1831. เต๋าเนตรวิญญาณ
ณ สำนักมหาวิญญาณ ภูเขาที่หวังหลินอยู่ช่างเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง ราวกับมันสามารถเผาไหม้ได้ตลอดเวลาและไม่มีวันดับ แต่กลับไม่มีควันพวยพุ่งออกมา พื้นที่รอบภูเขาเกิดการบิดเบือนเนื่องจากความร้อน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบภูเขาดูราวกับเป็นภาพมายา
ภูเขานี้ร้อนเป็นอย่างมาก หากเข้ามาใกล้คงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ หากเข้ามาใกล้อีกคงรู้สึกเหมือนโลหิตกำลังเดือดพล่าน
หวังหลินปรับปรุงถ้ำให้อยู่ในภูเขาสายเพลิงเพียงแค่สามแห่งและทำลายถ้ำอื่นทั้งหมด ตอนนี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในภูเขา
หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำที่เดิมทีเคยเป็นของหยานหลวน ร่างแก่นแท้ปรากฏขึ้นมาและผสานเข้ากับภูเขาอย่างช้าๆ ราวกับกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
หวังหลินบ่มเพาะอยู่ชั่วขณะก่อนจะลืมตา ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า
‘สำนักมหาวิญญาณ…’ หวังหลินพลิกฝ่ามือ ปรากฏหินหยกสีม่วงขึ้นมา มันเปล่งกลิ่นอายเก่าแก่และร่องรอยทรุดโทรม
‘เต๋าเนตรวิญญาณ…คนที่ข้ารู้จักว่าเป็นคนที่เก่งด้านการพยากรณ์มากที่สุดคือเทียนหยุน! ฉิงหลินก็มีวิชาเต๋าคล้ายๆกัน…วิชานั้นยังเด่นด้านการพยากรณ์ ตอนนั้นข้ายืมร่างอวตารของเทียนหยุนเพื่อไปพยากรณ์และมันช่วยข้าจากเหตุการณ์ความเป็นความตายได้หลายครั้ง…’
‘ตอนนี้ด้วยวิชาเต๋าเนตรวิญญาณ ข้าจะต้องเรียนรู้มันให้ได้ ไม่เช่นนั้นการจะเดินทางภายในแผ่นดินเซียนดาราคงเป็นไปได้ยาก…สิ่งสำคัญกว่านั้น มันจะช่วยข้าซ่อนตัวเองและทำให้คนอื่นคาดเดาข้าได้ยากขึ้นไปอีกขั้น…’ หวังหลินขบคิดพลาง ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยก
ทว่าในจังหวะนี้เองหวังหลินหันมองขึ้นไป ภูเขาสายเพลิงทั้งลูกได้ผสานกับ ร่างแก่นแท้หวังหลินไปแล้ว กล่าวได้ว่าภูเขาแห่งนี้คือร่างแก่นแท้ของหวังหลิน จึงสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีสตรีคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่นี่
นางหยุดอยู่นอกภูเขา หลังจากขบคิดเล็กน้อยจึงโค้งคำนับและเอ่ยคำพูดมีเสน่ห์ให้ดังกึกก้อง
“ศิษย์ฟ่านชานเมิ่งออกมาตามคำสั่งของอาจารย์เพื่อเข้าพบตามคำขอของ ผู้อาวุโสหวัง”
