207. สังหารเพื่อแกนพลัง!
ชายชราผมขาวดวงตาสีหมอกเริ่มส่องแสงและหลังค่อมเล็กๆเริ่มยืนตรงขึ้น ทั้งร่างดูราวกับมีชีวิตชีวา
ทันใดนั้นเซียนทั้งหมดในเมืองสูญเสียการควบคุมพลังปราณในร่างกายราวกับประสบการณ์ทั้งหมดถูกดึงออกจากร่าง ความกลัวนี้ปลูกฝังในใจทุกคน
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นและหายไปเร็วมาก ร่างชายชราผมขาวพลันเคลื่อนไหวทันทีและหายไปโดยไร้ร่องรอย
ขณะเดียวกันในสายหมอกในทะเลปิศาจ เสียงคำรามอันมโหฬารเล็ดรอดออกมาราวกับอสูรยาวพันฟุตออกมาจากสายหมอก
มันมีหัวยักษ์ที่สร้างแรงกดดันมหาศาล หลังชำเลืองมองสิ่งเบื้องล่าง มันอ้าปากและสูดพลังปราณในรัศมีร้อยลี้ทันที หลังจากมันเรอจึงนั่งลงและจากไป
บนหลังของมันมีชายชราผมขาวยืนอยู่ เขาตะโกนขึ้น “สารเลว! ข้าบอกให้เจ้าจับข้าไว้และเจ้าดันกินพลังปราณไปมากขนาดนั้น เจ้าไม่กลัวถูกยัดไส้จนตายใช่ไหม? ถ้าเจ้าตายให้ข้าดูว่าเนื้อเจ้ารสชาติเหมือนอะไร”
ขณะเดียวกันหวังหลินกำลังนั่งขัดสมาธิในถ้ำ ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นฉับพลัน มันออกมาจากด้านบนของทะเลปิศาจ
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาขยับฝ่ามือและจะนำธงกฎเกณฑ์เก็บแต่ พบกลับพบว่าธงนั้นมีพลังลึกลับล้อมรอบและไม่สามารถเก็บไว้ได้
เหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้ท่าทีหวังหลินเปลี่ยนไป เขายืนขึ้นและกระตุ้นวิชาหลายอย่างบนตัวธง แต่เมื่อวิชาพวกนั้นตกลงตัวธง ทั้งหมดต่างถูกกีดกันจากพลังลึกลับ ไม่มีวิชาไหนผ่านเข้าไปได้
ขณะเดียวกันสัมผัสแห่งความหวาดกลัวยิ่งรุนแรงขึ้น เขาเปิดเนตรสวรรค์จากนั้นใบหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก
มองผ่านเนตรสวรรค์ของตัวเอง เขาเห็นเส้นสีแดงเล็กๆที่ออกมาจากธงได้ชัดเจน มันทะลุถ้ำไปเรียบร้อยและขึ้นไปบนท้องฟ้า
ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนเป็นมืดลง เขาเปิดประตูถ้ำทันทีและพุ่งออกไปข้างนอก เมื่อออกไปพลันร่างกายมั่นคงและมองไปบนท้องฟ้า
เขาเห็นเส้นสีแดงลอยในท้องฟ้าและผ่านสายหมอกขึ้นไปเหนือทะเลปิศาจ หวังหลินขบคิดชั่วขณะจากนั้นชี้ไปที่คิ้วตัวเองและนำเจ้าปิศาจตัวที่สองออกมา
หลังมันปรากฎตัว หวังหลินให้คำสั่งมันจึงล่องหน ด้วยสายตาของหวังหลินเขาสามารถเห็นร่างมันบินขึ้นไปบนสายหมอก
ใบหน้าหวังหลินมืดหม่น เขามองไปรอบๆและเห็นผู้คนมากมายเดินอยู่ในเมืองฉีหลินแต่ไม่มีใครรับรู้ถึงการคงอยู่ของเส้นสีแดงนี้เลย
หวังหลินมึนงงอย่างมาก ความรู้สึกหวาดกลัวนี้เริ่มแข็งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น เวลาที่หวังหลินรู้สึกแบบนี้ก็ตอนที่เขาเห็นเทพโบราณตู่ซือ
เขาขบคิดชั่วขณะ พลิกผ่านความทรงจำที่ตกทอดมาเพื่อค้นหาว่าเกิดขึ้นอะไรขึ้นและทำไมเหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นตอนที่ธงแห่งกฎเกณฑ์ปรากฎ
เจ้าปิศาจน้อยบินผ่านสายหมอกอย่างรวดเร็ว มันเป็นอสูรมีปีกมาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นปิศาจดังนั้นหลังจากเปลี่ยนเป็นปิศาจมันจึงเร็วมากกว่าเดิม แม้กระทั่งหวังหลินไม่อาจบินได้เร็วเท่ามัน
