173. ปิศาจตัวที่สอง
หวังหลินไม่ต้องการจัดการพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียว เขาต้องการบังคับพวกมันให้แยกจากกัน ภายใต้ฝนกระบี่นั่นก็เพียงพอให้อสูรตัวเล็กแตกกระเจิงได้มากขึ้นแล้ว หวังหลินเข้าไปผ่านช่องว่างอสูรพวกนั้นและมาถึงด้านนอกหอคอย เขาหยุดลงเบื้องหน้าประตูและหันกลับมารับกระบี่เหินทั้งหมดที่ลอยอยู่ด้านหลังเขา
ขณะเดียวกันก็เรียกเจ้าปิศาจกลับ เจ้าปิศาจกำลังยุ่งมากกับการกลืนกินสัมผัสวิญญาณอสูรตัวเล็กและปฏิเสธหวังหลินเรียบร้อย หวังหลินถอนหายใจเย็นเยียบขณะที่สัมผัสวิญญาณขอบเขตจวี่ลอยออกมา
เมื่อเสียงหายใจดังเข้าหูเจ้าปิศาจ มันสั่นด้วยความกลัวและไม่กล้ากลืนกินสัมผัสวิญญาณต่อ ดังนั้นคืนร่างกายตัวเองจากควันเมฆและเข้าไปในหอคอยพร้อมกับหวังหลิน ขณะที่มันลอยรอบๆหวังหลินกลับรู้สึกราวกับถูกทำลายพลางมองสัมผัสวิญญาณของอสูรพวกนั้นตาละห้อยก่อนจะกลับเข้าไปในเส้นเอ็นมังกร
มันไม่เข้าใจว่าสมองเจ้าอสูรตนนี้ผิดแปลกไปหรือถึงได้ทิ้งศัตรูพวกนั้นไว้และบอกให้มันกลับมา
ใบหน้าหวังหลินเคร่งขรึมเมื่อจ้องอสูรตัวเล็กพวกนั้นจากในหอคอยสีดำ มีเหตุผลหนึ่งว่าทำไมถึงได้หยุดเจ้าปิศาจจากการกลืนกินพวกมันทั้งหมด เขาคิดว่าสรุปแล้วอสูรขนาดเล็กพวกนี้รวมเข้าด้วยกันสร้างเป็นทอร์นาโดขนาดใหญ่พวกนั้น สิ่งหนึ่งที่สถานที่แห่งนี้มีมากที่สุดก็คือพายุทอร์นาโดสีดำพวกนั้น
นี่หมายความว่ามีอสูรตัวเล็กพวกนั้นจำนวนไม่จำกัด การโจมตีหลักของมันคือสัมผัสวิญญาณและคลื่นเสียง แม้ว่าการโจมตีของมันค่อนข้างพอใช้แต่ร่างกายอ่อนแอมาก
ผลก็คือการทำลายอสูรตัวเล็กพวกนี้เป็นเรื่องง่ายดาย โดยเฉพาะคนเช่นเมิ่งหลังค่อมที่เพียงแต่โยนพิษออกไปเท่านั้น ทว่าหวังหลินไม่ลืมสิ่งที่เขาเห็นจากยอดหอคอยล่าสุดที่มีพายุทอร์นาโดสีดำนับไม่ถ้วนรวมกันอยู่ที่จุดหนึ่ง
การเคลื่อนที่ของพวกมันมีจุดประสงค์นั่นหมายความว่าอสูรตัวเล็กพวกนี้มีวิธีเรียกพวกกันเอง หลังพวกมันตายไปหลายตัวจะเรียกเพื่อนพ้องออกมา หากเขาถูกขังในวงโคจรเช่นนั้นคงจบลงด้วยความตายเนื่องจากมีพายุทอร์นาโดมากเกินไป
ขณะเดียวกันหากเขาสังหารมากเกินไป เมื่อนั้นพวกมันอาจจะเรียกพวกที่กำลังไปหาเมิ่งหลังค่อมกลับมาหาเขา หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมันจะไม่ได้เป็นการเปิดเส้นทางเมิ่งหลังค่อมให้กับเขาแต่เป็นการช่วยเมิ่งหลังค่อมโดยการลดจำนวนพายุทอร์นาโดเสียเอง
ในการต่อสู้ครั้งล่าสุด มีอสูรตัวเล็กราวสองร้อยตัวที่ถูกหวังหลินและเจ้าอสูรทำลายไป ดวงตาของเขาเปล่งประกายขณะที่จ้องอสูรขนาดเล็กข้างนอก พวกมันรวมตัวกันอีกครั้งสร้างพายุทอร์นาโดสีดำ หลังจากวนเวียนรอบหอคอยไม่กี่ครั้งพวกมันไม่สนใจหวังหลินและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไปั้งพวกมันไม่ใส่ใจหวังหลินและเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
