Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2068

Cover Renegade Immortal 1

2068. ความสุขและความรับผิดชอบ

ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นขุนเขาสูงส่ง มีเทือกเขาอยู่แห่ง หนึ่งห่างจากถนนสายหลักไม่ไกลมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ราวกับสรวงสวรรค์

ในหมู่บ้านมีคนไม่มากนักเพียงหลักร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นนายพรานและพึ่งพาแต่ป่าทึบที่มีพวกสัตว์เพื่อการดำรงชีวิต ซึ่งเดิมทีที่แห่งนี้ไม่ใช่หมู่บ้าน มันเป็นพื้นที่รกร้างที่มีเหล่าพรานอาศัยอยู่

ในอดีตไม่รู้ว่านานแค่ไหนมีครอบครัวหนึ่งจากในเมืองมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เมื่อเวลาผ่านไปจึงก่อเกิดเป็นหมู่บ้านขึ้นมา

ด้านปลายสุดเขตทิศตะวันตกของหมู่บ้านมีบ้านหลังหนึ่งล้อมรอบด้วยรั้วกั้น เด็กสาวคนหนึ่งสวมผ้าไหมกำลังให้อาหารไก่

ควันลอยโขมงออกมาจากปล่องไฟ ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่และเห็นได้ชัดว่ากำลังเตรียมอาหารเช้าให้กับคนในบ้าน

ขณะที่เด็กสาวให้อาหาร นางก็หัวเราะและหันหน้าไปทางบ้าน “ท่านแม่ เมื่อคืนข้าฝันว่าข้ากลายเป็นเซียนอีกแล้ว”

“เจ้าก็โตแล้วยังฝันอะไรเรื่องการเป็นเซียนอยู่อีก ตอนแม่อายุเท่าลูก แม่แต่งงานกับพ่อไปแล้ว” น้ำเสียงอ่อนโยนดังออกมาจากในตัวบ้าน

“นั่นเป็นเพราะพ่อเป็นพรานที่เก่งกาจที่สุดในหมู่บ้านไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินว่ามีคนตั้งเยอะที่ต้องการควงแขนพ่อในตอนนั้น” เด็กสาวยิ้มแย้ม นางน่ารักยิ่ง รูปร่างหน้าตาไม่เพียงแต่งดงามแต่ยังมีบรรยากาศบริสุทธิ์และน่าเอ็นดู

“เจ้าได้ยินมาจากไหน?” หญิงสาวคนหนึ่งก้าวเดินออกมา นางสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่ไม่อาจซ่อนความงามของนางไปได้ นางถือหม้อใส่ผัก ดวงตาเบิกกว้างและแกล้งทำเป็นโกรธ

เด็กสาวกำลังจะพูดขึ้นมาแต่ได้ยินเสียงหัวเราะร่าดังออกมาจากประตูบ้าน

“ข้าเองที่เป็นคนพูด” ประตูถูกผลักเปิดออกและมีชายวัยกลางคนก้าวเดินเข้ามา เขาถือคันธนูและลูกศร มาพร้อมกับร่างของสัตว์ตัวน้อย อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนมีคราบโลหิตแห้งอยู่บนขา ไม่รู้ว่าเป็นของสัตว์ตัวน้อยหรือของเขา

“พ่อ!” นางประหลาดใจและรีบวิ่งเข้าหาทันที

“ว้าว นั่นมันเสือดาว หนังของมันสวยมาก” แววตาเด็กสาวเป็นประกายและกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข

“ทำไมครั้งนี้เจ้าไปนาน? ปกติแล้วจะกลับมาไม่สองก็สามวัน” หญิงสาวรีบก้าวเดินเข้ามาช่วยชายวัยกลางคนเพื่อวางสัตว์และอาวุธประจำกาย

“ก็ลูกบอกว่าต้องการแผ่นหนังดีดีบ้าง ระหว่างทางไปเจอเสือดาวตัวนี้จึงทำให้ล่าช้านิดหน่อย” เขาพูดพลางลูบศีรษะเด็กสาวไป

“เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้า?” นางเห็นโลหิตอยู่บนขาจึงรีบคุกเข่าลงไปมองและเห็นเป็นแผลข่วนตื้นๆ

“ไม่เป็นไร มีเจ้าขาวน้อยอยู่ด้วย สัตว์ในภูเขาทำอันตรายข้าไม่ได้หรอก” ชายวัยกลางคนหัวเราะพลางมีเงาหนึ่งกระโจนผ่านประตูเข้ามาหาเด็กสาว มันแลบลิ้นเลียนางไม่หยุด เจ้านี่คือสุนัขสีดำตัวใหญ่

อย่างไรก็ตามมันดูเหมือนเสือมากกว่า จึงดูเป็นภาพที่น่าตกตะลึง

“เจ้าขาวน้อยไปศึกษาวิธีคำรามเหมือนเสือในภูเขาอีกครั้ง ข้าล่ะสับสนจริงๆ ว่ามันเป็นหมาหรือเสือ…” ชายวัยกลางคนมองดูเจ้าสุนัขและยิ้มอย่างขมขื่น

“เจ้าขาวน้อยทำตัวดีมาก เก่งมาก” สาวน้อยผลักสุนัขสีดำตัวใหญ่ออกไปและลูบผมมันเล่น

เจ้าสุนัขดูเหมือนมีความสุขยิ่ง มันนอนแผ่หลาหงายท้อง สาวน้อยหัวเราะและลูบท้องสุนัขอย่างเมามัน เจ้าสุนัขดูสบายยิ่งและส่งเสียงร้องเหมือนเสือจริงๆ

ทั้งครอบครัวกำลังหัวเราะและไม่รู้ว่ามีร่างชุดขาวผู้หนึ่งกำลังลอยอยู่ในท้องฟ้า หวังหลินมองลงมายังครอบครัวที่มีความสุข พอได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหญิงสาว หวังหลินก็ยิ้มออกมาเช่นกัน

“เจ้าขาวน้อย…ข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามันถูกพามาที่นี่ด้วยและเกิดใหม่ไปด้วย ข้าก็ไม่คิดว่า…มันจะเกิดมาเป็นหมา…จากที่ดูแล้วมันมีสติปัญญาและบ่มเพาะได้ดี” หวังหลินยิ้มไปที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนพื้นอย่างมีความสุข ทว่าเมื่อมันมองมาบนท้องฟ้าและเห็นร่างหวังหลินจึงเกิดความตกตะลึง

ท่าทีของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันที เจ้าสุนัขกะพริบตาและถึงกับหยุดส่งเสียงร้อง

หวังหลินมองมัน พอเขาเห็นแววตาหวาดกลัวจึงยิ้มกว้าง “โอ้? เจ้าจำข้าได้?”

อย่างไรก็ตามเหล่าคนในครอบครัวด้านล่างไม่สังเกตเห็นถึงท่าทีแปลกประหลาดของเจ้าสุนัข สาวน้อยยังคงมองพ่อตัวเองและพูดออกมา

“ท่านพ่อ เมื่อคืนข้าฝันว่าเป็นเซียนอีกแล้ว”

“ดี การเป็นเซียนถือเป็นเรื่องดี ลูกสาวข้าจะกลายเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนหัวเราะ

“ข้าไม่อยากกลายเป็นเซียน ข้ารู้สึกเหมือนกลายเป็นเซียนไปทั้งชีวิตแต่ก็ไม่มีความสุขเลย ตอนนี้ดีมากแล้ว มันเป็นแค่ฝัน ข้าไม่อยากกลายเป็นเซียนเสียหน่อย”

