206. บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์
หวังหลินมีท่าทีดังเดิมแต่จับความสนใจได้ นี่เป็นเพราะกุยซีคือภาวะที่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ถูกมารร้ายบุกเข้ามาในร่างและวิญญาณเซียนถูกขังไว้ภายใน วิญญาณเซียนไม่สามารถออกจากร่างกายได้และร่างกายเข้าสู่สภาวะหลับไหล
สภาวะเช่นนี้เรียกกันว่ากุยซี
มีเพียงทางเดียวจะแก้ไขปัญหานี้คือหาสถานที่ที่ปลอดภัยและขับปิศาจร้ายออกจากร่างกายด้วยตนเอง หากคนอื่นต้องการช่วยเหลือเมื่อนั้นต้องแข็งแกร่งกว่าเซียนที่อยู่ในภาวะกุยซีหลายเท่าหรือกระทั่งแข็งแกร่งกว่าหนึ่งขั้นไม่เช่นนั้นเซียนที่ถูกขังไว้ก็อยากที่จะทำคนเดียวได้
หากติดอยู่ภาวะกุยซีเป็นเวลานานเช่นนั้นมารร้ายจะกลืนกินอย่างสมบูรณ์ วิญญาณจะหายไปและร่างกายจะเน่าเสีย
แต่โดยทั่วไป เซียนส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ภาวะกุยซีจะตื่นขึ้นมาทว่าสูญเสียระดับฝึกตนซึ่งยังนับว่าสูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิต
กุยซีนี้ไม่ใช่สิ่งธรรมดาในโลกแห่งเซียน อย่างน้อยหวังหลินก็ยังไม่เคยได้ยินใครติดอยู่ในกุยซี
หลังฉิวซื่อเผิงพูดจบ เขามองดูหวังหลินเพื่อหาเบาะแสบางอย่าง ทว่าใบหน้าหวังหลินไม่เปลี่ยนไปเลยทั้งยังสงบเงียบอยู่ตลอด
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย แสงสีแดงในดวงตาทื่อลงและถามขึ้น “เจ้ารู้ได้ยังไงว่าที่ไหนมีเซียนภาวะกุยซี?”
กุยซื่อผิงโล่งอก ตราบใดที่หวังหลินถามคำถามนั่นหมายความว่าประโยคสามประโยคที่ต่อรองไปเป็นโมฆะ ฉิวซื่อผิงไม่สงสัยเลยว่าหากสามประโยคนั้นไม่ประทับใจต่อหวังหลิน เขาคงสังหารโดยไม่ลังเลไปแล้ว
ทั้งคู่ต่างเป็นขั้นแกนลมปราณระดับปลายแต่ยังมีพลังห่างกันช่วงใหญ่ ฉิวซื่อผิงยิ้มขมขื่นในใจ เขารู้สึกว่าเหตุผลเดียวที่หวังหลินแข็งแกร่งก็เพราะมีสมบัติบางอย่างที่ช่วยให้เพิ่มพลังโจมตีของตัวเองได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะไร้หนทางที่จะต่อต้านได้หรือ?
เมื่อได้ยินคำถามของหวังหลิน จึงรีบเอ่ย “สหายเซียน เรื่องนี้เล่ากันยาว ทำไมเราไม่นั่งลงและให้ข้าเล่าให้ท่านฟังเล่า?”
หวังหลินมองเขาและพยักหน้าเบาๆ
ฉิวซื่อผิงเหาะเข้าหาภูเขาอย่างรวดเร็ว หมอกสีดำปรากฎใต้ฝ่าเท้าและพาเขาไปที่ศาลาบนยอดภูเขา
หลังฉิวซื่อผิงจากไป หวังหลินเคลื่อนกายอย่างอ่อนโยนและมาถึงศาลาเช่นกัน เขาสะบัดแขนเสื้อเกิดลมพัดอ่อนๆพาเอาสิ่งสกปรกทั้งหมดบนเก้าอี้หินมลายหายไปจากนั้นนั่งลง
แม้เขาจะออกหลังฉิวซื่อผิง แต่มาถึงในเวลาเดียวกัน ใบหน้าฉิวซื่อผิงสงบนิ่งแต่ในใจตื่นตะลึงและรูม่านตาแคบลง แต่ในไม่ช้าก็กลับเป็นปกติ
เขารู้ว่านี่เป็นคำเตือนจากหวังหลิน คำเตือนนั้นหากเขาพยายามหลอกลวงเพื่อหลบหนีนับว่าไม่อาจทำได้
ความจริงสิ่งนี้เป็นความตั้งใจของหวังหลินเช่นกัน ฉิวซื่อผิงตอนนี้มีความสนใจเต็มที่ สิ่งใดที่ช่วยเขาสร้างวิญญาณเซียนก็นับว่าให้ความสนใจด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นหวังหลินยังเป็นขั้นแกนลมปราณระดับปลายแล้ว วิญญาณเซียนเป็นเรื่องสำคัญและการสร้างมันควรจะอยู่ในใจเขาเสมอ
เมื่อสร้างวิญญาณเซียนของตนเองได้เมื่อนั้นสิ่งที่เหลือสำหรับเขาก็คือการกลับไปแคว้นจ้าวและย้อมโลหิตให้แดงฉาน เปลี่ยนท้องฟ้าแคว้นจ้าวเป็นสีเลือดและปกคลุมผืนดินในโลหิต เขาจะทำให้เซียนทุกคนในแคว้นจ้าวไม่มีวันลืมเลือนวันคืนอันโหดร้ายและทำให้ศัตรูทุกคนต้องจ่ายชีวิตตนเองเพื่อบรรพชนผู้นี้
เขาต้องการสังหารทุกคนในตระกูลเถิงตั้งแต่ผู้อาวุโสไปจนถึงเด็กน้อย เขาไม่เหลือทิ้งไว้แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงตัวเดียว
เขาต้องการให้จื่อโม่ตายโดยไม่มีหลุมฝังและลูกศิษย์ทุกคนของมันให้ตายอย่างอนาถ
เขาต้องการให้คนทั้งหมดที่ช่วยเหลือตระกูลเถิงอย่างลับๆต้องถูกลงโทษ ต้องการให้ทั้งหมดจ่ายราคาที่ไม่อาจต่อรองได้
สิ่งสำคัญยิ่งก็คือเขาต้องการฉีกกระชากวิญญาณออกจากเถิงฮว่าหยวน ถลกหนัก ผ่าออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและคิดว่าจะทำให้มันตอบแทนด้วยการอดทนของหวังหลินมาสี่ร้อยปี
ฉิวซื่อผิงสะบัดแขนขวาและขวดเหล้าและถ้วยสองจอกปรากฎขึ้น เขารินทั้งสองถ้วยด้วยตัวเองจากนั้นนำหนึ่งถ้วยขึ้นมาจิบ พลันยิ้มและพูดขึ้น “สหายเซียน เหล่าคุณภาพสูงขวดนี้สร้างจากผลคานหยุนจากส่วนเหนือของทะเลปิศาจ เพียงหนึ่งจิบจะดื่มด่ำได้นานนัก ทำไมท่านไม่ลองมันดูเล่า?”