หลังจากพายุทอร์นาโดออกไปแล้วหวังหลินจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันหัวใจกลายเป็นเย็นเยียบ บททดสอบปฐพีแห่งนี้ประหลาดนัก หลักเหตุผลที่นี่ตรงข้ามกับสิ่งปกติโดยสิ้นเชิง เมื่อคนคนหนึ่งสังเกตเห็นอสูรตัวเล็กมีความเชี่ยวชาญด้านสัมผัสวิญญาณและโจมตีด้วยคลื่นเสียงแต่ร่างกายอ่อนแอ สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำคือสังหารพวกมันให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อป้องกันไม่ให้มีความสนใจมากขึ้น
แต่ผลลัพธ์ก็คือเมื่อสังหารอสูรพวกนี้ถึงจำนวนหนึ่งพวกมันจะเรียกพวกมาช่วยเหลือ หลังจากนั้นเว้นแต่ระดับฝึกตนของท่านจะสูงเทียมสวรรค์ก็เดินไปสู่ความตายเท่านั้น
หวังหลินฝึกฝนบนยอดหอคอยสีดำและจ้องพื้นที่ห่างไกล มองไปตำแหน่งที่พายุทอร์นาโดกำลังรวมตัวกัน หลังจากขบคิดชั่วครู่เขาตัดสินใจไม่รีบเร่งและรอข้างในหอคอย
เขามองเจ้าปิศาจที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยโลภตอนที่มันมองทอร์นาโดสีดำกำลังจากไป
หวังหลินไม่ได้อธิบายว่าทำไมแต่พูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่สนว่าเจ้ากลืนกินวิญญาณไปเท่าไหร่ จงแบ่งครึ่งนึงมาให้ข้า”
เจ้าปิศาจต่อสู้กับการตัดสินใจ หากมันหนีไปตอนนี้เจ้าปิศาจร้ายตนนี้คงไล่ล่ามันอีกใช่ไหม? มันลังเลเล็กน้อยก่อนจะมองหวังหลิน เมื่อมันเห็นสายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นมุ่งร้าย มันรีบคายวิญญาณอสูรตัวเล็กพวกนั้นออกมาจำนวนมากทันที
หลังจากแบ่งออกมายี่สิบตัวพลางแกล้งทำตัวอ่อนแอ มันลอบคิดในใจ ‘ไม่ว่าเจ้าจะทรงพลังแค่ไหน เจ้ายังต้องกินสิ่งที่ข้าคายออกมา! ถ้าเจ้ามีวิชาแล้วอย่ากินสิ!’
หวังหลินไม่ทราบว่าเจ้าปิศาจกำลังคิดอะไรแต่หลังจากเห็นความภาคภูมิใจบนใบหน้าของมัน หวังหลินเดาได้อย่างหนึ่งแต่ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเช่นนั้น สมาธิทั้งหมดมุ่งความสนใจบนวิญญาณอสูรตัวเล็กทั้งยี่สิบดวง
หลังจากมองมันอย่างละเอียดชั่วขณะ เขาคว้าวิญญาณมาและเดินขึ้นไปบนหอคอย หลังจากค้นหาชั้นหนึ่งที่มีขนาดพอดี ขอบเขตจวี่กระจายออกมาทั่วพื้นที่
เจ้าปิศาจติดตามด้านหลังหวังหลิน มันต้องการเห็นหวังหลินกลืนกินวิญญาณที่เต็มไปด้วยคราบน้ำลายด้วยตาตัวเอง ขณะที่มันยังภาวนากับตัวเองทันใดนั้นมันสังเกตได้ว่าพื้นที่รอบๆเต็มไปด้วยสัมผัสวิญญาณของหวังหลิน สัมผัสวิญญาณนี้ทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย สายฟ้าแดงราวกับฝันร้ายได้เคลื่อนไหวรอบห้อง ทั้งร่างเริ่มอ่อนยวบทันที เจ้าปิศาจลอบคิดในใจ ‘จบแล้ว! จบสิ้นแล้ว! เจ้าอสูรร้ายตัวนี้กำลังจะจบชีวิตข้า…’
