1729. ดาวเคราะห์เบญจธาตุ
ดาราจักรฟ้ากระจ่างมีอยู่มาตั้งแต่อดีตกาล มันอยู่มานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ บางทีเจ้าของถ้ำคนเดิมหรือราชันย์เทพสีรุ้งอาจจะรู้ก็เป็นได้
ตั้งแต่หวังหลินถือกำเนิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาสองพันปีกว่า ดาราจักร ฟ้ากระจ่างมีสงครามสองครั้ง ครั้งแรกกับดาราจักรทุกชั้นฟ้า มีการตายเกิดขึ้นมากมายและวุ่นวายอย่างสิ้นเชิง
แต่เมื่อเทียบกับสงครามครั้งที่สองแล้ว สงครามครั้งแรกนับเป็นอะไรได้ มันเป็นสงครามระหว่างดินแดนชั้นในและดินแดนชั้นนอก ดาราจักรฟ้ากระจ่างกลายเป็น ซากปรักหักพัง ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือคนธรรมดา ต่างก็ร่ำร้องด้วยความสิ้นหวัง
หลายดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยชีวิตกลับพังทลายเป็นผุยผง ดาราจักรที่ครั้งหนึ่งเคยสว่างสดใสกลับกลายเป็นเงียบสงัด ดาราจักรหมองหม่นจนถูกปกคลุมอยู่ในฝุ่น
เหลือดาวเคราะห์อยู่ไม่มากนักแต่บางส่วนก็ยังสมบูรณ์ดี ดาวที่เหลืออยู่อาจเป็นเพราะไม่ได้เข้าร่วมสงคราม บ้างก็บังเอิญไม่โดนผู้บุกรุกทำลาย
ภายในดาราจักรอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งกำลังโคจรอย่างช้าๆ ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นสีเขียว ต้นไม้เขียวชอุ่มทำให้ดาวเคราะห์มีเงาอีกหนึ่งชั้น
ดาวเคราะห์ดวงนี้เต็มไปด้วยพลังปราณ แม้แต่ดาวเทียนหยุนก็เทียบไม่ติด รอบๆ ไม่มีดาวเคราะห์เหลืออยู่ มีแต่เพียงวงแหวนห้าสีเท่านั้น
วงแหวนทั้งห้าตัดกันราวกับดอกไม้แบ่งบาน มองไกลๆ มันเป็นดาวเคราะห์ที่ดูงดงามยิ่ง
บนดาวแห่งนี้มีคนธรรมดาประมาณพันล้าน พวกเขามีชีวิตที่มีความสุขปราศจากสงคราม ซึ่งหาได้ยากในดาราจักรฟ้ากระจ่าง
ดูเหมือนเป็นเพราะมีพลังปราณที่นี่มากมาย เหล่าคนธรรมดาจึงไม่ค่อยเจ็บปวดนัก ส่วนใหญ่มีร่างกายแข็งแรงดีและงดงามมาก รวมถึงแต่ละรุ่นก็ยิ่งมีคนธรรมดาที่มีพรสวรรค์บ่มเพาะมากขึ้น
ดาวเคราะห์ดวงนี้คือ ดาวเบญจธาตุ!