หวังหลินไม่ได้เร่งเร้าอีกฝ่ายให้ตอบคำถาม เขาหยิบถ้วยึ้นมาและตรวจสอบอย่างละเอียดราวกับมีบางสิ่งน่าสนใจเกี่ยวกับเหล้า
เหล้าคุณภาพสูงในถ้วยเป็นสีเขียวหยกผลึกใส สวยงามอย่างมาก
ฉิวซื่อผิงจิบเหล้าของตัวเองเป็นเวลานานและหลังเห็นหวังหลินดูเหมือนจะไม่สนใจของชิ้นนี้จึงยิ้มอย่างสุขุม “สหายเซียนหากเป็นคนอื่นที่ถามเรื่องนี้ ข้าไม่บอกแน่นอน แต่ท่านต่างกันออกไป ทั้งท่านและข้าต่างมีระดับขั้นแกนลมปราณระดับปลายและทั้งคู่ต่างฝันที่จะบรรลุระดับสูงยิ่งขึ้นไกลกว่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิด”
“สำหรับเรื่องวิญญาณเซียนที่ติดในกุยซี หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ของข้า!”
เช่นนั้นสายตาฉิวซื่อผิงจรดลงหวังหลิน
หวังหลินมองถ้วยเล็กน้อยก่อนจะวางมันลง เขาพูดอย่างอ่อนโยน “สังหารอาจารย์ของเจ้าหรือ? ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าเคยทำมันมาก่อนเช่นกัน”
ฉิวซื่อเผิงหัวเราะ “อย่าวางใจเรื่องนี้นะท่าน เขาไม่ได้มีความตั้งใจอันดีขณะที่รับข้าเป็นศิษย์เลย เขาและผู้อาวุโสของข้าต่างเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งคู่ เมื่อทั้งสองปิดประตูฝึกฝน ข้าได้ลอบทำลายพวกเขาไว้แล้ว เมื่อคิดเรื่องนี้มันพวกเขาได้อยู่ในภาวะกุยซีมาสามสิบปี จากการคำนวณของข้าทั้งสองคนเกือบจะถูกมารร้ายยึดครองไว้สมบูรณ์แล้วนั่นหมายถึงช่วงเวลาที่เพรียบร้อยที่สุดสำหรับการนำวิญญาณเซียนออกมา วิญญาณคนละหนึ่งดวงนั่นก็มีโอกาสให้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพิ่มขึ้นมหาศาล”
หวังหลินเลิกคิ้วขึ้น เขาขบคิดชั่วครู่จากนั้นพูดขึ้นช้าๆ “ข้าไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกับการรอบรู้กฎเกณฑ์โบราณ”
ฉิวซื่อเผิงเผยรอยยิ้มเกรี้ยวกราด เขาดื่มเหล้าที่เหลือจากนั้นพูดต่อ “สถานที่ที่อาจารย์ของข้าฝึกฝนอยู่คือถ้ำของเซียนโบราณคนหนึ่ง เขาเจอมันด้วยความบังเอิญและทำให้เป็นของตัวเอง”
“ข้าสามารถบ่อนทำลายพวกเขาได้ระหว่างการฝึกฝนเพราะข้าเตรียมการมาหลายปี ใช้เวลาหลายปีเพื่อเรียนรู้กฎเกณฑ์โบราณในถ้ำนั้น”
“แต่หลังจากถ้ำปิดไป การเปิดขึ้นมาอีกครั้งนับว่ามีปัญหามาก ข้าไม่คาดคิดว่าการกระตุ้นกฎเกณฑ์หนึ่งจากมารร้ายจะทำให้กฎเกณฑ์อื่นถูกกระตุ้นด้วย เรื่องนี้ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าไปในถ้ำตอนนี้”
หวังหลินขมวดคิ้วบางและเริ่มขบคิด
ฉิวซื่อผิงตบกระเป๋าและนำเศษหยกออกหลายชิ้นมาวางบนโต๊ะ “สิ่งนี้คือสัญลักษณ์กฎเกณฑ์บางส่วนที่ข้าสำเนาไว้จากถ้ำ ด้วยความรู้กฎเกณฑ์โบราณของท่าน ท่านควรจะบอกได้ว่ามันจริงหรือปลอม”
หลังได้ยินเช่นนั้นหวังหลินนำเศษหยกขึ้นมาและตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หลังผ่านไปชั่วขณะหนึ่งจึงวางมันลงและหยิบอีกชิ้นขึ้นมา เวลาผ่านไปจนเศษหยกทั้งหมดถูกตรวจสอบ สัญลักษณ์ภายในหินหยกคือกฎเกณฑ์ป้องกันแบบหนึ่ง มันควรจะใช้เป็นกฎเกณฑ์ป้องกันพื้นที่
ฉิวซื่อผิงสอบถาม “ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
หวังหลินขบคิดเป็นเวลานานและเชิดศีรษะขึ้น เขามองฉิวซื่อเผิง “เซียนวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสองคนมีระดับฝึกฝนอะไรบ้าง?”