‘ฟ่านชานเมิ่ง…’ หวังหลินยิ้มและไม่สนใจนาง ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยกและเริ่มศึกษาเรียนรู้
‘วิญญาณคือเต๋า เต๋าคือวิญญาณ ใช้เต๋าเพื่อค้นผ่านโชคชะตา…’ พอสัมผัสวิญญาณของหวังหลินเข้าไปในหินหยก เสียงเก่าแก่ดังกึกก้องขึ้นในใจ น้ำเสียงแฝงพลังประหลาดและทำให้หวังหลินจมดิ่งจิตใจตัวเองเข้าไปในเต๋าเนตรวิญญาณที่อยู่ในหินหยก
พริบตาเดียวเวลาผ่านไปหนึ่งวัน
ฟ่านชานเมิ่งยังคงยืนก้มหน้ารอคอยอยู่ด้านนอกภูเขา อุณหภูมิที่นี่สูงมาก เสื้อผ้าชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเปียกชื้นและทำให้นางอึดอัดมาก แต่นางก็ยังรอให้หวังหลินเรียกเข้าไป
นางรู้สึกอับจนหนทาง พอคิดถึงเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ภายในดวงตาฉายแววอาฆาตแค้นแต่นางก็ซ่อนไว้อย่างรวดเร็ว
หวังหลินลืมตาขึ้นมามองหินหยกในมือและขบคิดอยู่สักพัก
‘สี่พันเก้าร้อยล้านอักขระ…ทุกการจารึกอักขระต้องประทับลงไปในวิญญาณในช่วงเวลาหนึ่ง…แสนครั้งถือว่าบรรลุขั้นเริ่มต้น สองพันเจ็ดร้อยล้านถือว่าเชี่ยวชาญ และสี่พันเก้าร้อยล้านจารึกถึงได้เป็นปรมาจารย์…’
‘วิชานี้ประหลาดยิ่งและเรียนรู้ได้ง่ายดาย แต่การไปให้ไกลกว่านี้เป็นเรื่องยากที่สุด ยิ่งไปไกลมากแค่ไหนยิ่งจารึกอักขระซับซ้อนและใช้เวลาประทับลงวิญญาณนานมากขึ้นเท่านั้น! นี่คือวิชาเต๋าเนตรวิญญาณของสำนักมหาวิญญาณหรือนี่…’ หวังหลิน ขบคิดเล็กน้อยด้วยท่าทีแปลกประหลาด
‘ตามเวลาที่บอกไว้บนหินหยก วิชานี้ใช้เวลาสามวันในการเรียนรู้จากจุดเริ่มต้น ตราบใดที่บรรลุขั้นที่สามได้ เก้าในสิบคนสามารถจารึกอักขระได้หนึ่งแสนครั้ง บนวิญญาณ…’
‘แต่หากต้องการบรรลุขั้นเชี่ยวชาญ คงต้องใช้เวลา 999 ปี….และต้องใช้เวลาทั้งหมดนั้นปิดด่านบ่มเพาะ…ซึ่งถือว่าเป็นไปได้ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดที่เซียนจะ ปิดด่านบ่มเพาะสักพันปี’
‘แต่การบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบที่มีการจารึกสี่พันเก้าร้อยล้านครั้ง มันจะใช้เวลาเกือบ 178,000 ปี…’ หวังหลินขมวดคิ้ว เขาพอเข้าใจว่าทำไมบรรพชนกระทิงเขียวถึงมอบวิชาเต๋าเนตรวิญญาณที่ดูเหมือนล้ำค่าให้เขาง่ายๆ
การเชี่ยวชาญจนถึงระดับปรมาจารย์แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย! อย่างมากก็ได้แค่ถึงระดับเชี่ยวชาญ!