มันขวัญหนีดีฝ่อและต้องการจะร้องขอความเมตตาทว่าพลันสังเกตหวังหลินไม่ได้มองมาทางมัน ตอนนี้หวังหลินจ้องวิญญาณอสูรตัวเล็กจำนวนยี่สิบดวงพวกนั้น เจ้าปิศาจกลืนคำพูดลงคอและนับว่ามันโชคดี
หวังหลินสังเกตวิญญาณพวกมันอย่างละเอียด พวกมันมีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเซียนขั้นแกนลมปราณระดับต้น ไม่ได้แข็งแกร่งแต่ไม่ได้อ่อนแอเกินไป หากไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขาบังคับหล่อเลี้ยงเจ้าปิศาจให้เหมือนกับวิญญาณเร่ร่อน เจ้าปิศาจคงไม่สามารถกลืนกินวิญญาณพวกนี้ได้ง่ายๆเหมือนเขา
ความสำเร็จของเจ้าปิศาจมาจากความคิดที่จะสร้างปิศาจขึ้นอีกตัว เขารู้ตัวว่าจุดอ่อนของตัวเองคือขาดสมบัติวิเศษ กระทั่งตอนนี้สมบัติชิ้นเดียวที่เขาใช้ต่อสู้คือกระบี่เหิน ขณะที่คนอื่นต่างเป็นของคุณภาพต่ำเกินใช้งาน
นอกจากกระบี่เหินก็เป็นเจ้าปิศาจ เจ้าปิศาจได้พิสูจน์แล้วว่ามันมีประโยชน์ก่อนหน้านี้ หากเขาไม่ได้ใช้เจ้าปิศาจต่อต้านสัมผัสวิญญาณกระบี่คงมีช่วงเวลาที่ยุ่งยากกว่านี้
สมบัติอื่นๆที่เขามีคือเส้นเอ็นมังกรและม้วนคัมภีร์ ทว่ากลิ่นอายในม้วนคัมภีร์แปลกประหลาดเกินไป หวังหลินตัดสินใจว่าเขาจะใช้มันเมื่อเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้เท่านั้น
กุญแจหลักคือยกระดับเจ้าปิศาจเป็นวิญญาณที่มีลักษณะพิเศษ วิญญาณของเจ้าปิศาจตัวแรกมีศักยภาพของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ซึ่งทำให้หวังหลินสามารถยกระดับมันให้ได้รับความสามารถของวิญญาณเร่ร่อนได้ ทว่าหากเปรียบเทียบวิญญาณเร่ร่อนของโลกแห่งการล่มสลาย ยังมีความแตกต่างกันอย่างมาก
หากเป็นวิญญาณเร่ร่อนของจริงเช่นนั้นไม่ว่าศัตรูจะมีระดับฝึกตนอะไร เมื่อมันกระโดดเข้าหาจะสามารถกลืนกินวิญญาณอีกฝ่ายและดูดพลังชีวิตพร้อมกับร่างเนื้อได้ทั้งหมด
เว้นแต่ว่าจะเจอเซียนทรงพลังแข็งแกร่งมากที่สามารถทำลายพวกมันได้ ซึ่งศัตรูทางธรรมชาติของมันมีเพียงวิญญาณกลืนกินเท่านั้น
ทว่าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วสามารถกลืนกินวิญญาณที่มีระดับฝึกตนเท่าเทียมมันได้เท่านั้น หากมันพยายามกลืนกินวิญญาณของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเช่นนั้นมีโอกาสตีกลับเกิดขึ้น
สิ่งที่หวังหลินสนใจก็คือความสามารถของอสูรตัวเล็กที่รวมตัวเข้าด้วยกันได้ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสัมผัสวิญญาณที่สามารถรวมร่างกันเพื่อสร้างสัมผัสวิญญาณใหม่
ความสามารถพิเศษนี้ทำให้หวังหลินต้องการใช้มันสร้างเป็นปิศาจ
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะแตะกระเป๋าพลันธงวิญญาณไม่กี่อันลอยขึ้นมารอบตัว วิญญาณภายในธงส่วนใหญ่คือเซียนมาจากทะเลปิศาจรวมถึงอสูรจากทะเลปิศาจด้วยเช่นกัน
เขาสะบัดแขนขังวิญญาณสิบเก้าตัวไว้ในกรงพลังปราณและนำตัวหนึ่งที่เหลืออกมา