ฉิวซื่อผิงตอบทันที “อาจารย์ของข้าอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น ส่วนผู้อาวุโสนั้นข้าเพียงสร้างเรื่องขึ้นมา หากสหายเซียนสามารถเปิดถ้ำขึ้นมาได้ เช่นนั้นวิญญาณเซียนของอาจารย์ข้าจะเป็นของท่าน”
หวังหลินขบคิดอยู่นานจากนั้นเอ่ยตอบ”ข้าไม่สามารถตัดสินเรื่องนี้ได้ทันที ข้าขอคิดก่อนแล้วค่อยให้คำตอบ”
ฉิวซื่อผิงไม่คิดมาก เขาพยักหน้าและพูดขึ้น “เป็นเรื่องเข้าใจได้ ข้าก็ต้องใช้เวลาหลายวันเพื่อเตรียมสมบัติวิเศษบางส่วน นับตั้งแต่ท่านและข้าเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรสหาย ข้าต้องขออภัยท่านอีกครั้งสำหรับเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดที่เกิดขึ้นครั้งก่อนนี้” จบคำเขายืนขึ้นก้าวถอยไปสองสามก้าวและคำนับต่อหวังหลิน
ใบหน้าหวังหลินปกติดังเดิมแต่เขาได้ระมัดระวังท่าทีไว้แล้ว การกระทำของฉิวซื่อผิงเผยออกมาว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป
แต่ด้วยนิสัยของหวังหลินตอนนี้ไม่มีทางที่เขาจะหลงกลการกระทำเช่นนั้นได้ เขายืนขึ้นคารวะด้วยสองมือและพูดออกมา “สหายเซียนสำหรับเรื่องนี้เราจะกลับมาที่นี่ในเจ็ดวัน ข้าขอตัวก่อน”
ฉิวซื่อผิงยิ้ม เขาพยักหน้าและคารวะด้วยเช่นกัน
ร่างหวังหลินกระโดดขึ้นเปลี่ยนเป็นสายรุ้งและหายไป
หลังจากหวังหลินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าฉิวซื่อผิงหายไป แววตาอันเยือกเย็นข้ามผ่านเข้ามา เขากระพริบไม่กี่ครั้งจากนั้นเคลื่อนไปทิศทางตรงข้ามกับหวังหลิน
แต่สิ่งที่เขาไม่สังเกตก็คืออสูรร่างโปร่งใสเห็นใบหน้าเขาชัดเจนและติดตามเขาไปอย่างเงียบๆ
ไม่นานหลังจากนั้นหวังหลินกลับเข้าเมืองฉีหลิน ด้วยการใช้เจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วจึงสามารถสังเกตการณ์ฉิวซื่อผิงอย่างใกล้ชิด หวังหลินไม่ใส่ใจว่าอาจารย์ของฉิวซื่อเผิงอยู่ในภาวะกุยซีหรือไม่ ตราบใดที่เขาสามารถยืนยันได้ว่ามีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนหนึ่งติดอยู่ในภาวะกุยซีในถ้ำเซียนโบราณ นั่นนับว่าเกินพอ
ส่วนการหน่วงเวลาไปเจ็ดวัน หวังหลินต้องการใช้ฉวี่ลี่กั๋วเพื่อตรวจสอบว่าเรื่องเซียนวิญญาณแรกกำเนิดติดอยู่ในกุยซีเป็นเรื่องจริง
หลังเข้าถ้ำในเมืองฉีหลิน หวังหลินนั่งขัดสมาธิลัง เขาสัมผัสกระเป๋าและอุปกรณ์สองอย่างปรากฎในฝ่ามือ
หนึ่งในนั้นคือกระเป๋าของหยุนเฟยและอีกชิ้นคือเตาปรุงยาลึกลับ
หวังหลินตรวจสอบกระเป๋าด้วยสัมผัสวิญญาณและพบว่ามันเต็มไปด้วยขยะจำนวนมาก เขาเมินเฉยมันหลังตรวจสอบไปได้หนึ่งครั้งและหยิบเอาหินหยกบางส่วนออกมา เขาตรวจสอบมันทีละชิ้น
หลังตรวจสอบไปชั่วขณะ ใบหน้าหวังหลินจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย หยกพวกนี้อธิบายถึงวิธีการปรุงยาและส่วนผสม รวมถึงความรู้ของผู้เชี่ยวชาญการปรุงยา
เมื่อหวังหลินนำเศษหินหยกสีขาวออกมาและพยายามตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ พลันตกตะลึง มันมีกฎเกณฑ์หนึ่งป้องกันผู้คนจากการตรวจสอบไว้บนตัวหยก
หวังหลินมีความสนใจเล็กน้อย เขาหยิบหินหยกขึ้นมาและมองมันด้วยดวงตาวิญญาณสวรรค์ซึ่งทำให้สามารถมองผ่านกฎเกณฑ์ได้ ดวงตาเริ่มเรืองแสงขึ้นทันทีและเปลี่ยนเป็นทรงรูปไข่ สัญลักษณ์กฎเกณฑ์ประหลาดหลายชิ้นวาดผ่านสายตา
หลังผ่านไปเวลานาน หวังหลินยกนิ้วขวาขึ้นและชี้บนอากาศหลายจุด ทันใดนั้นเส้นบางปรากฎขึ้นเชื่อมต่อแต่ละจุดสร้างเป็นรูปสามเหลี่ยมซ้อนกันสองรูป