หากเป็นกับดักที่ฉิวซื่อผิงวางเอาไว้ภายในหมอกดำเมื่อหกวันก่อน หากเป็นมันจะใช้ความเร็วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
เจ้าปิศาจน้อยเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าขณะที่พุ่งผ่านสายหมอกขึ้นไปเหนือทะเลปิศาจ
ขณะนั้นเองเหนือทะเลปิศาจ หมอกสีแดงที่มีความกว้างมากกว่าสิบลี้ได้เริ่มหดตัวลงทันที ทว่าขณะที่มันหดตัวมีลูกโป่งหนึ่งปรากฎในใจกลาง
ลูกโป่งเริ่มขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นราวกับมีน้ำอยู่เต็มและห้อยข้างใต้หมอกแดง
จากนั้นด้านล่างลูกโป่งเปิดขึ้น เสียงฟ้าร้องคำรามดังกระหึ่มและเสาแสงสีแดงที่ให้ความรู้สึกราวกับทำลายดาวซูซาคุได้ทั้งดวงก็เริ่มหล่นมาจากท้องฟ้า
เมื่อเสาแสงสีแดงหล่นลงมา หมอกแดงเริ่มหดตัวจากความกว้างสิบลี้ไปอยู่ราวๆเจ็ดหรือแปดลี้
สายหมอกแดงได้ควบแน่นเข้าสู่เสาแสงที่กำลังหล่นจากท้องฟ้า
ความเร็วของเสาแดงยักษ์หล่นลงมาจนไม่อาจจินตนาการได้ แทบในพริบตา มันหล่นจากท้องฟ้าและเข้าสู่สายหมอกเหนือทะเลปิศาจ มันสร้างคลื่นเสียงตัดอากาศตลอดเวลาที่ตกลงมาและส่งคลื่นความกดดันผ่านไปรอบๆ
นอกจากคลื่นความกดดัน มีรอยแตกอากาศเล็กๆหลายแห่งปรากฎขณะที่มันหล่นจากท้องฟ้า รอยแตกพวกนั้นดูราวกับกระจกร้าว
เมื่อเสาแสงหล่นเข้าสายหมอกเหนือทะเลปิศาจมันทำให้หมอกเริ่มเดือดและอสูรทุกตัวข้างในวิ่งหนีพร้อมกับกรีดร้อง
เมื่อสายหมอกเหนือทะเลปิศาจระเหยกลายเป็นควันและลอยึ้นไปช้าๆ มันไม่ได้ลดความเร็วเสาแดงลงเลย
เมื่อเสาสีแดงจมลงไปมากขึ้น สายหมอกเหนือทะเลปิศาจไม่ว่าจะเป็นส่วนในหรือนอกทะเลได้เริ่มรวมมาที่เสาสีแดง
หากใครมองจากท้องฟ้าพวกเขาจะเห็นว่าทั้งสายหมอกเหนือทะเลปิศาจได้สร้างเป็นวังวนโดยมีเสาสีแดงอยู่ใจกลาง
สายหมอกอันไร้ที่สิ้นสุดเคลื่อนเข้าหาใจกลางและเป็นผลให้ควันสีดำลอยออกมาจากเสาแดง
ในที่สุดเมื่อเสาสีแดงจมลงไปสองในสามส่วน สายหมอกที่ปกคลุมทะลภายนอกทั้งหมดได้มารวมกันที่นี่ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สายหมอกที่ปกคลุมทะเลภายนอกได้หายไป
การไม่มีสายหมอกในทะเลทำให้แสงอาทิตย์ส่องประกายเป็นครั้งแรกในทะลส่วนนอก
มันส่องสว่างพื้นที่มืดมิด เมืองต้องสาป และเหล่าเซียนซึ่งทำให้ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เซียนบางคนที่ไม่เคยรู้สึกถึงแสงอาทิตย์รุนแรงเช่นนี้ในชีวิตต่างตื่นเต้น
หากเปรียบเทียบทะเลปิศาจเป็นวงกลมหนึ่ง เช่นนั้นสายหมอกทั้งหมดที่ขอบวงกลมได้หายไป สายหมอกนั้นได้รวมเข้ามาใจกลางไม่ก็เปลี่ยนเป็นควันสีดำโดยเสาแดง
ขณะนั้นเองเสาสีแดงได้หยุดลงภายในสายหมอก สายหมอกได้หดลงมาหลายเท่าตัว จากนั้นสายหมอกได้สร้างเสาสีดำขนาดยักษ์และทุบลงเข้าหาเสาสีแดง
ทันใดนั้นเมื่อทั้งสองเสาปะทะกัน คลื่นกระแทกถูกส่งออกมารอบทิศทาง สิ่งมีชีวิตใดภายในสายหมอกที่ถูกคลื่นกระแทกเข้าใส่จะกลายเป็นฝุ่นผง
ในเวลาเดียวกัน สุดท้ายเสาสีแดงแตกกระจายออกไป
