่างอวตารของเทียนหยุนด้วยวิธีนี้ อย่างไรก็ตามเขาต้องผสานเข้ากับร่างอวตารของเทียนหยุนอย่างเต็มที่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ใช้วิธีนี้ เขาคิดใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าจะมีอันตราย อันใดหรือไม่ แต่ก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร
ขณะที่หวังหลินกำลังผสานเข้ากับร่างอวตารของเทียนหยุน มีอุกกาบาตหนึ่งลูกล่องลอยผ่านดาราจักรอัญเชิญนทีอย่างเชื่องช้า เทียนหยุนกำลังนั่งอยู่ในอุกกาบาตและเผยรอยยิ้มแปลกประหลาด
เรือนผมสีขาวพัดกระพืออย่างประหลาดคล้ายเปล่งบรรยากาศแห่งเหล่าเทพ ทว่ารอยยิ้มของเขาดูน่ากลัวอย่างยิ่ง
สายตาค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ และเปล่งแสงเจิดจ้า รอยยิ้มบนมุมปากยกกว้างขึ้น สายตาดูเหมือนเจาะทะลุผ่านอวกาศไป มองทะลุดวงดาว ผ่านแดนสวรรค์จนเห็นร่างที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้น
‘เจ้าคู่ควรที่จะเป็นศิษย์ของข้าจริงๆ…เจ้าไม่สามารถหนีพ้นอุ้งมือของข้าไปได้…ยิ่งเจ้ามีระดับบ่มเพาะสูงขึ้น เจ้ายิ่งจะช่วยข้าได้มากเท่านั้น ข้าจะยิ่งได้รับประโยชน์มหาศาล…’
‘เอ๋? เจ็ดแก่นแท้…เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม!’ เทียนหยุนยิ้มและกำหมัด กลิ่นอาย แก่นแท้แห่งเวรกรรมแผ่กระจายออกมาจากกำปั้น
มันคือแก่นแท้เวรกรรม แก่นแท้เวรกรรมของจริง!
‘แขนซ้ายควบคุมชีวิต แขนขวาควบคุมความตาย…ข้ารู้จักเป็นอย่างดี…’ เทียนหยุนวางแขนซ้ายไว้บนเข่า นอกจากแก่นแท้แห่งเวรกรรมแล้ว แก่นแท้ที่สอง ที่ปรากฏในฝ่ามือคือแก่นแท้แห่งชีวิตและความตาย!
‘หลับตาคือเท็จ ลืมตาคือจริง…’ ขณะที่เทียนหยุนหลับตาและลืมตา แก่นแท้แห่งจริงเท็จปรากฏขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้น่าตกตะลึงยิ่งขึ้นก็คือมีเปลวเพลิงอยู่ในตาซ้ายของเทียนหยุนและมีประกายสายฟ้าแล่นผ่านในตาขวา
‘พวกนี้ข้ารู้…ข้าเองก็มีแก่นแท้สังหารเช่นกัน…’ ใจกลางหน้าผากของเทียนหยุนมีวังวนเลือนลางปรากฏขึ้น ข้างในมีเทียนหยุนชุดสีเทาอีกคน!
‘เยี่ยมมาก…ข้ายอมรับทั้งหมด ตอนนี้ก็เป็นแก่นแท้ที่เจ็ด…’ ดวงตาของ เทียนหยุนส่องสว่างขึ้น รูม่านตาเต็มไปด้วยเส้นสีโลหิต เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เส้นโลหิตเหล่านั้นได้ปกคลุมดวงตาจนเกือบมิดและเริ่มมีเขตอาคมปรากฏ
อย่างไรก็ตามเขตอาคมในดวงตาก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้างเพื่อผสานเส้นโลหิตให้สมบูรณ์ ใช้เวลาไม่นานเทียนหยุนก็เข้าใจแก่นแท้เขตอาคมได้สมบูรณ์แบบ
‘เส้นโลหิตในดวงตากลายเป็นกฎเกณฑ์ของโลกและทำตัวเองให้กลายเป็นโลกนี้…ศิษย์เอ๋ย เจ้าทำให้อาจารย์ประหลาดใจจริงๆ ไม่มีใครคิดถึงวิธีนี้มาก่อน…เยี่ยมมาก เจ้าคู่ควรต่อการเป็นเด็กน้อยฝืนชะตาสวรรค์ที่ข้าใช้เวลาทำนายไปหลายปี!’