ดวงตาหวังหลินเปล่งประกายขณะที่เขารับวิญญาณดวงหนึ่งจากธง พลันโยนวิญญาณออกไปหลังจากทิ้งเครื่องหมายไว้
น่าเสียดายเหมือนกับฉวี่ลี่กั๋วตอนนั้น วิญญาณอสูรตัวเล็กไม่รู้ว่ามันจะกลืนกินได้เช่นไร ดังนั้นมันได้แต่จ้องอย่างตกตะลึงขณะเคลื่อนไหวไปรอบๆแทน ทว่าหวังหลินไม่ได้รีบเร่ง หลังจากมีประสบการณ์การยกระดับเจ้าปิศาจมาแล้วหนึ่งครั้งเขาจึงรู้ว่าการทำให้วิญญาณมีความสามารถเช่นวิญญาณเร่ร่อนนั้นต้องใช้เวลา
ถึงอย่างนั้นก้าวแรกจำเป็นต้องให้เขาบังคับมันสักเล็กน้อย สายฟ้าแดงปรากฎในดวงตาหวังหลินขณะที่ขอบเขตจวี่สร้างตาข่ายรอบอสูรตัวเล็กและเคลื่อนที่เข้าหามันอย่างช้าๆ
ภายใต้แรงกดดันของตาข่าย วิญญาณอสูรตัวเล็กเริ่มเคลื่อนไหว เมื่อเห็นว่าไม่มีทิศทางที่จะไปมันจึงเริ่มเคลื่อนไหวไปทางวิญญาณตัวอื่น
หวังหลินเพ่งสมาธิเต็มที่เมื่อเห็นวิญญาณน้อยที่เร่งความเร็วขึ้นและกระทุ้งวิญญาณตัวอื่น มันไม่ได้กลืนกินแต่กลับรวมด้วยกันแทน หวังหลินรู้สึกได้ว่าวิญญาณของมันกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย
เขาตกตะลึง เดิมทีหวังหลินว่าจะต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้เพื่อบังคับมันให้กลืนกินเนื่องจากปิศาจฉวี่ลี่กั๋วใช้ความพยายามในครั้งก่อน เขาไม่คาดคิดว่าเพียงผลักมันเล็กน้อยมันก็รวมกับวิญญาณตัวอื่นด้วยตัวเอง แม้ว่ามันจะไม่ได้กลืนกินแต่ผลลัพธ์กลับเหมือนกัน
หวังหลินถอนตาข่ายแดงออกโดยไม่ได้เอ่ยคำใด นำวิญญาณอีกดวงออกมาและโยนออกไปหลังจากทำเครื่องหมายไว้ เวลานี้อสูรตัวเล็กพุ่งออกมาและรวมเข้าด้วยกันโดยไม่รอให้หวังหลินบังคับ
ตอนนี้หวังหลินสนใจมาก ดวงตาส่องสว่างและชี้ไปที่ธงวิญญาณหลายครั้ง วิญญาณมากกว่าสิบดวงลอยออกมา หลังจากทิ้งสัญลักษณ์ไว้หวังหลินพลันโยนพวกมันออกมา
ขณะเดียวกันวิญญาณอสูรตัวเล็กเคลื่อนไหวทันที พุ่งชนเหล่าดวงวิญญาณทีละตัว ทุกครั้งที่มันกระแทกกับอีกหนึ่งดวงนั้นมันจะรวมเข้าด้วยกันและกลายเป็นร่างที่แข็งแกร่งกว่าตัวก่อนหน้าพร้อมกับเคลื่อนไหวไปวิญญาณดวงถัดไป
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม วิญญาณอสูรตัวเล็กก็เสร็จสิ้นการรวมร่างกับเหล่าวิญญาณหลายสิบดวง มันดูราวกับบรรผ่านจากขั้นแกนลมปราณระดับต้นไปสู่ระดับกลาง
หวังหลินสนใจมากกว่าเดิมขณะที่นำธงวิญญาณออกมาอีกและเขย่า วิญญาณนับร้อยดวงลอยออกมา หลังจากวางเครื่องหมายไว้ทั้งหมด พวกมันลอยเข้าไปหาอสูรตัวเล็ก
วิญญาณของอสูรตัวเล็กร้องไห้เสียงแหลม ครานี้เป็นครั้งแรกที่มันสร้างเสียงเกิดขึ้นภายในหอคอย ขณะที่มันแผดเสียง คลื่นเสียงเริ่มกระจายออก เมื่อหวังหลินเห็นเช่นนี้เขามีความสุขอย่างมาก ดวงตาเปล่งประกายพร้อกับมุ่งความสนใจไปบนอสูรตัวเล็กทั้งหมด