แต่มันยังไม่จบ หมอกสีแดงกว้างเจ็ดหรือแปดลี้ได้เคลื่อนไหวอีกครั้งทันที สร้างเป็นเสาสีแดงอีกต้นซึ่งหล่นลงมาจากท้องฟ้า
เวลานี้สายหมอกแดงทั้งหมดตกลงมาพร้อมกับเสา ไม่มีสายหมอกแดงหลงเหลืออยู่ในท้องฟ้าอีกต่อไป ทั้งหมดตกลงมาพร้อมกับเสาแดง
เป็นเพราะหมอกจำนวนสองในสามส่วนหายไป เสาแดงอันใหม่ร่อนลงตำแหน่งที่อันเก่าหายไปแทบจะในทันที
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้นให้เซียนทุกคนในทะเลปิศาจได้ยินและออกมาดู เวลาเดียวกันหมอกสีดำจำนวนมหาศาลได้เปลี่ยนเป็นเมฆสีดำและควบแน่นในท้องฟ้า
เสาสีแดงยังคงหล่นลงมาพร้อมกับหดตัวลงไปด้วยจนมันมีขนาดน้อยกว่าครึ่งของขนาดดั้งเดิม
เจ้าปิศาจน้อยได้ถอยหลังเรียบร้อยตั้งแต่ที่มันสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติ หวังหลินเห็นเหตุการณ์ตกใจเบื้องหน้าผ่านเจ้าปิศาจน้อย
ขณะที่เซียนเกือบทั้งหมดในทะเลปิศาจออกมาจากบ้านตัวเอง แม้แต่คนที่ปิดประตูฝึกฝนก็ต้องหยุดลงและออกมามองที่ท้องฟ้า
เมื่อหวังหลินเห็นเสาสีแดงผ่านเจ้าปิศาจน้อย คำพูดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวเขาผ่านความทรงจำที่สืบทอดมา
“บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์…”
หวังหลินพึมพำกับตัวเองขณะที่ตรวจสอบผ่านความทรงจำที่สืบทอดเกี่ยวกับเรื่องราวของบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงชีวิตของเทพโบราณตู่ซือ เขาได้เผชิญกับบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์หลายครั้งนับไม่ถ้วน
ตู่ซือในตอนแรกเริ่มเพียงแค่กังวลเรื่องบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ แต่หลังร่างกายปรับโครงสร้างมาสี่ครั้ง บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ก็ได้หยุดคุกคามเขาและกลายมาเป็นของเสริมที่ดีเยี่ยมแทน
อีกทั้งเมื่อไหร่ที่เทพโบราณกำลังจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น มันจะก่อให้เกิดบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ และบางครั้งตอนที่พวกเขากำลังสร้างสมบัติวิเศษจะใช้ความแข็งแกร่งของบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์เพื่อกำหนดคุณภาพของสมบัติ
ความแข็งแกร่งของบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์หมายถึงความแข็งแกร่งของสมบัติ หากบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์อ่อนแอเกินไปนั่นหมายถึงสมบัติไม่แข็งแกร่งพอ
แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นการประมาณอย่างคร่าวๆและส่วนใหญ่จะคาดการณ์ผิด ตัวอย่างก็คือธงกฎเกณฑ์ที่หวังหลินสร้างขึ้นมา พลังของธงไม่อาจเปรียบได้กับบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์เลย
สาเหตุที่แท้จริงของบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์มาจากหินน้ำหมึก หินน้ำหมึกได้อยู่ภายในร่างเทพโบราณมานานมากและเก็บรวบรวมพลังปราณบางส่วนไว้ภายใน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เกิดขึ้นในโลกแห่งเซียนมานานได้ปรากฎขึ้นอีกครั้ง
บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เกิดขึ้นมานานจนนับไม่ได้แล้ว ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการกระตุ้นจากการสร้างสมบัติวิเศษแต่มันกลับมีพลังอำนาจจนจินตนาการไม่ได้
ข้อมูลทั้งหมดนี้กระพริบวาบผ่านในใจหวังหลิน เขาเข้าใจได้แล้วว่าเป็นเพราะธงกฎเกณฑ์จึงเกิดบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์
โดยไม่ต้องพูด หวังหลินพุ่งกลับเข้าถ้ำ ธงกำลังลอยอยู่ในห้อง เขาเริ่มใช้หลายวิชาบนธงเพื่อพยายามนำมันเก็บ
ด้วยข้อมูลที่หวังหลินได้รับจากความทรงจำสืบทอด หากธงผืนนี้ถูกปะทะเข้ากับบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์เมื่อนั้นมันจะกลายเป็นฝุ่นผงแน่นอน
หวังหลินไม่ต้องการให้สมบัติที่เขาใช้เวลาไปมากขนาดนี้กลับถูกบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ทำลาย เขาจึงกระตุ้นวิชาหลายชุดเพื่อพยายามรักษาธงไว้
พลังลึกลับที่ยึดถือธงไว้ค่อยๆเริ่มคลายแต่มันยังไม่ไปไหน ขณะเดียวกันเสียงฟ้าคำรามดังจากท้องฟ้าเบื้องฟัน เป็นครั้งแรกในทเลปิศาจที่ไม่มีน้ำในทะลหรือหมอกที่กีดกันท้องฟ้าไว้จนเผยให้เห็นแอ่งน้ำขนาดยักษ์
เสาสีแดงหล่นตรงเข้าหาเมืองฉีหลินด้วยความไม่อาจจินตนาการได้พร้อมกับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
เซียนทุกคนในเมืองตื่นตระหนกและใช้พลังตัวเองทั้งหมดกระจายตัวไป
เสาแดงหล่นลงมาในทันที
ขณะที่มันปะทะเข้ากับเมืองฉ๊หลิน หัวอสูรยักษ์ระเบิดออกและเกล็ดทุกชิ้นบนร่างของมันถูกพลังทำลายล้างของเสาสีแดงเป่าเกลี้ยง
หวังหลินซึ่งอยู่ในถ้ำทันใดนั้นสัมผัสได้ถึงพลังงานแข็งแกร่งจากทุกทิศทางจนทำให้ไอออกมาเป็นเลือด เขาถอนหายใจและต้องการยอมแพ้
แต่ขณะเดียวกันพลังลึกลับที่ล้อมรอบธงได้หายไปทันที ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาจับธงไว้ในมือขวาโดยไม่ลังเลทันที
ในเวลาเดียวกันเขาขยับร่างกายและวิ่งออกไปจากประตูถ้ำขณะที่เมืองฉีหลินกำลังล่มสลาย แต่ขณะที่เขากำลังจะออกไปนั้น เมฆสีแดงได้สร้างเส้นบางๆและพุ่งออกจากเมืองฉีหลินที่ล่มสลายตรงเข้าหาธงกฎเกณฑ์ในมือหวังหลิน
เส้นใยเร็วเกินไป แม้หวังหลินจะเก็บธงใส่กระเป๋าไว้ได้ผลกลับทำให้กระเป๋าถูกทำลาย ขณะเดียวกันหวังหลินกัดฟันกรอดและขยับฝ่ามือขวา ทันใดนั้นธงที่อยู่ในฝ่ามือซ้ายและเครื่องมือที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเขาปรากฎในมือขวา
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนที่เส้นใยจะมาถึง เมื่อเส้นใยร่อนลงบนเครื่องมือกลับทำให้เครื่องมือแตกสลายและทำให้หวังหลินลอยขึ้นไป
ทว่าหลังจากเครื่องมือแตกสลาย เส้นใยสีแดงขนาดเล็กจำนวนหนึ่งพุ่งออกมา ตอนนี้ก่อนที่เขาจะมีเวลาโต้ตอบ เส้นใยได้ร่อนลงฝ่ามือขวาหวังหลิน
ร่างหวังหลินสั่นเทาและบ้วนโลหิตออกมาหลายครั้ง แม้กระทั่งแกนพลังในร่างได้หดลงอย่างมาก ทั้งหมดที่เขาทำคือการจัดการกับพลังระเบิดของเส้นใยสีแดง