‘แผนของข้าจะเสร็จสมบูรณ์ไปกับเจ้า มันจะเสร็จสมบูรณ์!’ เทียนหยุนเลียริมฝีปากและเผยท่าทีตื่นเต้น สีหน้าแบบนี้หาได้ยากยิ่งจากเทียนหยุน!
‘ข้าปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งไว้เมื่อสองพันปีก่อน ตอนนี้มันเบ่งบาน…แต่ไม่ถึงเวลา เก็บเกี่ยวผล ข้าต้องบำรุงมันอีก…
ดวงตาของเทียนหยุนส่องสว่างขึ้น เขตอาคมจำนวนมากผสานกับเส้นโลหิตในดวงตา เพียงเวลาไม่นานเขตอาคมก็ได้ผสานไปถึงสามในสิบส่วนและผสานกันต่อไปเรื่อยๆ
ทว่าในขณะนั้น ท่าทางของเทียนหยุนพลันเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน รอยยิ้มหายไป แม้กระทั่งเขตอาคมที่กำลังผสานกับดวงตาก็หยุดไปด้วย
ณ แดนสวรรค์แห่งใหม่ หวังหลินนั่งอยู่นอกบ้านมาห้าวันแล้ว ตอนนี้เขาพลัน ลืมตาขึ้นและฝืนบังคับให้แยกออกมาจากการผสานกับเทียนหยุน
สีหน้าท่าทางมืดมน มองร่างตัวเองด้วยแววตาสงสัย สองคิ้วขมวดแน่นเข้าหากัน
‘ประหลาด ตอนที่ข้าผสานกับวิญญาณของเทียนหยุน ทำไมข้ารู้สึกเหมือนข้าสูญเสียแก่นแท้ไปบางส่วน…’ หวังหลินขบคิดและสังเกตเจ็ดแก่นแท้อย่างละเอียด แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็หาเหตุผลไม่ได้จนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรเสียความสงสัยยังอยู่ในใจ
‘แก่นแท้ของข้าไม่ได้ลดลง…แต่ทำไมข้ารู้สึกแบบนี้…หรือว่ามันคือภาพลวงตา…’ หวังหลินขบคิดชั่วครู่และผสานกับวิญญาณของเทียนหยุนอีกครั้ง เขาผสานอย่างช้าๆ แต่เมื่อกำลังผสานอย่างสมบูรณ์ พลันฝืนหยุดผสานในทันทีและยืนขึ้น
หวังหลินมีสีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็งขั้วโลก เขามองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาเยือกเย็น
‘มีบางอย่างผิดพลาด! ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา! มีบางอย่างแปลกประหลาดเกี่ยวกับร่างอวตารของเทียนหยุน!’ หวังหลินยกแขนขวาตีใส่หน้าผากและ ดึงบางอย่างออกมา ควันสายหนึ่งลอยออกมาจากหน้าผากและเปลี่ยนเป็นวิญญาณรูปร่างคล้ายเทียนหยุน
วิญญาณของร่างอวตารเทียนหยุนนั่งนิ่งไม่ไหวติง
“ปัญหาคืออะไร…” หวังหลินจดจ้องไปที่วิญญาณ ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปค้นหาอย่างละเอียดแต่ก็ไม่เจอสิ่งใด ซึ่งทำให้สงสัยมากขึ้นไปอีก
‘ไม่มีเบาะแส แก่นแท้ของข้าไม่ได้ลดน้อยลง มันเป็นแค่ความรู้สึก หรือข้ารู้สึกผิดไปเอง…ร่างอวตารนี้มีการเชื่อมต่อกับร่างดั้งเดิมของเทียนหยุนอยู่บางส่วนและ ข้าต้องการใช้มันเพื่อค้นหาเทียนหยุน แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าร่างอวตารนี้และการเชื่อมต่อทั้งหมดเป็นแผนการของเทียนหยุน…’ จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาไม่อาจเชื่อในการคาดการณ์ของตัวเอง
‘ตอนที่อยู่ในดินแดนวิญญาณปิศาจ ข้าสังหารร่างอวตารของเทียนหยุนด้วย วิชาแยกราตรีและใช้วิญญาณของเขาเป็นรางวัลสำหรับข้า หรือนั่นเป็นเจตนาของเทียนหยุน…นี่…นี่ดูเหมือนน่าเหลือเชื่อเกินไป!’ หวังหลินนึกถึงเรื่องเมื่อตอนนั้นและไม่อาจพบเจอร่องรอยอันใดที่บอกว่าเทียนหยุนเป็นคนจัดฉาก