เขารู้ตัวว่ากำลังพบสมบัติชิ้นหนึ่ง ด้วยเหตุผลบางประการวิญาณของอสูรตัวนี้แปลกประหลาดมาก มันดูเหมือนว่าถูกสร้างมาให้กลายเป็นปิศาจ เกือบไม่จำเป็นต้องบังคับ มันก็จะเริ่มรวมกับวิญญาณตนอื่นด้วยตัวมันเอง หนอกเหนือจากนี้สิ่งที่ทำให้หวังหลินตกใจมากที่สุดก็คือคลื่นเสียงโจมตี เดิมทีเขาคิดว่าอสูรตัวนี้จำเป็นต้องมีร่างกายก่อนถึงจะใช้การโจมตีนี้ได้แต่ทว่ามันสามารถทำได้ตั้งแต่ยังเป็นดวงวิญญาณ
เมื่อหวังหลินมองเข้าไปใกล้กว่านี้เขาจึงตระหนักว่าคลื่นเสียงนี้ถูกออกแบบมาให้โจมตีวิญญาณ หลังจากคลื่นเสียงกระจายออก วิญญาณทั้งหมดที่กำลังพุ่งเข้าหาค่อยๆช้าลงและดูเหมือนใกล้ตาย
ขณะเดียวกันเจ้าวิญญาณอสูรตัวเล็กพุ่งออกไป ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามมันก็หลอมรวมกับวิญญาณมากกว่าร้อยดวงนี้ได้สำเร็จ ในเวลาไม่นานนักวิญญาณอสูรระเบิดกลายเป็นหมอกสีแดงกว้างสิบฟุตและตกลงมาช้าๆ
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่สะบัดธงวิญญาณ วิญญาณอสูรตัวเล็กที่เหลือสิบเก้าดวงถูกดูดเข้าไปในธงก่อนจะถูกนำกลับเข้าไปในกระเป๋า จากนั้นหันตัวกลับและจ้องไปที่หมอกแดง หวังหลินรู้สึกได้ว่าเศษสัมผัสวิญญาณที่เขาวางเครื่องหมายใส่วิญญาณเหล่านั้นค่อยๆหลอมรวมกับวิญญาณอสูรตัวเล็ก
เจ้าปิศาจยืนอยู่ด้านข้างและจ้องทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นอย่างตะลึง มันลอบคิดในใจ ‘ดุเดือดเหลือเกิน! ตัวน้อยคนนี้เป็นคนดุเดือดเลือดพล่านเสียจริง! ดูเหมือนข้าจะต้องทำงานให้หนักไม่เช่นนั้นอสูรร้ายตัวนี้อาจจะนำข้าเป็นอาหารให้ตัวน้อยนี่!’ ร่างเจ้าปิศาจสั่นเทาขณะที่ถอยออกห่าง มันลอยไปบนกาศและย่อยวิญญาณที่กลืนกินไปอย่างรวดเร็ว
การคอรอยนี้กินเวลาสามวัน ระหว่างสามวันนี้ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปจากหมอกแดงเลย นอกจากการสังเกตการณ์หมอกแดงแล้วหวังหลินเห็นพายุทอร์นาโดนับไม่ถ้วนผ่านไป หนึ่งในนั้นสูงมากกว่าสามพันจ้าง มันราวกับเป็นราชาทอร์นาโดดที่ผ่านหอคอยดำไป
เมื่อทอร์นาโดลูกใหญ่ที่สุดผ่านไปมันหยุดกึกขณะที่สัมผัสวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา เป้าหมายของมันไม่ใช่หวังหลินแต่เป็นหมอกแดง
ทว่าขณะที่สัมผัสวิญญาณพวกนั้นปะทะกับหอคอยสีดำ พวกมันกระดอนกลับไป ราชาทอร์นาโดยักษ์เอ้อระเหยรอบหอคอยดำชั่วครู่ก่อนจะจากไป
หวังหลินรู้สึกได้ชัดเจนตอนที่สัมผัสวิญญาณจากพายุทอร์นาโดใกล้เข้ามา เกิดความผันผวนแบบผิดปกติภายในหมอกแดง หวังหลินตกตะลึงกับเรื่องนี้และทำให้เขาสังเกตการณ์หมอกแดงอย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม
พายุทอร์นาโดสีดำค่อยๆปรากฎเพิ่มขึ้น ทั้งหมดต่างมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน หวังหลินเหยียดยิ้ม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านั่นเป็นทิศทางที่เมิ่งหลังค่อมอยู่