ใบหน้าหวังหลินซีดขาว พลังปราณในร่างทั้งหมดปั่นป่วนและเป็นหวังหลินคนเดียวที่แกนพลังมีพลังทำลายของเส้นใยสีแดง แต่เมื่อรู้ว่าเวลานี้ถึงขีดจำกัดแล้ว หากไม่สามารถนำเส้นใยออกจากร่างให้ทันเวลาเมื่อนั้นพลังปราณในแกนพลังจะถูกใช้ทั้งหมดและแกนพลังจะแตกสลาย ร่างกายก็แตกสลายไปด้วย แม้แต่วิญญาณก็ไม่สามารถหนีรอดจากพลังของบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ได้
ตอนนี้มีเซียนหลายคนกำลังหนีจากเมืองฉีหลิน ดังนั้นไม่มีใครสังเกตภาวะแปลกประหลาดของหวังหลิน ทั้งหมดต่างกระจัดกระจายทุกทิศทาง
เมืองฉีหลินทั้งหมดถูกทำลาย
ขณะเดียวกันสายฝนสีดำเริ่มตกจากฟากฟ้า หมอกทั้งหมดที่ระเหยกลายเป็นควันเริ่มควบแน่นหลังจากถูกบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์กวาดหายไป
แม้มันจะเป็นฝนสีดำ แต่นับเป็นครั้งแรกที่ฝนตกในทะเลปิศาจตั้งแต่ที่น้ำทะเลเปลี่ยนกลายเป็นสายหมอกทั้งหมด
เวลานี้บทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ได้นำโอกาสมหาศาลมาที่ทะเลปิศาจขณะเดียวกันก็สังหารอสูรบางตัวที่อาศัยในสายหมอกไปได้และหลายตัวก็สามารถหลบหนีออกมาได้
แม้กระทั่งอสูรทรงพลังและแข็งแกร่งบางตัวที่อาศัยในสายหมอกกลับปรากฎกายขึ้นในทะเลปิศาจ ทะเลปิศาจตอนนี้ควรจะเปลี่ยนชื่อเป็นแอ่งปิศาจน่าจะเหมาะสมกว่า
อสูรไม่ธรรมดาหลายตัวปรากฎกายขึ้นกระตุ้นการต่อสู้หลายชุด มีอสูรหลายตัวกำลังสังหารเซียนและเซียนกำลังสังหารอสูร เซียนทั้งหมดต่างรู้กันว่าอสูรพวกนี้ต่างมีแกนพลังที่ใช้เป็นเม็ดยาหรือกลืนมันตรงๆเพื่อเพิ่มพลังฝึกตนได้
อีกทั้งเพราะว่าสายหมอกทั้งหมดหายไป ทั้งทะเลปิศาจได้สูญเสียม่านพลังตามธรรมชาติ ดังนั้นเซียนทั่วทุกแคว้นรอบทะเลปิศาจต่างหันหน้าเข้ามาหาที่นี่
เป็นเรื่องดีที่สำนักขนาดใหญ่สองสามแห่งล้อมรอบที่นี่มาหมื่นปีได้ออกมาจัดการทำให้สถานการณ์สเถียรขึ้น
แต่เซียนหลายคนลอบใช้ประโยชน์นี้ฆ่าฟันและขโมยสมบัติซึ่งทำให้สถานการณ์ในทะลปิศาจที่โกลาหลไปแล้วกลับยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก
แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหวังหลิน ตอนนี้เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าแกนพลังในร่างกายกำลังหดลงอย่างต่อเนื่อง บนแกนพลังมีเส้นใยสีแดงกำลังดูดซับพลังของมันอย่างรวดเร็ว หากแกนพลังเริ่มมีรอยร้าวและแตกออก หนทางที่รอหวังหลินอยู่ก็คือความตายเท่านั้น
ตอนนี้ระดับฝึกฝนของเขาได้ตกลงมาจากแกนพลังลมปราณระดับปลายไปสู่ระดับกลาง จากการคาดคำนวณของเขา หวังหลินจะหล่นจากระดับกลางในสามชั่วโมงจากนั้นอีกชั่วโมงครึ่งแกนพลังจะแตกสลาย
หวังหลินไม่ได้กังวลเรื่องการพบปะกับฉิวซื่อผิงในวันที่เจ็ดอีกแล้ว ความสำคัญของเขาตอนนี้คือหาทางเอาเส้นด้ายออกไป
ใบหน้าหวังหลินเคร่งขรึม ดวงตาเปื้อนโลหิตและเต็มไปด้วยจิตสังหาร เพื่อให้รอดตายเขาต้องเริ่มสังหาร เป็นเรื่องแย่นักที่เขาใช้น้ำพลังปราณไปจนหมดในดินแดนเทพโบราณ แม้ว่าจะรวบรวมเพิ่มมากขึ้นในเมืองฉีหลิน หากเขามีเพียงพอก็จะสามารถคงอยู่ได้นาน
จังหวะนั้น ร่างชายวัยกลางคนสวมผ้าคลุมสีดำปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน เขาเคลื่อนไหวเข้าหาหวังหลินและพูดขึ้น “ขั้นแกนลมปราณระดับกลาง…มันต้องเป็นเจ้า!”