พอมองวิญญาณอวตารของเทียนหยุน สีหน้าหวังหลินเปลี่ยนไปชัดเจนและ ยิ่งมืดมน เขาไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก ดวงตาส่องสว่างขึ้นและหายวับไปจากตรงนั้น
เขาปรากฏตัวอีกครั้งทางตอนใต้ของแดนสวรรค์ เขาอยู่ใต้ภูเขาสูงที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ
สายลมหนาวพัดผ่านและมีละอองผลึกและเกล็ดหิมะอยู่ในสายลม เมื่อมันกระทบใส่ร่างกายคงหนาวเหน็บเป็นอย่างยิ่ง หวังหลินกระโจนเข้าหาภูเขาและทะยานขึ้นสู่ยอดเขา สายลมหนาวหนาวตีกระทบใบหน้าแต่ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้เลย
เมื่อเข้าไปใกล้ภูเขา หวังหลินจึงเห็นฉิงชวง นางสวมชุดราตรีสีแดง ดูท่าทางเยือกเย็น แววตามองโลกเบื้องหน้าด้วยอารมณ์คิดถึง
เบื้องหลังนางเป็นโจวยี่ที่ดูสงบเงียบ สายตามองฉิงชวงด้วยความอ่อนโยนและความรัก ทั้งสองไม่ได้สังเกตการมาถึงของหวังหลินและหวังหลินก็ไม่ได้เข้าไปขัดจังหวะ จึงทะยานผ่านไปและมาถึงยอดภูเขา
ที่นี่มีตำหนักสีขาวที่เต็มไปด้วยพลังงานเทพซึ่งก่อตัวขึ้นจากวังวนยักษ์ในท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่ามันส่งต่อมาจากระยะไกล
หวังหลินก้าวออกไปแต่หยุดอยู่นอกตำหนัก
ประตูของตำหนักแง้มเปิดอย่างช้าๆ ฉิงหลินปรากฏตัวในชุดเสื้อสีฟ้าดูคล้ายบัณฑิต เขายิ้มให้กับหวังหลิน
“หายากนักที่น้องหวังหลินจะมาหา ข้าสงสัยจริงเชียวว่าเจ้ามาหาด้วยเรื่องอะไรกัน?”
แม้ฉิงหลินได้เคยพูดว่าอยากรับหวังหลินเป็นศิษย์ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่องนี้กลับไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอีกครั้ง ระดับบ่มเพาะของหวังหลินตอนนี้และตัวตนของเขาได้ทำให้ฉิงหลินเปลี่ยนวิธีการเรียกหวังหลิน บ่งบอกถึงการเคารพอีกฝ่ายว่าเท่ากัน
“ข้าได้ยินว่าท่านรู้จักวิชาพยากรณ์ พี่ฉิงหลิน ข้าอยากขอให้ท่านช่วยข้าทำนายบางอย่าง!” หวังหลินคำนับฝ่ามือให้กับฉิงหลินด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ฉิงหลินเห็นท่าทีของหวังหลินและถอนรอยยิ้มออกทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตกลง ข้าจะทำให้ดีที่สุด! บอกข้าเลยว่าต้องการอะไร”
“วิญญาณที่อยู่ในมือข้าเป็นร่างอวตารของเทียนหยุนแห่งดาราจักรฟ้ากระจ่าง เทียนหยุนคนนี้มีชื่อเสียงด้านการพยากรณ์และตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง ข้ากลัวว่ามีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นข้าจึงต้องการค้นหาเขาผ่านวิญญาณของร่างอวตาร…แต่ว่า…” หวังหลินพูดตามที่รู้สึก เขาสะบัดแขนให้วิญญาณอวตารของเทียนหยุนปรากฏในฝ่ามือ
หลังได้ยินที่หวังหลินเล่า สีหน้าของฉิงหลินจึงเคร่งเครียด ดวงตาเปล่งประกายพลางจ้องมองวิญญาณของเทียนหยุน
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ!! ขอข้าดูวิญญาณดวงนี้หน่อย!” ฉิงหลินยกแขนขวาเข้าไปจับวิญญาณอวตารของเทียนหยุนเพื่อดูชัดๆ