บนดาวดวงนี้มีเพียงสำนักเดียวและมีชื่อว่าสำนักกุ้ยยี่! ความหมายของชื่อสำนักคือการผสานรวมกันของธาตุทั้งห้าให้เป็นหนึ่ง
ในดาราจักรฟ้ากระจ่าง ดาวเคราะห์เบญจธาตุนั้นแปลกประหลาดมาก แม้จะอยู่ในดาราจักรดวงดาวแต่ค้นหาได้ยาก แม้แต่พันธมิตรเซียนยังไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัด แม้จะใช้สัมผัสวิญญาณก็คงเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่าเหมือนเจ้าอสูรโลกันตร์ ด้วยเหตุนี้ดาวเคราะห์จึงไม่ถูกจับตามองในสงครามทั้งสองครั้ง อย่างไรก็ตามยังมีเหตุบังเอิญเกิดขึ้น ช่วงระหว่างสงครามระหว่างดินแดนชั้นในและดินแดนชั้นนอก มีเซียนดินแดนชั้นนอกกลุ่มหนึ่งบังเอิญเข้าไปในดาวเคราะห์ แต่กลับไม่มีใครได้ออกมา
ดาวเคราะห์ดวงนี้คือ ดาวเบญธาตุ มีทั้งความลึกลับและหยั่งคาดไม่ถึง
หวังหลินมีตำแหน่งของดาวเคราะห์เบญจธาตุ หน่าต้าวมอบให้กับเขาเมื่อ ครั้งก่อนและเชิญชวนไปที่ดาว หวังหลินถือหินหยกเอาไว้และหาตำแหน่งที่แน่นอนของมันอย่างละเอียด
‘คำเชิญของหน่าต้าวก็เกินพันปีแล้ว พันปีมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย…’ หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากหินหยก เจ้าอสูรโลกันตร์ลอยไปข้างหน้า
ระหว่างทางไปดาวเคราะห์เบญจธาตุ หวังหลินคิดถึงอดีต เขาเจอกับหน่าต้าวได้เพราะกระเป๋าหนึ่งใบและจากนั้นก็ถูกอีกฝ่ายไล่ล่า อันตรายครั้งนั้นหายไปเมื่อเขาเผยขอบเขตจวี่ออกมา
“หน่าต้าวมีขอบเขตจวี่ห้าสี…” หวังหลินพึมพำพลางให้เจ้าอสูรโลกันตร์ทะยานเข้าสู่อาณาเขตดวงดาวที่ไม่ค่อยคุ้นเคย
อาณาเขตดวงดาวแห่งนี้ไม่สามารถพบเจอด้วยสัมผัสวิญญาณจากภายนอก ไม่ว่าจะมีระดับบ่มเพาะสูงส่งแค่ไหนก็ตาม ราวกับมันถูกแยกออกมาจากดาราจักร ฟ้ากระจ่าง
หวังหลินเห็นดาวเคราะห์เบญจธาตุซึ่งรูปร่างเหมือนดอกไม้กำลังเบ่งบานอยู่เบื้องหน้า
เมื่อเห็นดาวเคราะห์ หวังหลินอดไม่ได้ที่จะเผยแววตาหลงใหล วงแหวนรอบ ดาวเคราะห์งดงามมาก หวังหลินพบเจอดาวเคราะห์มาหลายดวงแต่นี่เป็น ดวงที่สวยงามที่สุด
‘ดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้เป็นของโลกถ้ำ…’ หวังหลินหลับตา เขาคือ เจ้านายของเต๋าแห่งสวรรค์ ดังนั้นจึงสัมผัสความคิดของเจ้าอสูรโลกันตร์ด้านล่างได้ทันที
เหตุผลที่ดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ถูกสัมผัสวิญญาณตรวจจับและเหมือนอยู่ในอวกาศที่แยกออกมาจากดาราจักรฟ้ากระจ่างก็เป็นเพราะดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้มาจากโลกถ้ำ