เมื่อคำพูดออกได้ยินถึงหวังหลิน สายฟ้าแดงกระพริบผ่านดวงตา แม้ชายผู้นั้นจะเป็นขั้นแกนลมปราณระดับปลายแต่หวังหลินกลับพุ่งเข้าหาแทนที่จะถอยหนี
ชายชุดคลุมสีดำเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย เพียงแค่กำลังจะเคลื่อนไหว ทันใดนั้นร่างกายสั่นสะท้านและดวงตาหมองลงทันที หวังหลินปรากฎตัวเบื้องหน้าชายผู้นั้นและดึงแกนพลังออกจากร่างเขาพร้อมกับโยนเข้าไปในปาก
เขาไม่มีเวลาพอจะหยิบของจากชายผู้นั้นและเพียงแค่จากไปอย่างรวดเร็ว หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกราวกับหมาป่าที่กำลังหิวโหย ตามล่าเหยื่อตัวถัดไป
ซุนฟ่านตอนนี้กำลังหนีจากอสูรสองตัวที่มีพลังขั้นแกนลมปราณระดับปลาย หากเขาช้าเพียงเล็กน้อยคงถูกพวกมันกินไปแล้ว
ด้วยระดับพื้นฐานลมปราณอันเล็กน้อยของเขา เขาไม่มีพลังพอจะต่อสู้กลับ
อสูรสองตัวเริ่มใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น เขาได้ยินเสียงคำรามอยู่ข้างหลัง พลันยิ้มอย่างขื่นมและรู้ได้ว่าไม่สามารถหนีรอดได้อีกแล้ว
แต่เพียงแค่นั้น สายลมกรรโชกแรงพัดหาเขาทำให้หมุนตัวไปรอบหนึ่ง หลังจากที่ทำให้ร่างมั่นคงได้ เขาได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนออกมาจากอสูรที่ตามล่าเขาทั้งสองตัว
เมื่อหันศีรษะกลับมาจึงเห็นจุดที่ทำให้ตกตะลึง
ซุนฟ่านเห็นชายหนุ่มผมขาวราวกับปิศาจกำลังยื่นฝ่ามือเข้าไปในอสูรและดึงแกนพลังออกมากลืนกินมันตรงๆ ส่วนอสูรอีกตัวตายอยู่ด้านข้างเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มผมขาวมองซุนฟ่านอย่างเย็นชาจากนั้นพุ่งออกไปไกลโดยไม่พูดจา
แม้ว่าหวังหลินจะจากไปแล้ว ซุนฟ่านยังไม่กล้าขยับเขยื้อนไปไหน ชายหนุ่มผมขาวได้มองเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร หลังผ่านไปเวลานานเขาบ้วนโลหิตออกมาและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มผมขาวที่ดูเหมือนมารร้ายได้หลอกหลอนเขาสำหรับชีวิตที่เหลือ แม้กระทั่งหลังจากผ่านไปอีกเจ็ดร้อยปีจนเขาได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเหมือนที่ใฝ่ฝัน เขายังคงหวาดกลัวเมื่อนึกถึงชายหนุ่มผมขาวและกระทั่งตื่นมากลางดึก
ในพื้นที่ทิศเหนือมีสำนักเล็กๆสองแห่งกำลังต่อสู้กันเพื่อแกนอสูรตนหนึ่งี่ถูกบทลงโทษศักดิ์ศิทธิ์สังหารไป กระบี่เหินและวิชาเซียนเต็มท้องฟ้าขณะที่โจมตีเข้าห้ำหั่นกันและกัน
เซียนทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในการต่อสู้ดุเดือดเลือดร้อน ชายหนุ่มผมขาวปรากฎตัวขึ้น โดยไม่พูดไม่จาและดวงตาสีแดงราวกับปิศาจเรืองแสงขึ้นพร้อมกับแสงสีแดงพุ่งออกมาผ่านเซียนทั้งสองฝ่าย
ขณะเดียวกันชายหนุ่มผมแดงเคลื่อนผ่านเซียนทั้งหมดไป เขายื่นมืออกไปที่ท้องของเซียนขั้นแกนลมปราณแต่ละคน ดึงแกนพลังออกมาและกลืนเข้าปาก
ในเวลาเพียงสิบลมหายใจ เซียนในสนามรบตายกันทั้งหมดและแกนอสูรที่เป็นเหตุให้ทั้งหมดต่อสู้กันก็ได้ถูกชายผมขาวกลืนกินไปด้วย ร่างกายเปลี่ยนเป็นภาพเบลอขณะที่พุ่งตัวออกห่างไป