ใบหน้าเมิ่งหลังค่อมบิดเบี้ยวเหยเกมาก ความจริงเมื่อเขาสังหารคลื่นอสูรเล็กลูกแรกได้ก็เกิดคลื่นลูกที่สองมากกว่าลูกแรกสิบเท่าพลันตระหนักได้ว่ายุ่งเหยิงขึ้นเสียแล้ว
การกระทำของเขามีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของโลกน้ำแข็ง ในบททดสอบนั้นต่างมีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้อาศัยอยู่เช่นกันและปรากฎตัวขึ้นมาเป็นกลุ่มใหญ่ ต้องสังหารพวกมันให้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้ไม่เช่นนั้นมันจะเรียกพวกมาเพิ่ม
ทว่าบททดสอบปฐพีบัดซบนี่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ความคิดนี้ทำให้เมิ่งหลังค่อมยิ้มออกมาอย่างขมขื่น นับตั้งแต่เขาเข้ามาถึงจุดนี้ แม้จะไม่ได้โจมตีพวกมันแต่ทว่าเหล่าอสูรตัวเล็กพวกนั้นยังโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องด้วยคลื่นเสียงและสัมผัสวิญญาณ
ในที่สุดด้านชั่วร้ายของเมิ่งหลังค่อมก็แสดงให้เห็น เขาไม่ยับยั้งตัวเองและโยนพิษจำนวนมากออกมา ผลก็คืออสูรตัวเล็กเริ่มเรียกพวกเข้ามามากขึ้นและมากขึ้น จนถึงจุดที่แม้เขาจะอยู่ในหอคอยสีดำแต่จำนวนของอสูรที่รวมตัวกันทำให้ความคิดเขาว่างเปล่า
ตอนนี้เขายื่นอยู่ข้างในหอคอยสีดำและมองออกไปที่พายุทอร์นาโดสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันอสูรตัวเล็กพวกนี้กลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นเมื่อพวกมันเรียกพวกเข้ามา เขาจึงทดลองใช้หอคอยเป็นฐานและโยนพิษออกมาจากข้างใน แต่ทว่าหอคอยมีข้อจำกัดอันทรงพลังอย่างหนึ่ง ขณะที่มันป้องกันอสูรจากการโจมตีเข้ามา มันก็ป้องกันคนข้างในจากการโจมตีข้างนอกเช่นกัน
เมิ่งหลังค่อมไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาออกจากหอคอยไป แต่เขามั่นใจได้แน่ๆว่าเมื่อเดินออกไปจะได้รับการโจมตีจากการรวมตัวกันของสัมผัสวิญญาณและคลื่นเสียงนับร้อยล้านตัวหรือกระทั่งหนึ่งพันล้านตัว
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณที่สามารถทำให้เซียนสิบล้านคนสั่นเทาด้วยการกระทืบพื้นครั้งเดียว แต่ไม่มีทางที่เขาจะหาทางรอดจากสัมผัสวิญญาณและคลื่นเสียงมากกว่าพันล้านพวกนั้นได้
หลังจากขคิดเล็กน้อยเขาสัมผัสเจ้าคางคกบนบ่าและเผยใบหน้าอันตรายกาจโดยไม่ได้เอ่ยคำใด เขาชี้เจ้าคางคก มันกระโดดลงมาและเริ่มร้องเสียงต่ำ
หัวใจของเมิ่งหลังค่อมเจ็บปวดเมื่อมองไปที่เจ้าคางคก เขาถอนหายใจออกมาและเก็บมันกลับไป หลังจากขบคิดอีกเล็กน้อยจึงนำงูยาวสามสิบจ้างออกมา บนหัวของมันมีเขาข้างหนึ่ง ขณะที่มันปรากฎตัวพลันอากาศรอบด้านร้อนขึ้น
“หากข้าใช้คางคก เมื่อนั้นข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เจ้าคางคุกจะตายแน่นอน อ๊ากกก งูเหลือมเขาเดียวนี้เป็นอสูรวิญญาณระดับกลาง แม้ข้าจะใช้มันก็คงจะได้รับบาดเจ็บบางส่วน” เมิ่งหลังค่อมพึมพำกับตัวเองขณะที่นิ้วชี้ปาดนิ้วกลางเพื่อหยดโลหิตออกมา เขาร่ายประโยคประหลาดและหยดโลหิตเร่ิมสว่างขึ้นอย่างรวดเร็วจนในที่สุดมันกลายเป็นสีขาวน้ำนม หยดโลหิตสีขาวร่อนลงบนศีรษะงูหลามตัวนั้น