หวังหลินพ่นลมหายใจและหลับตา ทำการเพ่งสมาธิตัวเองไปในการจารึกอักขระใส่วิญญาณ พอตอนค่ำของวันที่สาม ขณะที่ท้องฟ้าเป็นสีเหลืองอมทอง หวังหลินจึงได้ลืมตาขึ้นมา
‘เป็นไปตามเวลาที่คาดการณ์ไว้ในหินหยก สามวันจารึกอักขระหนึ่งแสนครั้ง บนวิญญาณ…’ หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาสร้างผนึกและชี้ไปที่กลางหน้าผาก พลังวิญญาณโผล่ออกมาจากศีรษะและก่อเกิดเป็นคนเล็กๆ ขึ้นด้านบน
คนเล็กๆ ผู้นี้มีขนาดสูงเพียงแค่สามนิ้วและเกิดขึ้นจากการจารึกอักขระนับแสนครั้งในวิญญาณของหวังหลิน มันดูไม่เหมือนหวังหลินและมีเพียงดวงตาหนึ่งคู่ ไม่มีแม้แต่จมูก ปากหรือสองหูเลย
มันกระโดดออกจากศีรษะและร่อนลงเบื้องหน้าเขา จากนั้นขณะที่หวังหลิน ยื่นมือขวาออกไป เจ้าคนตัวน้อยได้กระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือหวังหลิน
หวังหลินมองด้วยสายตาเป็นประกายแปลกประหลาด เบื้องหน้าเป็นคนตัวน้อยที่กำลังขยับไปมา มันมองเห็นด้วยตาเปล่าเท่านั้น หากใช้สัมผัสวิญญาณจะไม่เห็น อะไรเลย
ขณะที่หวังหลินมองคนตัวน้อย มันก็มองกลับมาที่เขา ดวงตากระจ่างชัดและเปล่งสัมผัสทางอารมณ์ที่ไม่อาจพูดออกมาได้ พอสบสายตากัน หวังหลินรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“เนตรวิญญาณคือการมองเห็นทุกสิ่ง จงค้นความลับของตัวข้าเอง!” หวังหลินเอ่ยขึ้น จากนั้นให้ค้นหาอันตรายในอนาคต เจ้าคนตัวน้อยสั่นเทาและเรืองแสงน่ากลัว มันคุกเข่าลงต่อหน้าหวังหลินและโขกคำนับ
ตอนที่ศีรษะของเจ้าตัวน้อยสัมผัสฝ่ามือหวังหลินเป็นครั้งแรก พลังแปลกประหลาดได้ระเบิดออกมาจากมันและพุ่งผ่านฝ่ามือเข้าไปในจิตใจหวังหลิน
ภาพทัศนวิสัยพร่าเลือนและเห็นหมอกจางๆ หมอกนี้เต็มไปด้วยแสงโลหิต เขาเห็นร่างที่ซ่อนตัวอยู่หลายคนแต่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
ตอนนี้เจ้าตัวเล็กโขกคำนับอีกครั้ง พอหน้าผากสัมผัสกับฝ่ามือจึงเกิดเสียงดังสนั่นในจิตใจหวังหลิน สายหมอกเบื้องหน้าดูเหมือนถูกพลังฉีกกระชากออกไป
เขาเห็นภูเขาแห่งหนึ่งล้อมรอบด้วยสายฟ้า มันเหมือนภูเขาสายฟ้าที่สร้างขึ้น จากสวรรค์ เขาเห็นคนผู้หนึ่งตรงนั้นและดูเหมือนถูกกดทับอยู่ใต้ภูเขาสายฟ้า!
ประกายสายฟ้าร่อนลงบนภูเขา เขาเห็นราชรถยักษ์ที่สร้างขึ้นจากสายฟ้ากำลังปรากฏตัวในท้องฟ้า มีร่างหนึ่งที่สร้างจากสายฟ้าอีกคนกำลังมองลงมาบนพื้นดิน
จิตใจหวังหลินสั่นเทา มองดูคนที่กำลังโดนกดทับโดยไม่ลังเล ทว่ามันกลับพร่ามัวและไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน
วินาทีนี้เจ้าตัวเล็กในมือกำลังสั่นเทาและโขกคำนับเป็นครั้งที่สาม เมื่อหน้าผากสัมผัสกับฝ่ามือหวังหลิน ร่างหวังหลินจึงสั่นสะท้าน พลังรุนแรงอีกสายปรากฏขึ้นมาทะลุทะลวงสายหมอก ทำให้เขาได้เห็นใบหน้า
คนผู้นั้นคือ ตัวเขาเอง!
ภาพลวงตาเบื้องหน้าพลันแตกสลาย เขารู้สึกเหมือนดาวเคราะห์เซียนกระแทกเข้าใส่ สัมผัสวิญญาณจึงรีบถอนออกมา
‘ในภายภาคหน้า ใครจะเป็นคนกดข่มข้าด้วยภูเขาสายฟ้ากัน?’ หวังหลินมีใบหน้าดุดัน พอทุกอย่างเบื้องหน้าเขาพังทลาย เขาฝืนให้สัมผัสวิญญาณคงอยู่ มองไปยังร่างบนราชรถเพื่อต้องการดูว่าคนผู้นั้นหน้าตาแบบไหน!
