Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2045

Cover Renegade Immortal 1

2045. ผสานร่างแก่นแท้!

สายหมอกปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและปั่นป่วน ดูราวกับดอกเห็ด เสียงดังสนั่นกึกก้องแผ่กระจายออกไปปกคลุมท้องฟ้าและทำให้พื้นดินมืดอึมครึม

แรงกดดันทรงพลังแผ่กระจายออกมาจากท้องฟ้าและห่อหุ้มพื้นดินเบื้องล่าง พื้นดินเริ่มสั่นเทาราวกับมีวิญญาณและเกิดความหวาดกลัวต่อแรงกดดัน

นอกจากกลุ่มขององค์ชายจี้ตูแล้ว มีองค์รักษ์อีกหลายคนในวัง ระดับบ่มเพาะของแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอ บางคนถึงกับมีดาวรวมทั้งสิ้น 27 ดวง

แต่ขณะที่แรงกดดันกดทับลงมาในวินาทีนั้น เหล่าองครักษ์เกือบพันคนต่างก็หน้าซีดและร่างกายสั่นเทา ร่างกายส่งเสียงปะทุขึ้นราวกับไม่สามารถอดทนต่อแรงกดดันนี้ได้

‘ร้อยปีที่ผ่านมาเขาบ่มเพาะอย่างไรถึงได้สร้างแรงกดดันได้ขนาดนี้?’ สีหน้าของชายหนุ่มชุดม่วงพลันเปลี่ยนไป แม้เขาจะมีระดับบ่มเพาะสูงมากก็แทบไม่สามารถทนยืนต้านไหว

ส่วนหญิงสาวนั้นไม่สามารถยืนขึ้นได้เลย นางนั่งอยู่บนเก้าอี้และหยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

องค์ชายจี้ตูดูตื่นเต้น เขาไม่กล้าขัดขวางหวังหลินในช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมาแม้เขาจะเผชิญกับวิกฤติความเป็นความตายก็ตาม เขายอมกัดฟันแน่นและอดทนเอาไว้ให้ผ่านไป ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหวังหลินออกมาจากแรงกดดันครั้งนี้

สายหมอกในท้องฟ้ากำลังปั่นป่วนอย่างต่อเนื่องและปรากฏภาพเงาแปลกประหลาดขึ้นภายใน ภาพเงานี้เป็นดวงอาทิตย์สีแดงเปล่งแสงเจิดจ้า เพียงแค่แสงแผ่กระจายออกมา สายหมอกยิ่งปั่นป่วนและเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง จากนั้นสายหมอกได้แผ่กระจายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

วังขององค์ชายจี้ตูถูกห่อหุ้มอยู่ในสายหมอก ผู้คนมากมายข้างในพบว่าหากต่อต้านแรงกดดันนี้คงเป็นเรื่องยากยิ่ง ดังนั้นจึงนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิ้วเดียว

โดยเฉพาะองครักษ์ใกล้ๆ นับพันคนที่อยู่ในวัง พวกเขาอยู่ใกล้กับแรงกดดันนี้มากเกินไปจึงเกิดอาการสั่นเทาและหวาดกลัวไปทั่วจิตใจ

ชายหนุ่มชุดม่วงที่อยู่ในวังถึงกับชุ่มไปด้วยเหงื่อและเสื้อผ้าเปียกโชก ดวงตาเต็มไปด้วยหวาดกลัว เขาเคยเจอมหาชั้นฟ้าซ่งเทียนมาแล้ว ซึ่งแม้แต่เบื้องหน้าของซ่งเทียนก็ไม่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแบบนี้

ราวกับชีวิตเขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของแรงกดดัน

ข่าวลือเมื่อร้อยปีก่อนเกี่ยวกับคนผู้นี้พลันปรากฏขึ้นในใจชายหนุ่มชุดม่วง ความไม่เคารพที่มีในใจพลันหายไปจนหมดสิ้น คนที่สามารถปลดปล่อยแรงกดดันแบบนี้ได้เทียบได้กับมหาชั้นฟ้าซ่งเทียน!