เมิ่งหลังค่อมสร้างผนึกอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาชี้ไปที่หน้าผากช้าๆและดึงบางอย่างออกมา เส้นด้ายคล้ายกับไหมผลึกถูกดึงออกจากหน้าผาก จากนั้นเส้นด้ายนี้ถูกกดลงเบาๆไปที่จุดสีขาวน้ำนมบนหน้าผากงูหลาม
เวลาผ่านไปอย่างยาวนานเมิ่งหลังค่อมสูดหายใจลึก ยืนขึ้นและจากนั้นโยนงูหลามไปบนพื้นอย่างลวกๆ เมื่อเจ้างูหลามร่อนถึงพื้น มันม้วนตัวขึ้นและดวงตานิ่งของเมิ่งหลังค่อมกลายเป็นเฉียบคมขณะที่เดินออกจากหอคอยโดยไม่มีความลังเล
เมื่อเขาเดินออกมาเสียงร้องเห่าหอนของพายุทอร์นาโดสีดำเพิ่มขึ้นซ้อนกัน อสูรตัวเล็กทั้งหมดรวมสัมผัสวิญญาณเข้าด้วยกันและปลดปล่อยกระแสโจมตีไปบนเมิ่งหลังค่อม
ขณะนั้นเองกระทั่งท้องฟ้ายังเปลี่ยนสีและข้อจำกัดที่ถูกวางเหนือบททดสอบปฐพีเริ่มสั่น
หวังหลินไม่ได้ใกล้สถานที่แห่งนั้นแต่กระทั่งเขายังรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน เขาลืมตาขึ้นและมองตรงไปยังทิศทางที่เมิ่งหลังค่อมอยู่
ขณะเดียวกันความผันผวนผิดปกติเกิดขึ้นในหมอกแดง เขาดึงความสนใจตัวเองออกจากสิ่งที่กำลังเกิดกับเมิ่งหลังค่อม พลันยื่นมือตัวเองออกมาและปรากฎเปลวไฟสีฟ้าขึ้น
หากเจ้าปิศาจที่ออกมาจากหมอกแดงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา เขาจะใช้ขอบเขตจวี่และเปลวไฟสีฟ้าทำลายมันให้เรียบ หากเขาสามารถควบคุมมันได้ก็คงจะดีกว่า
เมื่อการโจมตีด้วยสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังกำลังเข้ามาหา เมิ่งหลังค่อมไม่ได้หลบแต่สะบัดแขนเสื้อตัวเอง พลันควันสีดำขนาดใหญ่ลอยออกมา
ควันสีดำรวมตัวกันและกลายเป็นเมฆก้อนหนึ่ง เมฆนี้เริ่มกระจายออก อสูรตัวเล็กตัวไหนที่โดนเมฆดำสัมผัสจะหล่นจากท้องฟ้าและดิ้นทุรนทุรายทันที ร่างกายจะกลายเป็นควันสีดำหลังจากนั้นในไม่ช้าจะรวมเข้ากับเมฆดำ
ทันทีที่เขานำควันออกมา การโจมตีด้วยสัมผัสวิญญาณอันทรงพลังหลายชุดก็เข้ามาถึง เมิ่งหลังค่อมกรีดร้องคร่ำครวญ จากนั้นร่างกายเริ่มเป็นภาพมายามากขึ้นและมากขึ้นจนกระทั่งถูกแทนที่ด้วยงูเหลือมเขาเดียว เจ้างูเหลือมกรอกกลิ้งไปรอบๆก่อนจะแตกสลายจากการโจมตีสัมผัสวิญญาณ กระทั่งแกนพลังก็สลายกลายเป็นผุยผง
ขณะเดียวกันเจ้างูเหลือมที่อยู่ภายในหอคอยกลายเป็นภาพเลือนลางและเปลี่ยนเป็นเมิ่งหลังค่อมในไม่ช้า ใบหน้าซีดขาวและไอออกมาเป็นกองโลหิต เขาเผยรอยยิ้มกระหายเลือดขณะที่พึมพำ “พิษทลายสวรรค์ของข้านับได้ว่าเป็นพิษอันดับหนึ่งในทะเลปิศาจและข้าใช้มันจนสิ้น ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะไม่สามารถสังหารพวกมันได้!”