“ข้าจะอยู่กับท่านพ่อและท่านแม่ไปตลอดชีวิต” คำพูดของนางเคร่งขรึมยิ่ง

คำพูดของนางทำให้หวังหลินตกตะลึงและเผยท่าทีอันซับซ้อน หวังหลินมองรอยยิ้มที่มีความสุขของเด็กสาวและจากนั้นมองหมู่บ้านใกล้ภูเขาอันเงียบสงบ ผ่านไปสักพักหวังหลินมองอีกด้วยสายตาอับลึกซึ้งก่อนจะเลือนหายไปในท้องฟ้า

‘บางทีนี่คือชีวิตที่นางต้องการ…’

คืนนั้นนางฝันอีกครั้ง ในความฝันนางมีอีกชื่อว่า โจวลี่ นางยังมีพยัคฆ์สีดำที่นางตั้งเองว่าขาวน้อย นางมักจะกลั่นแกล้งมันเสมอและทำให้กลายเป็นพาหนะ…

นางมีลุงคนหนึ่งเช่นกันและลุงคนนั้นก็เป็นญาติที่นางใกล้ชิดที่สุด

ในความฝันนั้นลุงของนางถามนางว่าอยากไปด้วยกันไหม นางขบคิดอยู่นางและบอกลุงว่านางต้องการอยู่ที่นี่…

คืนนั้นเจ้าสุนัขเองก็ฝันว่าตัวมันเองกลายเป็นพยัคฆ์ที่ดุร้ายยิ่ง สามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ มันล้อมรอบไปด้วยพยัคฆ์สาวหลายตัวและสัตว์ตัวเมียอีกหลายชนิด…มันมีความสุขยิ่ง

มันยังฝันว่ามีชายชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัวตรงหน้า มันรู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีเพราะเป็นคนที่จับมันมาเมื่อตอนนั้น ชายคนนี้ให้เม็ดยาชั้นเลิศและจากนั้นลูบศีรษะมันก่อนจะจากไป

“วันหนึ่งเมื่อโจวลี่ต้องการไล่ตามความฝันของตัวเอง เจ้าสามารถปลดปล่อยความทรงจำของนางได้…” ชายผู้นั้นจากไปและทิ้งคำพูดดังกึกก้องในใจเจ้าสุนัขอยู่พักใหญ่

ณ แคว้นกลางแห่งเผ่าเทพ เมืองหลวงกว้างใหญ่ไพศาลจนมองเห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏในท้องฟ้า ตอนนี้ในวังหลวงเป็นเวลากลางคืนแต่ไม่ได้มืดเพราะมีแสงส่องสว่างหลายดวง

ทั่วทั้งวังเงียบสนิท

ร่างโดดเดี่ยวผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากความมืดและมองดูวังที่อยู่ด้านล่าง เขายืนอยู่ตรงนั้นอีกนานก่อนจะลอยลงไป แสงจากในวังเกิดความสลัวราวกับมีมิติอีกแห่งกำลังทับซ้อนกัน

จนกระทั่งคนผู้นั้นก้าวเข้าไปข้างใน แสงที่ส่องกระทบจึงกลับคืนสู่ปกติ

หวังหลินมองไปรอบๆ ตอนนั้นเขาเกือบตายอยู่ที่นี่และไม่สามารถจากไปพร้อมกับเหลียนต้าวเฟยได้ เขาทำได้แค่มองเหลียนต้าวเฟยเข้าไปนอนหลับและกลายเป็นภูเขาเพื่อสะกด 72 แคว้น

“ตอนที่ข้าจากไป ข้าสาบานว่าเมื่อข้ากลับมาอีกครั้ง ข้าจะมาปลุกเจ้า! ไม่มีใครจะหยุดข้าได้อีกแล้ว!” หวังหลินพึมพำพลางกระทืบไปบนพื้น

เพียงเท่านี้ทั่วพื้นวังเกิดการสั่นเทาโดยไม่มีใครสังเกต สิ่งที่สั่นไหวไม่ใช่วังของจริงแต่เป็นมิติที่ทับซ้อน

รอบด้านหวังหลินเกิดการพร่าเลือน ร่างเขากะพริบวูบวาบก่อนจะหายไป หวังหลินปรากฏตัวอีกครั้งอยู่ในวังใต้ดิน!