ขณะที่ลวดลายปรากฎ เขายื่นมือออกมาคว้าและวางบนหินหยก
หินหยกเริ่มเปล่งแสงสว่างไสวทันที มันส่องสว่างขึ้นและสว่างขึ้นจนถึงจุดขีดสุดจากนั้นหมองลง หินหยกเปลี่ยนจากหยกสีขาวเป็นหยกสีดำ
หวังหลินตรวจสอบหินหยกอีกครั้ง เวลานี้เขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในได้ง่ายดาย หลังตรวจสอบชั่วครู่พลันยิ้มเยาะในใจ ดูเหมือนว่าหยุนเฟยสมควรแล้วที่จะตายจริงๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอพบเจอหวังหลินครั้งแรกได้พยายามแลกเปลี่ยนหินหยกการปรุงยาเพื่อชีวิตของตัวเอง
หลังหวังหลินมองผ่านหินหยกชิ้นนั้นเขาไม่คิดอะไรมากนัก แม้ว่าเม็ดยาไม่กี่เม็ดจะเป็นสิ่งล่อใจแต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หากเป็นก่อนที่เขาจะได้สืบทอดมรดกเช่นนั้นอาจจะพยายามสร้างขึ้นมาสักชิ้น แต่หลังได้รับสืบทอดมรดกแล้ว เพียงมีสมุนไพรที่ต้องการก็จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงได้และใช้มันตรงๆ
แต่ตอนนี้หลังที่เขามองเห็นหินหยกของจริงเขาสามารถบอกได้ว่าแม้วัตถุดิบสำหรับสูตรยาจะเหมือนกันแต่สัดส่วนแตกต่างกันเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้สามารถกำหนดชีวิตและความตายของคนผู้หนึ่งได้จากกินเม็ดยาเข้าไป
นอกเหนือจากนี้ภายในหินหยกของจริง นอกจากสูตรเม็ดยามันยังมีรายละเอียดเม็ดยาแต่ละชนิด ด้วยสิ่งนี้หวังหลินจึงเข้าใจความแตกต่างระหว่างการสร้างเม็ดยาและการกลืนกินวัตถุดิบตรงๆ
ความคิดก่อนหน้านี้ของเขาเป็นเรื่องผิดมหันต์ หากเขามีวัตถุดิบเบื้องหน้า มีความแตกต่างหนึ่งระหว่างการปรุงยาและการกินมันตรงๆ
นักปรุงยาจะใช้ผลลัพธ์ที่แตกต่างของวัตถุดิบมารวมกันเพื่อเกิดผลลัพธ์แตกต่างแบบใหม่
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หวังหลินจะไม่รู้เรื่องนี้เลย เทพโบราณยากนักที่จะสร้างเม็ดยาและแม้จะทำก็เพียงแค่คลุกเคล้าเข้าด้วยกันจบลงที่กลืนลงท้อง
และด้วยประสบการณ์ชีวิตก่อนหน้าทำให้แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการปรุงยาเลย มีเพียงลี่มู่หวานที่เคยพูดเกี่ยวกับการปรุงยาแต่หวังหลินกลับมุ่งเน้นไปที่การสร้างแกนพลัง ดังนั้นจึงไม่ได้ถามมากนัก
หวังหลินนำหินหยกเก็บไว้ราวกับสมบัติ เขาตัดสินใจว่าจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงยาให้ได้
เมื่อสูดหายใจลึกและมองไปที่เตาปรุงยา เขานำกระเป๋าตัวเองออกมาและพยายามเอาเข้าไปแต่พบว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถนำเตาปรุงยาใส่เข้าไปได้ เรื่องนี้จึงทำให้หวังหลินสนใจมาก
หลังมองดูมันเล็กน้อย หวังหลินไม่ได้ทำอะไรผลีผลามแต่ถือไว้ในฝ่ามือ เขาตบกระเป๋าและธงสีขาวปรากฎขึ้นและเริ่มหลอมมันขณะที่สายตาจับจ้องฉิวซื่อผิงผ่านปิศาจฉวี่ลี่กั๋ว
ตอนนี้ฉวี่ลี่กั๋วตื่นเต้นมาก มันรู้สึกได้ใจเจ้านายไปเต็มๆมากกว่าเจ้าหมายเลขสอง สิ่งนี้ทำให้มันภูมิใจาก
กล่าวได้ว่าลักษณะของเจ้าหมายเลขสองทำให้มันรู้สึกกังวลมาก ถึงแม้ว่ามันจะกลัวเจ้าหมายเลขสองดุร้ายเพียงไหน แต่เพราะมันเป็นตัวแรกที่ติดตามเจ้านายรู้สึกไม่สามารถทำไ้ด้ดีกว่าเจ้าหมายเลขสอง
ไม่เช่นนั้นเขาต้องกังวลเมื่อวันหนึ่งมีเจ้าหมายเลขสาม หมายเลขสี่ หมายเลขห้า…หมายเลขเก้าสิบเกิดขึ้นและเอาชนะมันได้ นั่นจะทำให้มันรู้สึกไร้ค่าจนหวังหลินต้องสังหารมัน