ขณะที่แรงกดดันและสายหมอกกำลังห่อหุ้มทั่วบริเวณ ห่างออกไปไกลในเมืองหลวงอาณาเขตฉี มีภูเขาแห่งหนึ่งที่มีอารามขนาดใหญ่อยู่บนยอด

ภูเขาแห่งนี้ถูกเรียกว่าภูเขาต้นกำเนิด ตรงยอดภูเขาเป็นรูปทรงคล้ายเขาสัตว์ ราวกับภูเขาลูกนี้กำลังจะแทงทะลุไปถึงสวรรค์

อารามขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นตรงปลายสุดของส่วนเขา นี่คืออารามฉี เป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของอาณาเขตฉี ทั้งยังเป็นที่ที่ผู้คนจำนวนมากได้รับการสั่งสอน ส่วนแห่งที่สองคืออารามบรรพชน

ปกติแล้วจะมีคนจำนวนมากมายเข้ามาเยี่ยม แต่ในวันนี้อารามกำลังเปล่งแรงกดดันทรงพลัง ป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาได้

ใจกลางเขาสัตว์มีชายวัยกลางคนกำลังนั่งอยู่ เขาสวมเสื้อผ้าสีเขียวและมีเรือนผมยาวถึงเอว ทอดสายตามองออกไปไกล สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย

ด้านหลังมีคนอีกหนึ่งคน เขาเป็นชายหนุ่มท่าทีหยาบกร้านเล็กๆและแฝงความดุร้ายที่ซ่อนไว้ภายใน ทว่าเพียงแค่มองออกไปไกล ความดุร้ายนี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง

ด้วยระดับบ่มเพาะของเขา ปกติแล้วคงไม่สังเกตถึงแรงกดดันจากระยะทางไกลๆ ได้ แต่เพียงแค่ยืนอยู่ด้านหลังชายวัยกลางคน เขากลับรู้สึกถึงได้ผ่านวิธีอันพิเสษ

“อาจารย์…นี่…นี่มัน…” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เขาเห็นสีหน้าท่าทางของอาจารย์กำลังมืดมน หลังจากพูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จึงได้กลืนคำพูดตัวเองทันที

“นอกจากหวังหลินที่บุกเข้าไปในวังอาณาเขตเต๋า สังหารจักรพรรดิเต๋า มาที่อาณาเขตฉีของข้าและเลือกช่วยเหลือพี่ชายเจ้า จะเป็นใครไปได้อีก!?” ชายวัยกลางคนมีสายตาเย็นเยียบ

หลังจากได้ยินชื่อ “หวังหลิน” ชายหนุ่มก็อ้าปากค้าง ขบคิดเล็กน้อยและจึงพูดออกมา

“ที่อาจารย์ยังไม่เลือกศิษย์เป็นจักรพรรดิเพราะคนผู้นี้ใช่หรือไม่?”

ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจเย็นเยียบ

“ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยเจอหวังหลินคนนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนที่ซวนลั่วพาเขามาที่นี่ ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ได้อ่อนแอและมีพลังการต่อสู้อันยอดเยี่ยม แต่เขาก็ยังไม่คู่ควรให้ข้าสนใจ!”

“เหตุผลที่เขาสามารถบุกเข้าไปในวังหลวงอาณาเขตเต๋าและถอยกลับมาได้เพราะซวนลั่วไม่ลงมือ! เขาสังหารจักรพรรดิเต๋าแต่มหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าวกลับไม่พูดอะไรสักคำ เรื่องนี้เป็นที่สับสนกันไปทั่วและเป็นเหตุผลว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่รีบเลือกเจ้าให้เป็นจักรพรรรดิในอนาคต!”