‘หลังจากมาที่นี่ เหล่าเซียนด้านนอกได้ใช้วิธีการบางอย่างที่ข้าไม่รู้จักเพื่อนำ ดาวเคราะห์จากแผ่นดินเซียนดารามาที่นี่’ หวังหลินหลับตาและผสานเข้ากับ เต๋าแห่งสวรรค์ จากนั้นลืมตาขึ้นมาด้วยความกระจ่างสดใส
หวังหลินยืนขึ้นและก้าวเท้าออกไป เขาให้เจ้าอสูรโลกันตร์รออยู่ตรงนี้ ส่วนเขาเดินเข้าหาดาวเคราะห์สว่างแพรวพราว
พอเข้าไปใกล้ วงแหวนทั้งห้ารอบดาวเคราะห์ส่องแสงสว่างจ้าและขยายออกไปด้านนอก วงแหวนหมุนวนส่งเสียงดังและป้องกันไม่ให้หวังหลินเข้าไป
หวังหลินหยุดลง มองดูดาวเคราะห์ข้างในวงแหวน ขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น
“หน่าต้าว วันนี้ข้ามาเรื่องการนัดของเราเมื่อครั้งนั้น”
หวังหลินเอ่ยเสียงสงบนิ่งและแผ่กระจายออกทุกทิศทาง มันเข้าไปในดาวเคราะห์และแผดเสียงราวกับสายฟ้า น้ำเสียงของเขาดุจอำนาจแห่งสวรรค์
เมื่อเสียงดังเข้าไป ทุกสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์หยุดลง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือเซียน กระทั่งสัตว์ในป่าต่างก็สั่นสะท้าน
น้ำเสียงของหวังหลินดังกึกก้องในหูของแต่ละคน
หวังหลินยังคงยืนอยู่ด้านนอกวงแหวนอย่างสงบนิ่ง รอการตอบกลับ
ผ่านไปสักพัก น้ำเสียงแหบพร่าดังออกมาจากดาวเคราะห์ น้ำเสียงเผยอาการตกตะลึงและหวาดหวั่น
“ผู้เฒ่าหน่าต้าวปิดด่านบ่มเพาะและยังไม่ออกมา เราไม่มีทางปลุกเขา เจ้ามาหาเขามีเรื่องอันใด?”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและส่ายศีรษะ จากนั้นเอ่ยขึ้นบางเบา “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าคือ รองจ้าวสำนักกุ้ยยี่ นามว่าหยินตงเฉิน จ้าวสำนักและผู้อาวุโสปิดด่าน บ่มเพาะอยู่ตอนนี้ ข้ารับผิดชอบเรื่องราวทั้งหมด ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ผู้เฒ่า หน่าต้าวไม่สามารถออกมาได้ โปรดกลับไปเสียเถอะ!” น้ำเสียงระมัดระวังมาก เว้นระยะมาสักพักถึงจะตอบกลับ
สายตาหวังหลินเจาะทะลุห้าวงแหวนและเห็นดาวเคราะห์ข้างใน ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“เขาจะรู้เมื่อข้าเข้าไป” เพียงเท่านั้นหวังหลินก้าวเท้าพุ่งใส่วงแหวนที่กำลังหมุน
น้ำเสียงแหบพร่าเริ่มแหลมและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ตัวตนของท่านนั้นสูงส่ง แต่ดาวเคราะห์เบญจธาตุไม่ใช่สิ่งที่ท่านสามารถเข้ามาได้ตามต้องการ หากพยายามทะลวงผ่านเข้ามา ข้าจะกระตุ้นค่ายกลเบญจธาตุ ค่ายกลนี้ไร้ปราณี…” ก่อนที่น้ำเสียงแหบพร่าจะเอ่ยจบ สัมผัสวิญญาณหยิ่งยโส แผ่กระจายออกมาขัดขวางเขา สัมผัสวิญญาณนี้โอหังยิ่ง
“หากเจ้าสามารถทะลวงผ่านค่ายกลเบญจธาตุเข้ามาได้ เจ้าก็เข้าสู่ดาวเบญจธาตุได้ หากเจ้ากล้าทะลวงมา ก็เข้ามา! หากไม่กล้าก็จากไปซะ!”