“เต๋าเนตรวิญญาณ อีกครั้ง!” แม้จะมองเห็นไม่ชัดแต่จะให้หวังหลินล้มเลิกตอนนี้ได้อย่างไร? เมื่อส่งคำสั่งออกไป เจ้าตัวน้อยในมือสั่นเทาและโขกคำนับเป็นครั้งที่สี่
ประกายสายฟ้าเส้นยักษ์ส่องประกายขึ้นทั่วทั้งโลก ทำให้หวังหลินได้เห็นร่างที่อยู่บนราชรถได้ชัดเจน!
พอเห็นร่างนี้ จิตใจสั่นเทา ร่างกายสั่นสะท้าน โลกเบื้องหน้าพังทลาย และเมื่อเขามองขึ้นไปจึงกลับมาอยู่ในถ้ำ
เจ้าตัวน้อยในฝ่ามือดูไร้เรี่ยวแรง ดวงตาหมองหม่นและนิ่งเฉย
ผ่านไปสักพักหวังหลินยังไม่อาจลืมหน้าตาของคนที่เขาเห็นในท้ายที่สุดไปได้
‘เป็นไปไม่ได้…เป็นแบบนี้ได้อย่างไร…’ หวังหลินเต็มไปด้วยความสับสน หลังจากนั้นสักพักจึงกำมือ ส่งเจ้าตัวน้อยเข้าไปหล่อเลี้ยงในวิญญาณของเขา
‘เรื่องนี้ประหลาดเกินไป…แต่วิชาเต๋าเนตรวิญญาณจะสามารถมองเห็น การเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้จริงหรือ ข้าจะต้องบ่มเพาะมันให้มากกว่านี้ บางทีข้าอาจจะสามารถใช้ค้นหาซือถู ฉิงชุ่ย ลี่เฉียนเหมยและคนอื่นได้…’ หวังหลินขบคิดพลางระงับความตกตะลึงในใจ ด้วยประสบการณ์ในชีวิตและระดับบ่มเพาะ เขาสามารถระงับเหตุการณ์อันน่าสั่นสะเทือนสวรรค์ให้ตัวเองสงบจิตใจลงได้
‘ผ่านมาสามวันแล้ว…น่าสงสัยจริงว่าบรรพชนกระทิงเขียวเตรียมของสามสิ่งให้ข้าเป็นอะไร…เขายังบอกให้ข้าเข้าไปตำหนักสลักวิญญาณเพื่อเลือกวิชาได้อีก…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างและคิดเรื่องวิชามายาหลายอย่างที่สำนักมหาวิญญาณมี ซึ่งรวมไปถึงวิชาที่หยานหลวนใช้เรียกวิญญาณของบรรพชนสำนักมหาวิญญาณ
หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินก้าวทะยานออกไปนอกถ้ำ เขายืนบนภูเขาและเห็นฟ่านชานเมิ่งที่ร่างกายอ่อนแอในทันที
นางยังคงยืนอยู่ตรงนั้น พอเห็นหวังหลินจึงเผยท่าทีซับซ้อนอธิบายไม่ถูก ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก หวังหลินก้าวผ่านฟ่านชานเมิ่งไปและออกไปจากภูเขาสายเพลิง
“เจ้า!!” ในสายตาฟ่านชานเมิ่งมีแต่ความโกรธเกรี้ยวแต่นางก็ระงับเอาไว้ นางจ้องมองร่างหวังหลินที่จากไป จากนั้นสงบจิตใจตัวเองและรอคอยต่อไป
นางไม่มีที่ไหนให้ไปแล้ว…
หวังหลินเปลี่ยนเป็นลำแสงและท่องทะยานเข้าสู่ส่วนลึกของสำนักมหาวิญญาณ หินหยกที่บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้ได้ทำให้เขาผ่านเขตอาคมในสำนักเข้ามาได้และมันมีแผนที่ภูเขาหลายแห่งกำกับไว้อีกด้วย ทั้งยังมีตำแหน่งภูเขาสวรรค์เขียวบอกเอาไว้