“คนที่อาจารย์กังวลไม่ใช่เขา แต่เป็นมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว! ส่วนเรื่องหวังหลิน ยังไม่คู่ควรให้ข้าต้องมาคิดอะไรมาก!” ชายวัยกลางคนทอดสายตามองออกไปไกลและรู้สึกถึงแรงกดดันเบาๆ เขาคือมหาชั้นฟ้าซ่งเทียนแห่งอาณาเขตฉี และชายหนุ่มด้านหลังเขาคือองค์ชายอีกคน ฉีหมาน

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกและถามขึ้นมาหลังจากลังเล

“อาจารย์ หวังหลินออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะในช่วงร้อยปี หมายความว่าระดับบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถปลดปล่อยแรงกดดันระดับนี้ได้”

ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไรแต่หรี่สายตาลงโดยมิอาจตรวจจับได้ เขาขบคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น

“เขากำลังผสานร่างแก่นแท้! ร่างแก่นแท้ของเขาช่างพิเศษและต้องการผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ แต่นั่นเป็นเรื่องยากมาก! ทว่าเขาตั้งใจเลือกอยู่ในอาณาเขตฉีและผสานร่างแก่นแท้โดยไม่แจ้งข้าก่อน เขาไม่ไว้หน้าข้าและกำลังจะเข้ามาเกี่ยวข้องในการแข่งขันของจักรพรรดิฉี ข้าจะต้องไปสั่งสอนเขาเสียหน่อย” แม้ชายวัยกลางคนจะกังวลเรื่องมหาชั้นฟ้ากุ้ยต้าว แต่เขาก็ยังเป็นมหาชั้นฟ้า เขายังเป็นองครักษ์อาณาเขตฉีและมีสิทธิ์ในการจัดการสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่ออาณาเขตฉี

มหาชั้นฟ้าซ่งเทียนมีแววตาเย็นเยียบและยกแขนขวาขึ้นมา สร้างผนึกและชี้ไปยังทิศทางที่หวังหลินกำลังปลดปล่อยแรงกดดัน

“ปลดปล่อยผนึก!” เพียงแค่เขาพึมพำ แสงน่ากลัวกะพริบวาบบนมือขวา

ขณะเดียวกัน ณ ภูเขากุ้ยต้าว ใจกลางของเผ่าโบราณ ร่างที่ปกคลุมอยู่ในสายหมอกกำลังนั่งอยู่บนยอดหอคอย เขาพลันลืมตาและมองไปยังทิศทางของอาณาเขตฉี

ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “การผสานร่างแก่นแท้?” คำพูดสงบนิ่งและไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอันใด

ขณะที่สายหมอกห่อหุ้มราชวังขององค์ชายจี้ตู ดวงอาทิตย์หนึ่งดวงปรากฏขึ้นในท้องฟ้าและไม่นานโลกก็เปลี่ยนสีสันและเปลี่ยนกลายเป็นกลางคืน!

ท้องฟ้าได้สลับสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนและกลางวันในชั่วเวลาสั้นๆ หลังจากเปลี่ยนไปถึงเก้าครั้ง ปรากฏเส้นมากมายอยู่ในสายหมอกและก่อเกิดเป็นอักขระ แต่ละสายมีพลังของแก่นแท้เขตอาคม

หลายชั่วโมงผ่านไปได้มีเขตอาคมปรากฏขึ้นมามากขึ้นและการสลับเปลี่ยนระหว่างกลางวันและกลางคืนยิ่งมีความถี่มากขึ้น แต่กลับไม่มีสัญญาณการผสานกัน

กระทั่งมีสัญญาณของความไม่มั่นคง ขณะที่กลางวันและกลางคืนสลับกัน ท้องฟ้าเริ่มอ่อนกำลังลงและเขตอาคมจำนวนมากเผยสัญญาณการหายไป

นาทีนั้นลำแสงห้าสายพุ่งออกมาจากวังด้วยเสียงร้องโหยหวนน่าตกตะลึง บอกไม่ได้ว่าข้างในลำแสงทั้งห้าคืออะไร แต่พอพวกมันรวมกันเป็นหนึ่งในท้องฟ้ากลับเกิดเป็นภาพเงา

ภาพเงานี้ดูคล้ายกับหวังหลิน!