ฉวี่ลี่กั๋วลอบตัดสินใจด้วยตัวเองว่ามันจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น มันยังเป็นหมายเลขหนึ่ง ต้องรักษาตำแหน่งของตังเองด้วย ความคิดนี้ฉี่ลี่กั๋วจึงเชื่อฟังและทำงานหนักให้สำเร็จไม่ว่าหวังหลินต้องการให้มันทำอะไร
มันจึงค่อยกำจัดความขี้เกียจของตัวเองและทำงานหนักมากว่าเดิม มันจะไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารอีกต่อไป ตราบใดที่เป็นวิญญาณ มันจะรีบเข้าไปขโมยทันที
ในขณะเดียวกันหลังการจับวิญญาณแต่ละครั้ง ส่วนหนึ่งจะนำไปให้หวังหลินราวกับกำลังขูดเลื้อดขูดเนื้อตัวเองออกไป
แต่ทั้งหมดแล้วหากเปรียบเทียบกับก่อนหน้า มันเชื่อฟังมากกว่าเดิม
ตอนนี้มันติดตามด้านหลังฉิวซื่อเผิงอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าฉิวซื่อผิงจะเหาะเหินรวดเร็วแค่ไหน มันสามารถเกาะติดได้อย่างง่ายๆ ในขณะที่มันกำลังติดตามฉิวซื่อผิงนั้น มันยังลิ้มรสชาติคนชุดดำนั้นด้วย
คนชุดดำมีระดับขั้นแกนลมปราณระดับกลาง ทำให้มันใช้ความพยายามอย่างมากจนในที่สุดก็กินวิญญาณคนผู้นั้นได้ ขณะที่แกนพลังงาน ตั้งแต่ที่เจ้านายไม่ได้ถามมันจึงลอบกินอย่างเงียบๆ
มันจ้องฉิวซื่อผิงเบื้องหน้า ความคิดโลภๆผุดขึ้นมาในใจเล็กน้อย หากเพียงเจ้านายเอาชนะพนันเซียนคนนี้และให้รางวัลมัน นั่นนับว่าดีเลิศ
ในความเห็นของมัน คนผู้นี้นับว่ามีไหวพริบ เขาแทบไม่เคยเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงแต่คดเคี้ยวและหันไปหันกลับตลอดเพื่อตรวจด้านหลัง ดังนั้นมันไม่ยากที่ฉวี่ลี่กั๋วจะติดตามไป ฉวี่ลี่กั๋วคิดขึ้น “ไม่รู้ว่าการเหาะเหินสามารถมีได้หลายวิธีและเทคนิคเช่นนี้ ในอนาคตเมื่อข้าประมือกับเจ้าหมายเลขสอง ข้าจะลองใช้มันดู”
ขณะนั้นฉิวซื่อผิงค่อยๆช้าลงและร่อนลงบนพื้น เขามองไปรอบๆนอกจากหมอกตามธรรมดาที่มีอยู่ในทะเลปิศาจนับว่าไม่มีสิ่งใดรอบๆเลย
หลังฉิวซื่อผิงร่อนลง เขาเหยียดยิ้ม “สหายเซียน เจ้าซ่อนตัวมานานแล้วควรออกมาจะดีเสียกว่า!”
เจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วตกตะลึง ตอนนี้มันยืนเบื้องหลังฉิวซื่อผิงและคิดว่าเป็นเรื่องแย่นักที่ถูกพบเจอ
มันกำลังจะย้อนกลับไปแต่ก็ต้องหยุดเพราะฉิวซื่อเผิงหันกลับมาจ้องไปที่ทิศทางของมัน
ใบหน้าฉวี่ลี่กั๋วมีความดุร้าย หากมันต่อสู้กับฉิวซื่อผิงและกลืนกินแกนพลัง มันจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น หากเจ้าหนายถามมันก็เพียงแค่บอกว่าฉิวซื่อผิงโจมตีมันก่อนและมันจึงต้องกลืนกินฉิวซื่อผิง
มันกำลังจะเคลื่อนไหวแต่ก็ต้องหยุดอีกครั้งเพราะเสียงตะโกน “สหายเซียนหากเจ้าไม่เปิดเผยตัวเองตอนนี้ ข้าจะต้องเคลื่อนไหวเสียแล้ว”
เจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วมึนงงมากและคิดขึ้น ‘ข้าอยู่ที่นี่ไง ก่อนนี้เจ้าไม่เห็นข้ารึไง? ทำไมเจ้ายังบอกว่าข้าไม่เปิดเผยตัวเองอีก?’
มันมีใบหน้าโกรธและเคลื่อนไหวเข้าหาฉิวซื่อผิง เมื่อห่างไปน้อยกว่าสิบฟุตจึงคิดขึ้นว่า ‘โจมตี! จังหวะที่เจ้าโจมตี ข้าจะกลืนกินเจ้า แม้ข้าจะกลืนกินเจ้าไม่ได้ทั้งหมด ข้ากินได้ครึ่งหนึ่งของเจ้าก็ยังดี ดังนั้นเตรียมตัวไว้!’
ทว่าหลังฉิวซื่อผิงรอคอยชั่วครู่ เขาหันหน้าอีกครั้ง
เวลานี้การตอบโต้ของฉวี่ลี่กั๋วช้าลงทันทีเมื่อพบสิ่งผิดปกติและเป็นอีกครั้งที่มันเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้าฉิวซื่อผิง หลังมองอยู่ชั่วครู่จึงร้องขึ้นในใจ ‘เจ้าสารเลว เจ้าไม่ได้ข้าหาข้าเจอและยังกล้าหลอกอีก!’