ไม่ว่ามันจะเป็นอสูรหรือเซียน บุรุษหรือสตรี ตราบใดที่ไม่ใช่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด พวกเขาจะถูกหวังหลินล่าสังหาร
ยิ่งกลืนกินแกนพลังมากขึ้นและมากขึ้น ระดับฝึกตนของเขาค่อยๆหยุดลดลงจนกระทั่งในที่สุดแกนพลังของเขาก็เสถียร ทว่าปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข สถาวะสเถียรเช่นนี้อยู่ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง แกนพลังของเขาจะเริ่มหดลงรวดเร็วอีกครั้งในไม่ช้าจนกระทั่งแตกสลาย
มีเพียงหนทางเดียวในการแก้ไขปัญหานี้ก็คือสังหารผู้คนเพื่อแกนพลังต่อไปจนพลังปราณที่รวบรวมมาเพียงพอจนบังคับให้เส้นใยสีแดงออกจากร่าง
ดังนั้นเขาจำเป็นต้องสังหารผู้คนจำนวนมาก ดวงตาหวังหลินไม่เคยเต็มไปด้วยความตั้งใจฆ่าเช่นตอนนี้ เขารู้ว่าความเร็วการสังหารช้าเกินไปกับสิ่งที่เขาต้องการให้สำรเ็จ
ดวงตาหวังหลินเผยความเย็นชา เขาส่งสัมผัสวิญญาณออกมาและพุ่งเข้าหาอสูรบางตัวจากสายหมอกที่ห่างไปนับร้อยลี้หรือมากกว่านั้น เขาตบกระเป๋าและกระบี่พิษสีดำปรากฎขึ้น
ขณะที่สังหารอสูรและนำแกนพลังออกมา เขาไม่ได้หยุดแม้เพียงชั่วขณะและพุ่งออกไปอย่างต่อเนื่องพร้อมกับสัมผัสวิญญาณกระจายออกไปเพื่อค้นหาตำแหน่งอสูรหรือเซียนจำนวนมาก
ขณะกำลังเหาะเหิน หวังหลินหยุดลงทันที สัมผัสวิญญาณได้พบกับฝูงอสูรจำนวนมากห่างไปทางทิศตะวันออกหนึ่งพันลี้ เขาตัวกลับทันทีและมุ่งหน้าไปทางนั้น
หวังหลินข้ามผ่านหนึ่งพันลี้ มีอสูรหลายตัวอยู่ในฝูง เมื่อเขามาถึงพลันชี้ระหว่างคิ้วและเจ้าปิศาจตัวน้อยปรากฎออกมาพุ่งเข้าหาฝูงอสูร
ไม่นานหลังจากนั้นกระบี่พิษสีดำขยับเช่นเดียวกัน กระทั่งขอบเขตจวี่ของหวังหลินยังออกมา การโจมตีทั้งหมดนี้พุ่งเข้าหาฝูงอสูร
แต่เสียงคำรามอันดุร้ายรุนแรงเสียงหนึ่งดังออกมาจากภายในฝูงอสูร ปลาหมึกยักษ์ค่อยๆชูนวดออกมาจากพื้น ดวงตาสีดำขลับกลายเป็นเยือกเย็นขณะที่มันจ้องหวังหลิน
หวังหลินมองมันหนึ่งครั้งและพบได้ว่าอสูรตัวนี้มีพลังพอๆกับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางดังนั้นเขาจึงตัวและจากไป หวังหลินเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้หลายครั้ง ฝูงอสูรแบบนี้จะมีอสูรระดับวิญญาณแรกกำเนิดบางส่วนอยู่ข้างใน
ร่างหวังหลินกระพริบวาบและจางหายไปไกลอย่างรวดเร็ว ปลาหมึกยักษ์ส่งเสียงคำรามและไล่ล่าตามหลังหวังหลินอย่างรวดเร็ว
หวังหลินไม่ได้หันศีรษะกลับมา เขาเพียงแค่หนีให้เร็ว หลังเจ้าปลาหมึกยักษ์ได้ไล่ล่าเขาห่างไปช่วงหนึ่ง มันลังเลชั่วขณะจากนั้นหยุดไล่ล่า มันหันเข้าฝูงตัวเองและกินอสูรสองสามตัวก่อนจะกลับเข้าสู่ผืนดิน
ไม่นานนักหวังหลินพบกลุ่มเซียนเจ็ดคนห่างไปสองพันลี้ สามคนในนั้นมีขั้นแกนลมปราณ
ทั้งเจ็ดคนล้อมรอบอสูรตนหนึ่งและกำลังโจมตี
แต่รอยยิ้มของพวกเขาแข็งค้างอย่างรวดเร็วเมื่อแสงสีดำกระพริบผ่านสังหารทั้งเจ็ดคน เซียนขั้นแกนลมปราณมีรูเต็มไปด้วยโลหิตในหน้าท้อง อีกทั้งมีหลุมหนึ่งบนหัวของอสูรตัวนั้น
แต่ขณะเดียวกัน เสียงหึ่งต่ำๆดังออกมาจากพื้นที่ห่างไกล
“ตำหนักวิเศษราชาพิษได้ตั้งคำสั่งให้หยุดการสังหารในพื้นที่ทั่วบริเวณ อย่าขยับ!”