เมฆสีดำปกคลุมทั่วพื้นที่รอบหอคอย ในไม่ช้ามันก็สัมผัสกับพายุทอร์นาโดลูกหนึ่ง พายุนั้นมีเหล่าอสูรตัวเล็กนับไม่ถ้วน ไม่นานนักอสูรพวกนั้นเปลี่ยนเป็นควันสีดำและกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมฆดำ
ผลตามมาทำให้เมฆดำเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ความเร็วการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ส่วนหวังหลินมีใบหน้าเคร่งเครียดมากเมื่อจ้องไปที่หมอกแดง ความผันผวนในหมอกแดงเริ่มมีความถี่บ่อยมากขึ้นจนกระทั่งหมอกแดงเริ่มควบแน่นอีกครั้งช้าๆ หวังหลินกระทั่งไม่กระพริบตา เสียงเปลวไฟกำลังเผาไหม้ดังออกมาจากเปลวไฟสีฟ้าในฝ่ามือเขา
ขณะเดียวกันสายฟ้าแดงปรากฎในดวงตาเขา ข้อจำกัดที่เขาตั้งไว้เพื่อใช้สัมผัสวิญญาณยิ่งแข็งแรงขึ้น กระทั่งเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วฟื้นคืนความรู้สึกได้ หลังจากมอบไปรอบๆเล็กน้อยมันเริ่มมีความสุขมากและลอบคิด ‘ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี้ไม่ง่ายที่จะควบคุมมัน จะดีที่สุดหากพวกเจ้าทั้งสองบาดเจ็บหนักกันเองเช่นนั้นข้าจะกลืนกินทั้งคู่ซะ ฮ่าฮ่า ตอนีน้ข้ามีความคิดบรรเจิดแล้ว!’
ยิ่งมันคิดขึ้นก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้น ดวงตาเปล่งประกายไร้ที่สิ้นสุด แม้ว่าเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วจะฟื้นคืนความทรงจำได้เล็กน้อยแต่มันเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ความทรงจำที่เหลือหายไปตอนที่กลายเป็นปิศาจ มันไม่ได้นับว่าตัวเองเป็นเซียนอีกแล้วและคิดว่าตัวเองเป็นปิศาจเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หมอกแดงกลายเป็นเล็กลงและเล็กลงจนในที่สุดหมอกที่เหลือทั้งหมดหายไปควบแน่นกลายเป็นทรงกลมเรืองแสงสีแดง เกิดเสียงแตกขึ้นเล็กน้อยหลังจากนั้นทรงกลมแรกสลายปลดปล่อยควันสีแดงเข้มออกมา ควันได้เปลี่ยนเป็นรูปร่างศีรษะของอสูรตัวเล็กพร้อมกับจงอยปากแหลมคมและปลดปล่อยกลิ่นอายเยือกเย็นออกมา
ขณะที่มันปรากฎตัวพลันหายไปทันที แม้ว่าหวังหลินจะลอบตกใจแต่ทว่าใบหน้าเขาสงบนิ่งขณะที่แบมือขวาและขอบเขตจวี่พุ่งออกมา
อสูรแดงตัวนี้ปรากฎตัวในทิศทางที่หวังหลินหันเข้าหา มันตกใจและหายตัวไปอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ขอบเขตจวี่ของหวังหลินพลาดเป้า
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าปิศาจใหม่ตัวนี้รวดเร็วแค่ไหน หวังหลินสงบนิ่งไม่เพียงแต่เขาไม่ตื่นตกใจแต่ยิ่งสงบนิ่งมากกว่าเดิม ดวงตาเริ่มเยือกเย็นขณะที่ขอบเขตจวี่พุ่งออกไปด้านหลัง
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากด้านหลังเขา ขณะที่เจ้าปิศาจปรากฎตัวพลันศีรษะของมันกระแทกเข้ากับขอบเขตจวี่ มันไม่สามารถหลบได้ทันดังนั้นขอบเขตจวี่จึงเข้าไปในร่าง
ร่างกายของมันลอยไปบนอากาศและเคลื่อนไหวเข้าหาเบื้องหน้าหวังหลิน มันมองหวังหลินด้วยความหวาดกลัวขณะที่ร้องไห้อย่างอื้ออึง
เจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วสูดหายใจลึกและความคิดก่อกบฎสูยหายไปอย่างรวดเร็ว มันไม่คิดว่าอสูรร้ายจะกำราบน้องเล็กของมันได้ง่ายๆเช่นนี้ หลังจากขบคิดเล็กน้อยมันจึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นและลอบสาปแช่ง “เจ้ามารชั่ว!”