ฉิวซื่อผิงรอคอยอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครรอบๆและไม่มีใครติดตามมา แต่มันยังคงกังวลดังนั้นจึงนั่งขัดสมาธิรอให้เวลาผ่านไป
ฉวี่ลี่กั๋วลอยด้านข้างอย่างโกรธแค้น มีความสงสัยว่ามันควรจะฝืนคำสั่งเจ้านายและต่อสู้กับคนผู้นี้หรือไม่
คนผู้นี้กล้าหาญเกินไป มันกล้าสร้างความวุ่นวายให้กับฉวี่ลี่กั๋วผู้สูงส่ง
แต่หลังจากผ่านไปเวลานาน ในที่สุดก็ระงับความโกรธลงได้ ตอนนี้เวลาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากมันทำอะไรผิดพลาด เจ้าหมายเลขสองจะเหนือกว่ามันแน่ จึงตัดสินใจรอคอยคนผู้นี้อย่างมั่นคง
เวลาผ่านไปสองคืนสองวัน ในสองวันนี้หวังหลินไม่ได้ออกจากถ้ำเลยแต่มุ่งสมาธิไปที่การหลอมธง เขาวางกฎเกณฑ์จำนวนมากลงบนนั้น ตอนนี้ธงสีขาวลอยเบื้องหน้าเขาพร้อมกับลายสีดำเป็นจุด
ชำเลืองมองหนึ่งคราจะเห็นจุดสีดำนับสองถึงสามร้อยจุด
บนธงมีกลุ่มของจุดเก้าจุด ไม่มีกลุ่มไหนซ้ำกับกลุ่มอื่น สำหรับธงแห่งกฎเกณฑ์นี้นอกจากวัตถุดิบบางส่วนที่รวบรวมมาได้ยากแล้ว กระบวนการสร้างมันไม่ได้ยากเกินไป
เซียนคนไหนที่สามารถใช้กฎเกณฑ์ก็สามารถสร้างขึ้นมาได้สักหนึ่งชิ้น
แต่ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นมหาศาล หากเซียนธรรมดาสร้างธงผืนนี้ กฎเกณฑ์ที่วางไว้จะอ่อนแรง แม้จะสร้างธงได้สำรเ็จแต่นับว่าไม่มีพลังแข็งแกร่ง
นอกจากนี้การสร้างธงแห่งกฎเกณฑ์เป็นเหมือนกฎเกณฑ์ด้วยตัวมันเอง มันขึ้นอยู่กับกระบวนการความคิดของคนที่วางมันลงไป หากผู้สร้างสามารถวางกฎเกณฑ์โจมตีติดต่อกัน 999,999 โดยไม่มีกฎเกณฑ์ไหนเหมือนกันเลย ธงผืนนั้นจะมีพลังโจมตีที่ไม่อาจจินตนาการได้
ตรงข้ามกัน หากวางกฎเกณฑ์ป้องกัน 999,999 ต่อเนื่องกันก็จะมีพลังป้องกันที่ไร้เทียมทาน
หากเป้าหมายคือขังศัตรูไว้ การวางกฎเกณฑ์ 999,999 ไว้นับได้ว่าความสามารถการกักขังเรียกได้ว่าน่ากลัว
โดยพื้นฐานแล้วพลังของธงกฎเกณฑ์ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้สร้างต้องการ ฟังดูง่ายในทฤษฎีแต่สภาวะแบบนั้นนับว่ายากมาก
ตัวอย่างก็คือด้วยกฎเกณฑ์ 999 กฎสำหรับระดับแรก กฎเกณ์ชนิดเดียวกันสร้างได้ถึง 9 ครั้งต่อกลุ่มนั่นหมายถึงต้องการกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน 111 กฎเกณฑ์
หากต้องการถนนสายเดียว การวางกฎเกณฑ์สายโจมตี 111 ชนิดแตกต่างกันบนตัวธงนั่นนับว่าเป็นเรื่องยากมาก ต้องมีความรู้กฎเกณฑ์อย่างลึกซึ้งถึงนับว่าเป็นไปได้
แต่สำหรับระดับสองซึ่งต้องการกฎเกณฑ์ถึง 9,999 แบบเล่า? นั่นหมายถึงกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน 1,111กลุ่มสำหรับสายเดียวกันนั่นหมายถึงความยากสูงกว่าสิบเท่า
ไม่ต้องพูดถึงระดับสามที่ต้องการกฎเกณฑ์ 99,999 กฎเกณฑ์ซึ่งมีความยากสูงกว่าระดับแรกหนึ่งร้อยเท่า เป็นเพราะไม่มีใครมากนักที่มีความรู้ด้านกฎเกณฑ์ชนิดเดียวได้
ส่วนระดับสุดท้ายที่ต้องการกฎเกณฑ์999,999 ชนิด ความยากมีมากกว่าพันเท่า เกือบล้านกฎเกณฑ์บนธงจะกลายเป็นสิ่งของในตำนานและภายในความทรงจำของหวังหลิน มันมีอยู่จริงทว่าไม่เคยเห็นธงกฎเกณฑ์ระดับสุดท้ายที่มีเพียงกฎเกณฑ์โจมตีหรือป้องกันเพียงแบบเดียว
ธงกฎเกณฑ์ที่โจมตีหรือป้องกันเพียงชนิดเดียวส่วนใหญ่มาถึงเพียงระดับสาม แต่พลังของมันเชื่อได้ว่าเท่าเทียมกับกฎเกณฑ์ 999,999 ชนิด และในบางมุมอาจเหนือกว่า
ดังนั้นกล่าวได้ว่ากระบวนการสร้างธงกฎเกณฑ์เป็นเรื่องง่าย แต่หากต้องการสร้างธงกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังนับว่าเป็นเรื่องยากมาก
ธงกฎเกณฑ์ที่หวังหลินกำลังสร้างไม่ใช่ธงสายเดียว มันรวมการโจมตี ป้องกัน ระวังภัย ค้นหา กับดักและกฎเกณฑ์อื่นๆ