ทั่ววังใต้ดินเต็มไปด้วยหมอกควันและเหมือนกับคราวก่อน ความแตกต่างเดียวคือมีภูเขาเหลืออยู่หนึ่งลูก

ภูเขาสูงเสียดแทงทะลุฟ้าและมีขนาดใหญ่มาก หวังหลินรู้สึกว่าเหลียนต้าวเฟยกำลังหลับใหลอยู่ข้างใน

ข้างในและข้างนอกภูเขามีผนึกและเขตอาคมอยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่มหาชั้นฟ้ายังต้องใช้เวลาอยู่สักพักใหญ่ในการทำลาย

หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาสะบัดใส่ภูเขา ภูเขาเกิดการสั่นเทาและพังทลายภายใต้ความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก้อนหินจำนวนมากร่วงหล่นลงมาและเพียงพริบตา เขตอาคมและผนึกทั้งหมดก็หายไปเพียงแค่หวังหลินสะบัดแขน

เมื่อภูเขาพังทลาย ร่างของเหลียนต้าวเฟยจึงปรากฏขึ้น เขาหลับใหลและลอยอย่างเงียบๆ ตรงนั้น ระดับบ่มเพาะขั้นมหาชั้นฟ้าผันผวนออกมาจากร่างกาย

หวังหลินก้าวเดินเข้าไปและมาถึงข้างเหลียนต้าวเฟย เขามองและชี้ไปที่หน้าผากเหลียนต้าวเฟย เพียงเท่านั้นร่างกายอีกฝ่ายก็สั่นเทาทันที

หวังหลินหลับตาและแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณผ่านดัชนี ส่งเข้าไปในร่างของเหลียนต้าวเฟยเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้น

พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งชั่วโมง หวังหลินลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทีอับซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกและเอ่ยขึ้น

“หากเจ้าเลือกแบบนี้จริงๆ ข้าก็เคารพสิ่งที่เจ้าเลือก…เจ้า…ดูแลตัวเองด้วย” หวังหลินยืนขึ้นพร้อมกับถอนหายใจและก้าวเดินสู่ท้องฟ้า เลือนหายไปจากวังใต้ดิน

หลังจากหวังหลินจากไป เหลียนต้าวเฟยลืมตาขึ้นมามองจุดที่หวังหลินเคยยืน

“ข้าสับสนมาทั้งชีวิต…ข้าบ้าคลั่งมาทั้งชีวิต…แต่ข้ายังเป็นลูกหลานของบรรพชนเทพ…ตอนนี้เหลียนต้าวเจินก็ตายไปแล้ว หากข้าจากไป เผ่าเทพจะ…ไม่มีจักรพรรดิ”

“ข้าไม่ต้องการออกไปจากที่นี่และทิ้งแผ่นดินเซียนดารา ในเมื่อข้าได้สืบทอดพลังบรรพชนเทพ ข้าก็ต้องแบกรับมัน…นี่คือความรับผิดชอบของข้า”

“ข้าเกิดความเข้าใจระหว่างที่ข้าหลับใหล” เหลียนต้าวเฟยยืนขึ้น เผยความมุ่งมั่นอันหาได้ยากพร้อมกับพึมพำกับตัวเอง

“คุ้มครองเผ่าเทพเพื่อให้ชนรุ่นหลังสืบทอดต่อไป เมื่อข้ารู้สึกว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว ข้าจะออกไปตามหาท่าน …หวังหลิน” เหลียนต้าวเฟยยืนขึ้น เขาสวมชุดคลุมสูงศักดิ์และสวมมงกุฎ ในตอนนี้ไม่มีความบ้าเหมือนในอดีตอีกแล้ว แต่เปล่งกลิ่นอายอำนาจที่เหมาะสมต่อการเป็นจักรพรรดิเทพ

…………………………………………………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!