หวังหลินมีท่าทีสงบนิ่ง เขาไม่สนใจน้ำเสียงพวกนั้นเลย รักษาจังหวะและก้าวเดินต่อไป เมื่อสัมผัสกับวงแหวน เสียงดังปะทุขึ้นรอบตัวเขา
เสียงดังรุนแรง ราวกับวิชานับไม่ถ้วนกำลังโจมตีหวังหลินในคราเดียว วิชาพวกนี้ออกมาจากห้าวงแหวนและมีพลังของธาตุทั้งห้า บางครั้งก็เป็นเพลิง บางครั้งก็เป็นธาตุน้ำ บางครั้งเป็นธาตุโลหะ บางครั้งเป็นธาตุปฐพี บางครั้งเป็นธาตุไม้
หวังหลินก้าวเข้าสู่ค่ายกล
ทางด้านทิศตะวันออกของดาวเคราะห์มียอดเขาสูงตระหง่านเก้าแห่งซึ่งก่อตัวเป็นวงแหวน ที่นี่คือ ตำแหน่งที่ตั้งของสำนักกุ้ยยี่!
ยอดภูเขาทั้งเก้าสูงเสียดฟ้าคล้ายกระบี่เก้าเล่มแทงทะลุสวรรค์ จิตสังหารทรงพลังแผ่กระจายออกไปกว้างไกลมากกว่าล้านลี้
ภายในระยะหนึ่งล้านลี้ ไม่มีคนหรือสิ่งมีชีวิตใดเลย พื้นดินเป็นสีดำสนิท
รอบภูเขาทั้งเก้ามีหอคอยขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลาง หอคอยแห่งนี้สูงกว่าภูเขาและมีถึง 99 ชั้น หอคอยแห่งนี้คือ สำนักกุ้ยยี่!
ทั้งสำนักกุ้ยยี่ตั้งอยู่ในหอคอย แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสำนักแห่งอื่นในโลกถ้ำ!
ตอนนี้มีลำแสงหลายสายทะยานออกมาจากชั้นที่ต่ำกว่าชั้นสามสิบลงไปและรวมกันด้านล่าง ลำแสงแต่ละสายคือ เซียนหนึ่งคน ระดับบ่มเพาะแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่เป็นเซียนที่อยู่ขั้นแรกและมีเซียนขั้นที่สองไม่มากนัก
ตอนนี้เหล่าเซียนทั้งหมดต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
หลังจากพวกต่ำกว่าชั้นสามสิบทะยานออกมากันแล้ว เซียนเกือบร้อยคนทะยานออกมาจากใจกลางตั้งแต่ชั้นสามสิบขึ้นไป เหล่าเซียนส่วนใหญ่เป็นชายชราและส่วนมากอยู่ในขั้นที่สอง พวกเขาจับจองยอดเขาสี่ในเก้าแห่ง สายตามองบนท้องฟ้าด้วยความสงบนิ่ง
แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความดูถูกเช่นกัน
พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถทะลวงค่ายกลปกป้องดาวเคราะห์ของ สำนักกุ้ยยี่ได้ง่ายๆ!
หอคอยสิบชั้นบนสุดมีคนยืนอยู่สี่คน หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีดำ ใต้ตาขวามี รอยคล้ำ เขาดูโอหังยิ่งและพ่นลมหายใจเย็น
“เป็นหวังหลินแล้วอย่างไร? ไม่มีใครที่เราต้องกลัวในโลกถ้ำแห่งนี้เว้นแต่จะเป็นวิญญาณของสีรุ้ง! แม้จะผ่านค่ายกลเบญจธาตุมาได้ ข้าคิดว่าคงอยู่ได้แค่หนึ่งก้านธูปก่อนจะถูกบททดสอบเปลวเพลิงหยุดลง แม้ระดับบ่มเพาะของเขาจะสูงกว่าข้า การผ่านบททดสอบทั้งห้านับว่าเป็นไปไม่ได้!”
ด้านข้างชายชราเป็นหญิงสาววัยกลางคน นางส่งเสียงหัวเราะแหลมและมีท่าทีขึงขัง “ข้าหวังว่าเขาจะผ่านบททดสอบทั้งห้ามาได้และเปิดค่ายกลเต็มที่จนกระตุ้น เบญจธาตุเก้าโคจร ข้าอยากเห็นว่าเขาจะทนได้กี่รอบ…”