Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1870

Cover Renegade Immortal 1

1870. เกราะวิญญาณ!

วินาทีที่หวังหลินเข้าไปในพื้นดิน ใบหน้าซีดเผือดและไม่สามารถกล้ำกลืนฝืนทนได้อีกต่อไปจนต้องกระอักโลหิต ขณะที่เขาเข้ามาในพื้นดินได้แล้วจึงสัมผัสได้ว่าค่ายกลด้านหลังปิดผนึกเส้นทางอย่างสมบูรณ์

หากเขาช้าไปกว่านี้คงต้องติดอยู่ด้านนอก ถึงตอนนั้นเขาคงได้เผชิญหน้ากับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจำนวนหกคน แม้จะใช้ทั้งหมดสามชีวิตก็คงไม่มีโอกาสรอด

แต่สิ่งที่ต้องแลกนับว่ามหาศาลเกินไป การใช้วิญญาณเต๋าสามสิบล้านดวงทำให้หวังหลินเจ็บปวดใจ หากน้ำเต้าใช้อย่างเหมาะสมจะทำให้เขาสามารถทำร้ายเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางจนบาดเจ็บสาหัสได้ แต่เขากลับใช้มันระเบิดเพื่อให้มีโอกาสหนีได้เท่านั้น

‘ช่างมันเถอะ แม้น้ำเต้านั่นจะทรงพลังมาก มันก็แค่พลังภายนอก ตราบใดที่ข้ารอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้ ท้ายที่สุดข้าก็ได้สมบัติที่แข็งแกร่งขึ้น!’

‘จางต้าวจง ข้าจะจำไว้!’ หวังหลินมีสีหน้ามืดมนยิ่ง สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นสถานการณ์อันตรายที่สุดตั้งแต่เขามาถึงแผ่นดินเซียนดารา

หากเขาประมาทไปเพียงเล็กน้อยคงตายไปแล้ว

หวังหลินจะต้องแก้แค้นแน่นอน เขาจำสิ่งที่จางต้าวจงทำในวันนี้ให้ขึ้นใจและจดจำการกระทำของลิ่วเหวินหลานไว้ด้วย!

ก่อนหน้านี้หากลิ่วเหวินหลานชะลอการผนึกวังใต้ดิน หวังหลินคงไม่ต้องระเบิดน้ำเต้าเพื่อเข้ามาใต้ดิน

แต่ความเห็นแก่ตัวของลิ่วเหวินหลานได้ทำให้หวังหลินตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย!

‘ลิ่วเหวินหลาน!’ หวังหลินดวงตาแดงก่ำและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตอนที่เขามาที่แผ่นดินเซียนดารา เขาไม่รู้สึกว่าเป็นคนของที่นี่ ผู้คนและสถานที่ที่เขาเห็นต่างให้ความรู้สึกแปลกหน้าไปทั้งหมด

เขาไม่ได้เกลียดคนที่นี่ ทุกคนต่างยุ่งกับเป้าหมายของตัวเอง

แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้วเพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

หวังหลินเข้าไปในส่วนลึกของพื้นดิน ไม่นานจึงได้เห็นวังใต้ดิน ด้านบนส่งเสียงดังสนั่นกึกก้องเพราะมีคนกำลังโจมตีค่ายกลเพื่อทะลวงเข้ามาในวังใต้ดิน

แม้ค่ายกลจะทรงพลัง หากเซียนขั้นวิบากแก่นแท้ระดับกลางจำนวนหกคนโจมตีอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดก็พังทลายอยู่ดี

พอหวังหลินเข้าไปในวังใต้ดิน เหลือเซียนที่หนีมาได้เพียงแค่พันคน พวกเขาเป็นกังวลและไม่มีจิตใจจะไปบ่มเบาะ ทุกคนล้วนฟังเสียงสั่นสะเทือนด้านบน พวกเขารู้สึกเคร่งเครียดและหมดหวัง

สายตาพวกเขากวาดเข้ามาทางวังเป็นพักๆ ที่ตรงนั้นคือตำแหน่งที่เซียนขั้นวิบากดับสูญอยู่และพวกเขาก็บาดเจ็บสาหัสด้วยเช่นกัน

ขณะที่เสียงดังด้านบนเริ่มรุนแรงขึ้น วังใต้ดินเริ่มสั่นเทาและดินเริ่มร่วงมาจากเพดาน แม้จะรู้ว่าพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวยังต้องใช้เวลานานกว่าจะทำลายค่ายกลเข้ามาได้ แต่เสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องเกิดเป็นแรงกดดันที่มองไม่เห็นทับใส่ทุกคน

ด้วยแรงกดดันแบบนี้ คนที่ไม่มีจิตใจแข็งแกร่งคงแทบบ้าคลั่ง

เซียนที่เหลืออยู่หลายคนเผยแววตาสิ้นหวัง มองดินที่กำลังตกจากด้านบนและรู้สึกถึงวังกำลังสั่นไหว แต่ละคนเกิดความหวาดกลัวรุนแรง

“มันจบแล้ว…พวกมันมีเซียนทรงพลังถึงหกคนและค่ายกลแห่งนี้ก็ไม่สามารถปกป้องเราได้เลย เมื่อพวกมันเปิดค่ายกลได้….”