นี่เป็นหนทางเดียวสำหรับเขาที่จะสร้างธงกฎเกณฑ์ให้เร็วที่สุด หวังหลินรู้ว่าภายในทะเลปิศาจเขาอาจจะเจอภัยพิบัติเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นจึงต้องสร้างมันให้รวดเร็วเพื่อทดสอบพลังของธง เมื่อตัดสินใจได้ถึงจะใช้เวลาสร้างธงกฎเกณฑ์ชนิดเดียว
นอกจากนั้นเขามีหินหมึกสามก้อนดังนั้นสามารถสร้างธงกฎเกณฑ์ได้ทั้งหมดสามผืน
หวังหลินเพ่งสมาธิ ฝ่ามือเคลื่อนไหวสร้างกฎเกณฑ์เพิ่มอีกหนึ่ง ขณะเดียวกันเขาเชื่อมต่อกับฉวี่ลี่กั๋วและตรวจสอบว่าฉิวซื่อผิงไปถึงไหน
ฉิวซื่อผิงนั่งอยู่ตรงนั้นมาสองวันแล้วจึงค่อยหายไปจากตำแหน่งนั้น ฉวี่ลี่กั๋วตื่นตะหนักและรีบมุดลงพื้นอย่างรวดเร็ว หลังลงพื้นดินมาลึกมากจึงเห็นร่างฉิวซื่อผิง
มีถ้ำแห่งหนึ่งฝังอยู่ใต้ดินในพื้นที่แห้งแล้งแห่งนั้น แม้ว่าถ้จะไม่ได้ใหญ่แต่มันซ่อนได้ดีเยี่ยม ฉวี่ลี่กั๋วสามารถเข้าถ้ำได้ง่ายๆ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ถูกมันกระตุ้น
หลังเข้ามาในถ้ำ มันเห็นฉิวซื่อผิงกำลังพลิกคัมภีร์ ห้องในปัจจุบันเป็นเหมือนทะเลคัมภีร์ มีคัมภีร์รวมกองกันอยู่หนาแน่นทุกที่ ส่วนใหญ่เป็นของโบราณและไม่ได้อยู่ในหินหยกแต่สลักในไม้ไผ่
ฉิวซื่อผิงอ่านแต่ละเล่มอย่างละเอียดและจึงค่อยเก็บกลับไป ทันใดนั้นใบหน้าสว่างขึ้นและเขารีบนำคัมภีร์ที่ทำจากไม้ไผ่ไว้ด้านข้างและเปิดขึ้นบนโต๊ะ จากนั้นตรวจสอบอย่างละเอียด
ฉวี่ลี่กั๋วกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพลันมีแสงอ่อนโยนออกจากห้อง มันป้องกันผู้ที่อยู่ข้างนอกไม่ให้เข้าไป ขณะที่แสงกระพริบ ฉิวซื่อผิงมองขึ้นมาทันที มันตรวจสอบพื้นที่รอบๆด้วยสัมผัสวิญญาณแต่กลับไม่พบอะไร ทว่ามันยังมองรอบๆเสมอเพื่อค้นหาบางอย่าง
หลังผ่านไปเวลานานมันก้มศีรษะลงและตรวจสอบไม้ไผ่ แต่ฝ่ามือขวาสร้างผนึกขึ้นมาหนึ่งอย่างเตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
เมื่อแสงอ่อนโยนป้องกันฉวี่ลี่กั๋วไว้ มันจึงไม่สามารถเข้าไปมองใกล้ๆได้ มันพยายามอย่างหนักแต่เห็นได้เพียงคำเล็กๆ ‘กฎเกณฑ์โบราณ’ บนไม้ไผ่
ผ่านไปสามชั่วโมง ฉิวซื่อผิงขมวดคิ้ว เขาปิดไม้ไผ่ด้วยใบหน้ามีคำถาม หลังวางไม้ไผ่ลงเขาค้นหาอยู่นานและมองไปที่เศษหยกสีเทาสองชิ้นจากนั้นนำออกไปอีกห้องหนึ่ง
ในห้องหินถัดจากประตูไป เขานั่งขัดสมาธิและวางหินหยกสีเทาบนหน้าผากและเริ่มฝึกฝน
วันเวลาผ่านไปจนถึงวันนัดหมายเจ็ดวัน ในยามบ่ายฉิวซื่อผิงลืมตาขึ้นทันใดและวางหินหยกใส่กระเป๋า เขาผนึกฝ่ามือขึ้นและลำแสงพุ่งออกมาลงบนผนัง ทันใดนั้นทั้งผนังมีรอยแตกและเปิดขึ้นทันที เผยเป็นโต๊ะกลมโต๊ะหนึ่ง
บนโต๊ะมีร่างสามร่าง ร่างตรงกลางผมสีขาวดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธสัมผัสได้ถึงอำนาจทรงพลัง
แต่ละคนด้านข้างเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ใบหน้าบุรุษบูดบึ้งและดวงตาเย็นชา ใบหน้าดูอายุราวยี่สิบปี ส่วนสตรีมีใบหน้าสวยสดงดงามและร่างกายนิ่มนวล ดวงตามีรอยเศร้า ทำให้ภาพลักษณ์ดูสดใส
ฉิวซื่อผิงมองทั้งสามร่างเงียบๆ เมื่อดวงตาตกลงบนสตรี สายตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน เต่เมื่อมองบนชายชรา ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดแค้น
“ท่านผู้การ ท่านอาสุโส ในที่สุดข้าก็พบคนที่รู้วิธีใช้กฎเกณฑ์โบราณ พวกท่านไม่เคยคิดว่าข้าจะสามารถเข้าสถานที่แห่งนั้นเพื่อเจอท่านได้อีกครั้ง เวลานี้สมบัตินั้นจะเป็นของข้า!
ทันใดนั้นฉิวซื่อผิงหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาแฝงความเศร้าโศกจากนั้นยื่นมือไปเชยชมใบหน้าสตรีผู้นั้นและพึมพำ “ข้าจะนำเจ้ากลับมามีชีวิตอีกครั้งแม้ราคาคือทั้งทะเลปิศาจ!”