แต่มันไม่ใช่ร่างดั้งเดิมของหวังหลิน มันคือร่างแก่นแท้ห้าธาตุซึ่งลอยอยู่ตรงนั้นเหมือนภาพลวงตาและมีขนาดเท่ากับคนปกติ ทว่าเขาสูดเอาพลังของโลกเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ร่างแก่นแท้ห้าธาตุจึงขยายออกไปจนสูงพันฟุต!

นี่คือพลังของโลก เป็นพลังของธาตุทั้งห้าในโลกนี้!

ร่างสูงพันฟุตได้สูดเข้าไปอีกครั้ง ผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน เปลวเพลิงแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นมา ตามมาด้วยหมอกฝน หญ้าแห้งเหี่ยวและโลหะสวรรค์เคลื่อนไหว พลังของธาตุทั้งห้าได้ถูกสูดเข้าไปในปาก

ท้องฟ้าดังสนั่นกึกก้อง ร่างเงาพันฟุตขยายออกไปอีกครั้งกลายเป็นหมื่นฟุต!

ร่างแก่นแท้ห้าธาตุที่มีขนาดหมื่นฟุตอ้าแขนออกมา ขณะเดียวกันการสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวันยิ่งลื่นไหลและเขตอาคมไม่มีอาการแตกสลายอีกแล้ว

ทว่าในขณะที่เขตอาคม จุดเริ่มต้นแท้จริงและจุดจบแท้จริงกำลังเกิดความสมดุล เสียงคำรามดุร้ายโผล่ออกมาจากส่วนลึกของใต้ดิน

เสียงคำรามมีความบ้าคลั่งและพลังอันน่าตกตะลึง ทำให้จิตใจของทุกคนบนอาณาเขตฉีถึงกับสั่นเทาและตื่นตระหนก

นาทีนั้นองค์ชายจี้ตูที่อยู่ในวังถึงกับตัวสั่นและกระอักโลหิตออกมา แววตาเกิดความตกตะลึง

“มันคือหลัวจู้!”

ชายหนุ่มในชุดม่วงถึงกับหน้าซีด ตอนที่เขาได้ยินเรื่องหลัวจู้ สมองพลันคิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับองค์ชายจี้ตู ลือกันว่าตอนที่องค์ชายเกิด มีสัญญาณแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้น เพียงแต่นั่นเป็นสัญญาณร้าย ทางราชวงศ์ปกปิดเอาไว้และราชครูได้ขับไล่ออกไป

มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาร้อยปีข่าวลือได้เริ่มแผ่กระจายขึ้นอีกครั้งในอาณาเขตฉี

ลือกันว่าที่องค์ชายจี้ตูสร้างวังขึ้นในแคว้นหลัวจู้แห่งนี้เป็นเพราะมีอสูรดุร้ายถูกปิดผนึกไว้ใต้แคว้นซึ่งมีชื่อว่าหลัวจู้!

ส่วนเหตุผลว่าทำไมองค์ชายจี้ตูถึงอยู่ที่นี่ อาจเป็นเพราะเขามีหน้าที่ในการกักขังหลัวจู้และสามารถใช้กลิ่นอายของหลัวจู้มาบำรุงตัวเองได้ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ราชครูไ้ด้จัดแจงเอาไว้ก่อนที่เขาจะตาย

เสียงคำรามดังออกมารุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่นานมีร่างเงาขนาดยักษ์ปรากฏห่างออกไปไกล มันเป็นก้อนเนื้อทรงกลมที่มีเพียงดวงตาขนาดใหญ่หนึ่งข้างเท่านั้น มันเผยความดุร้ายและบ้าคลั่ง ร่างกายของมันคล้ายกับภาพลวงตา วินาทีนั้นมันได้จ้องมองร่างแก่นแท้ห้าธาตุของหวังหลินที่อยู่เหนือวัง แววตามีประกายแห่งความโลภ

ก้อนเนื้อทรงกลมนี้คือหลัวจู้เช่นนั้นหรือ?

……………………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!