“แคว้นมารเขียวมีกองหนุน ทำไมเราไม่มีบ้าง? ทำไมมีเพียงแค่เราปกป้องที่นี่เอาไว้…”

“ไม่ต้องคุ้มกันอีกแล้ว มันไร้ประโยชน์ อีกไม่นานที่นี่จะถูกทำลายไปด้วย เราควรต้องหนีทันที!”

เสียงโวยวายดังลอดผ่านวังใต้ดินราวกับพายุ หวังหลินนั่งอยู่ในถ้ำของตัวเอง ถ้ำเขาไม่มีประตูดังนั้นจึงมองเห็นทุกอย่างด้านนอกได้ง่ายๆ

การฟังเสียงเหล่าเซียนที่สิ้นหวังและสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนจากด้านบนได้ ทำให้หวังหลินมีท่าทีมืดมนขึ้นเรื่อยๆ

หวังหลินไม่สนใจเรื่องวังที่กำลังโดนทำลาย เขาขบคิดถึงวิธีการต่อกรกับจางต้าวจงเมื่อพวกเซียนจากแคว้นมารเขียวเข้ามาข้างในนี้ได้!

หากพวกมันสามารถผนึกพื้นที่ได้ครั้งหนึ่งแล้วก็สามารถทำเป็นรอบที่สอง สามและสี่ได้! การผนึกพื้นที่นั้นมีเป้าหมายมาที่เขาโดยเฉพาะซึ่งทำให้หวังหลินปวดหัวยิ่ง!

พอคิดเช่นนี้หวังหลินจึงมั่นใจว่าแคว้นมารเขียวมุ่งเป้ามาที่เขาและเหมือนจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลโอสถ ราวกับเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางทั้งสี่คนนั้นมาที่นี่เพราะเขา!

‘การทะลวงเปิดสายเพลิงปฐพีเส้นที่สามเป็นแค่เป้าหมายหนึ่งในนั้น อีกเป้าหมายคือมาสังหารข้า…พวกนั้นต้องวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้ข้าได้มีโอกาสหนีไปได้…’

‘เช่นนั้นหากข้าต้องช่วยเหลือตัวเองและต่อสู้กลับได้ ข้าต้องทำตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าวิธีไหนก็ตาม…’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง รีบเพ่งสมาธิคิดถึงหนทางการทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง

เขาไม่ได้คิดแบบนี้มานานมากแล้ว มีเพียงการโดนแรงกดดันที่ส่งผลต่อชีวิตและความตายเท่านั้นจึงจะทำให้หวังหลินเติบโตมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาไม่ถึงสามพันปี

ขณะที่หวังหลินคิด ท่ามกลางเหล่าเซียนที่เหลืออยู่ต่างร่ำร้องรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าใครเริ่มจุดประเด็นก่อนแต่พวกเขาจับกลุ่มกันอยู่รอบๆ วัง

“สหายเซียนขั้นวิบากดับสูญ ตอนนี้เราควรทำอะไรดี!?”

“พวกเซียนจากแคว้นมารเขียวกำลังทะลวงเข้ามา เราควรต่อต้านอย่างไรดี!?”

“เรามีกองหนุนหรือไม่? หากเรามีแล้วเมื่อใดจะมาถึง? หากไม่มี เราแค่รอความตายเท่านั้นหรือ!?”

“ผู้อาวุโส โปรดให้คำชี้แจงกับเราด้วย!”

“ให้คำตอบเราด้วยเถอะ!”

“หากไม่มีคำตอบ เราไม่สามารถรอความตายได้ อย่างมากข้าจะยอมจำนนต่อ…” คนสุดท้ายที่พูดเป็นชายวัยกลางคน เขาทั้งโกรธ กลัวและสิ้นหวัง ทว่าในจังหวะนั้นดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายลอยขึ้นไปในอากาศ สองมือกุมไปรอบคอราวกับมีคนกำลังบีบคอ

คล้ายกับมีมือล่องหนกำลังบีบเข้ามา ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถเป็นอิสระได้

ปัง!

เซียนคนนั้นระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิตกระจายไปสู่เซียนนับพัน โลหิตสาดลงบนใบหน้าแต่ละคนจนทุกคนเงียบเสียง!