เขาสูดหายใจลึกและถอนมือขวาออกมา จากนั้นส่งลำแสงออกไปและประตูปิดลงอีกครั้ง
หวังหลินนั่งขัดสมาธิในถ้ำ เขาเห็นทุกอย่างผ่านฉวี่ลี่กั๋วจึงขบคิดชั่วครู่และตัดสินใจ
ตกกลางคืนของวันที่สอง หวังหลินวางกฎเกณฑ์สุดท้ายลงบนธง ทันใดนั้นธงผืนเล็กเคลื่อนไหวและจุดสีดำที่ปกคลุมเริ่มขยายออก ตัวธงเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำอย่างสมบูรณ์
บรรยากาศอันโบราณถูกปลดปล่อยออกมาจากธง กฎเกณฑ์กระพริบทีละแห่งบนนั้นสร้างเป็นสัญลักษณ์สีทองอันลึกลับ สัญลักษณ์หมุนรอบๆเสาธงและค่อยๆขึ้นไป ในไม่ช้าธงทั้งผืนได้ถูกปกคลุมในสัญลักษณ์สีทอง
ถึงจุดนี้ยังมีสัญลักษณ์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ปรากฎบนผืนธง พวกมันสร้างเป็นเส้นหนึ่งห่อหุ้มรอบๆ
ในขณะเดียวกันพื้นที่ดวงดาวเหนือก้อนเฆหนาของเมืองฉีหลินไปนับหมื่นลี้ ในเหล่าหมู่ดาว ก้อนเมฆสีแดงก้อนหนึ่งเริ่มรวมตัวและบวมเป่ง มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นจนมีเส้นผ่าศูนย์กลางนับร้อยลี้
ภายในก้อนเมฆสีแดง มีก๊าซส่วนหนึ่งเริ่มเป็นตกลงมา ขณะที่ก๊าซสัมผัสกับก้อนเมฆหนาซึ่งอยู่เหนือทะเลปิศาจ มันเริ่มส่งเสียงแฉ่และละลายราวกับเป็นเตาร้อนที่สัมผัสกับหิมะ
ขณะนี้ พื้นที่ส่วนลึกด้านทิศตะวันออกของทะเลปิศาจ มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากภูเขากะโหลก คนผู้นี้มีกลิ่นอายแห่งความตายและไม่อาจเห็นร่างได้ชัดเจน
เขาเงยศีรษะขึ้นและมองไปที่ก้อนเมฆหนาราวกับสามารถมองผ่านมันไปได้และเห็นก้อนเมฆสีแดงด้านบน จากนั้นพึมพำ “บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์? เป็นไปไม่ได้ นับตั้งแต่ที่โลกเซียนโบราณถูกทำลายไปโดยภัยพิบัติ จะไม่มีบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เซียนทั้งหมดในปัจจุบันหลอกลวงสวรรค์เพื่อบ่มเพาะฝึกฝน แบบนั้นมันจะนำพาให้เกิดบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? หรือจะมีเซียนโบราณที่ไม่ได้ตาย? หากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเขาจะเป็นกำลังเสริมคุณภาพสูงแน่!” หลังพูดจบร่างกายพลันเคลื่อนไหวไปยังตำแหน่งที่ก้อนเมฆสีแดงถูกสร้างขึ้น
ในทิศตะวันออกของทะเลปิศาจเป็นแอ่งน้ำ ภายในแอ่งนี้แห่งนี้คือน้ำทะเล ทันใดนั้นน้ำทะเลเริ่มเคลื่อนไหวรุนแรง ชายสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าปรากฎขึ้นจากภายในน้ำทำให้เกิดคลื่นกวนหลายแห่ง เขาค่อยๆลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำพลันจดจ้องบนท้องฟ้าและเผยเป็นใบหน้าตื่นตกใจ “บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์?นานแค่ไหนแล้วที่จะมีเรื่องตื่นเต้นเช่นนี้ในทะเลปิศาจ? บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์จะล่ออสูรเก่าแก่ที่ซ่อนตัวทั้งหมดออกมา” เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ร่างกายลอยเหนือผิวน้ำและสะบัดแขนจนน้ำในแอ่งน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ
ฉากเหตุการณ์นี้น่าจะทำให้ทุกคนตกใจ ชายคนนี้ละลายกลับเข้าไปในน้ำ เขาขยับฝ่ามือและน้ำเคลื่อนไหวเข้าหาก้อนเมฆราวกับกำลังควบม้า
เปรียบเทียบความเร็วกับการเคลื่อนไหวพริบตาของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด มันมีความเร็วมากกว่าหลายเท่าและแอ่งน้ำรวดเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนมันหายไปในที่สุด
จุดหนึ่งทางทิศใต้ของทะเลปิศาจ ภายในศาลาหลอมสมบัติชั้นสามตั้งอยู่ในเมืองธรรมดาแห่งหนึ่ง ชายชราผมขาวเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นกำลังถือกระดูกอสูรตัวหนึ่งกำลังโม้โอ้อวดกับเซียนที่กำลังสร้างพื้นฐานลมปราณ
“น้องชาย สิ่งนี้ความจริงคือสมบัติชิ้นหนึ่ง ข้าบอกท่านว่ามันเปลี่ยนมือมา 74 ครั้งดังนั้นฟังให้ดี…”
เซียนซึ่งกำลังสร้างพื้นฐานลมปรานผู้นั้นใบหน้าซีด หากไม่ใช่เป็นการแหกกฎของศาลาหลอมสมบัติเขาคงพ่นน้ำลายใส่ชายชราคนนี้ไปแล้วที่กวนเขาตั้งแต่ชั้นแรกมาจนถึงชั้นสาม จากมุมมองเขา ชายชราผู้นี้เป็นเพียงขั้นรวบรวมลมปราณระดับแปดเท่านั้น
สิ่งที่เขาไม่สามารถทนยืนต่อไปได้ก็คือเมื่อชายชราพูดคุยออกมา น้ำลายของมันจะพ่นออกมาใส่ใบหน้าเขาซึ่งจะยิ่งทำให้อยากจะนำสมบัติวิเศษของตนเองออกมาโจมตีซะ
ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธของตัวเองได้อีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อและออกจากศาลาหลอมสมบัติอย่างรวดเร็ว แต่ชายชราผู้นั้นยังคงก่อกวนเขา เนื่องจากผู้คนหลายคนกำลังมองอยู่ เซียนที่กำลังสร้างพื้นฐานลมปราณได้โยนหินวิญญาณระดับต่ำก้อนหนึ่งลงบนพื้นราวกับให้อาหารสัตว์และนำกระดูกอสูรไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา
เขาได้ตั้งใจไว้แล้วว่าจะออกไปสอนบทเรียนชายชราคืนนี้
ชายชราผมขาวหยิบหินวิญญาณระดับต่ำขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาปัดสิ่งสกปรกออกและวางมันในกระเป๋า ขณะที่นั้นเองใบหน้าพลันเปลี่ยนไปเมื่อหันมามองก้อนเมฆ