“พวกเจ้าจะตื่นตระหนกไปเพื่ออะไร?” น้ำเสียงเย็นเยียบดังออกมาจากวัง ลิ่วเหวินหลานที่สูญเสียแขนไปหนึ่งข้างก้าวเดินออกมาอย่างหน้าซีด แต่สายตามืดมน

ด้านหลังเป็นหยานหลวนที่หน้าซีดขาวด้วยเช่นกัน นางมีละอองโลหิตอยู่บนเสื้อผ้าและติดตามอย่างเงียบๆ ถัดจากนางคือซิ่วตงเต๋อที่ดูอ่อนแออยู่จริงๆ ราวกับบาดเจ็บสาหัสในจังหวะสุดท้าย

ด้านหลังทั้งสามคือเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับต้นจากสำนักใกล้เคียง ทั้งหมดอ่อนแอและติดตามโดยไม่ปริปาก

พอมีลิ่วเหวินหลานนำหน้า เซียนขั้นวิบากดับสูญทั้งหมดจึงทะยานออกมา ชายชราแซ่โจวติดตามทุกคนออกมาด้วย

ลิ่วเหวินหลานกวาดสายตาผ่านพื้นดินเบื้องหน้าไป ตอนนี้เขาตื่นเต้นเล็กน้อยและไม่ให้ความสนใจถ้ำรอบๆ เขากวาดสายตาคร่าวๆ เท่านั้น

“นี่ยังไม่ใช่ช่วงวิกฤติที่สุด หากใครกล้าทำให้เกิดความปั่นป่วนมากขึ้นอีกอย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยม! สหายเซียนโจว ออกมาอธิบายสถานการณ์!” หลังจากลิ่วเหวินหลานพูดขึ้น เขามองไปที่ชายชราแซ่โจว

อีกฝ่ายจิตใจสั่นไหวและรีบพยักหน้า เขามองผู้คนด้านล่างด้วยความรู้สึกซับซ้อน ถอนหายใจพลางคำนับฝ่ามือและเริ่มพูด

“เหล่าสหายเซียน ข้าคือคนที่รับผิดชอบวังใต้ดินที่นี่ ส่วนใหญ่ได้เจอข้ามาบ้างแล้ว…”

“รีบเข้าเรื่อง!” ลิ่วเหวินหลานขมวดคิ้ว

ชายชราแซ่โจวตัวสั่นและพูดให้เร็ว

“สถานการณ์ตอนนี้แม้จะมีเซียนขั้นวิบากดับสูญจำนวนหกคนอยู่ด้านนอก สายเพลิงปฐพีแห่งที่สามยังมีไพ่ตายสุดท้าย เมื่อมันใช้ออกมาเราจะสามารถต่อสู้กลับและรับประกันว่าทุกคนจะออกไปได้อย่างปลอดภัย”

“ดังนั้นอย่าตื่นตระหนก วิธีสุดท้ายต้องการให้ทุกคนใช้ระดับบ่มเพาะของตัวเองอัญเชิญดวงวิญญาณของกระทิงสวรรค์ออกมาและเปลี่ยนมันเป็นเกราะวิญญาณ หลังจากสวมเกราะวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณของกระทิงสวรรค์จะเข้าไปในร่างเจ้าและเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นอย่างน่ากลัวในช่วงเวลาสั้นๆ!” ชายชราแซ่โจวรีบเอ่ย

หลังได้ยินเช่นนี้เหล่าเซียนนับพันจึงหายใจถี่ พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน แม้จะสงสัยในตัวตนของกระทิงสวรรค์แต่ก็เชื่อว่าการอัญเชิญเกราะวิญญาณของมันจะช่วยเพิ่มระดับบ่มเพาะขึ้นได้อย่างมหาศาล

“เนื่องเพราะการสวมเกราะมีอันตรายอยู่บ้าง หลังจากพูดคุยกันระหว่างเซียนขั้นวิบากดับสูญ เราจึงยอมให้ผู้อาวุโสลิ่วที่มีระดับบ่มเพาะสูงสุดและช่วยสนับสนุนมาตลอด ได้สวมใส่มัน” ชายชราแซ่โจวพูดขึ้น หวังหลินพลันลืมตาเป็นประกายแปลกประหลาด

เขาไม่เชื่อว่าลิ่วเหวินหลานจะสวมเกราะวิญญาณนี้หากมันมีอันตรายจริงๆ มันต้องมีประโยชน์อื่นไม่เช่นนั้นลิ่วเหวินหลานคงไม่ทำ

“เหล่าสหายเซียน แม้เกราะวิญญาณนี้จะอันตราย มันเป็นช่วงเวลาคับขันของแคว้นกระทิงสวรรค์ของเรา ข้าจะปล่อยให้คนอื่นสวมมันเพียงเพราะอันตรายได้อย่างไร?”

“ยิ่งมันอันตรายแค่ไหน ยิ่งมีเหตุผลให้ข้าต้องสวมใส่เกราะนี้ หาก…หากข้าตายเพราะเกราะวิญญาณ เช่นนั้นได้โปรด วันนี้ของทุกปีช่วยส่งเหล้ามาให้ข้าสักขวด!” ลิ่วเหวินหลานตื่นเต้นยิ่งอยู่ภายในและแทบอดทนไม่ไหว อย่างไรก็ตามเบื้องหน้าแล้วเขากลับเผยความโศกเศร้าราวกับกำลังเสี่ยงอยู่

คำพูดเขาทำให้หยานหลวนเผยความดูถูกที่ไม่อาจจับสังเกตได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!