หวังหลินไ่ลังเล ขณะที่ประโยคนั้นเอ่ยออกมา เขาเริ่มหนีกลับหลัง
น้ำเสียงเผยความเยาะเย้ย เจ้าของเสียงเคลื่อนร่างและทันใดนั้นปรากฎตัวเบื้องหน้าหวังหลิน ในเวลาเดียวกันเขาสะบัดแขนขวาและพลังแข็งแกร่งดึงหวังหลินเข้าไป
ทันใดนั้นร่างหวังหลินลอยกลับหลัง ดวงตากระพริบวาบขณะที่เขามองไปที่ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีม่วงและใบหน้าเฉยเมย หลังผ่านไปสองสามวินาที เขากลับมาถึงจุดที่ร่างของเซียนทั้งเจ็ดคน
ชายผู้นั้นมองลงและขมวดคิ้ว เขาจ้องหวังหลินอย่างเย็นชาและพูดขึ้น “นิสัยชั่วข้า! คนอื่นสังหารเพื่อสมบัติ ส่วนเจ้าสังหารเพื่อแกนพลัง!”
ดวงตาหวังหลินกระพริบวาบ คนผู้นี้มีระดับขั้นวิญญาณแรกกำเนิดโดยคาดการณ์จากพลังที่ปลดปล่อยออกมาและใช้วิชาเคลื่อนย้ายพริบตา หวังหลินสังเกตได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีระดับกลาง เขาอาจจะเป็นระดับแรก
คนผู้นี้ไม่ได้มาด้วยความตั้งใจเป็นมิตร แสงเยือกเย็นกระพริบผ่านแววตาหวังหลินและเขาสัมผัสกระเป๋า กระบี่พิษสีดำออกมาและลอยเหนือศีรษะพร้อมกับปลดปล่อยแสงเยือกเย็น
ชายวัยกลางคนเผยแววตาเยาะเย้ย เขาขยับฝ่ามือขวาและสร้างกรงเล็บสีดำขึ้นกวาดเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินสะบัดธงกฎเกณฑ์ด้วยฝ่ามือขวา ผืนธงบินขึ้นและขยายขนาดใหญ่ขึ้นในทันทีปกคลุมล้อมรอบรัศมีหนึ่งร้อยลี้ กฎเกณฑ์บนผืนธงออกมาทีละกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์หลายสิบแห่งปกคลุมกรงเล็บสีดำและมีเสียงดังสนั่นพร้อมกับกรงเล็บสีดำถูกทำลาย
ชายวัยกลางคนมองธงกฎเกณฑ์และเยาะเย้ย เขากวาดฝ่ามือขวาไปที่ท้องฟ้าและกระบี่เหินสีม่วงลอยออกจากแขนเสื้อ มันพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยความเร็วเสียง
หวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหว มือทั้งสองข้างไขว้เข้าหากันและตะโกนขึ้น “ทำลาย!”
ธงกฎเกณฑ์ขยับทันทีและกฎเกณฑ์ลอยออกมาทีละตัวสร้างเป็นโล่สีดำเบื้องหน้าหวังหลิน ขณะที่กระบี่เหินปะทะเข้ากับโล่ กฎเกณฑ์เคลื่อนไหวเข้าใส่กระบี่ทำให้ทั้งกระบี่ปกคลุมอยู่ในกฎเกณฑ์อย่างรวดเร็ว
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว เขาไม่คาดคิดว่าเซียนขั้นแกนลมปราณระดับกลางจะมีสมบัติวิเศษประหลาดเช่นนั้น ฝ่ามือขวาตบกระเป๋า ผนึกเสือทองแดงปรากฎในฝ่ามือ เขากำผนึกไว้และพูดบทร่ายสองสามคำ ผนึกเปล่งเสียงคำรามทันทีและเติบโตสูงเจ็ดถึงแปดฟุต ผนึกทองแดงแตกหักครึ่งและเสือดำกระโจนออกมา
หลังเสือปรากฎตัวมันกระโจนเข้าหาหวังหลิน หวังหลินถอยหลังสองสามก้าวสร้างผนึกขึ้นทั้งสองแขนและตะโกน “กับดัก!”
ขณะที่พูดสองคำนั้น ธงกฎเกณฑ์ขยับเคลื่อนไหวนำกฎเกณฑ์สร้างออกมาเป็นโซ่หลายเส้นออกมาทุกทิศทางและก่อร่างเป็นม่านพลังเบื้องหน้าหวังหลิน เมื่อเสือกระโจนเข้าใส่โซ่มันกระดอนออกมา
ในขณะเดียวกันกำแพงโซ่อีกแห่งได้ก่อขึ้นข้างหลังเสือดำ กำแพงทั้งสองเคลื่อนไหวเข้าหากันและเชื่อมต่อเป็นทรงกลม เสือสีดำถูกขังไว้ภายใน
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในพริบตา ขณะที่เสือดำกระโจนเข้าใส่หวังหลิน มันถูกขังไว้ภายในโซ่ที่สร้างจากกฎเกณฑ์
เสือดำคำรามภายในกรงอย่างเกรี้ยวกราดแต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไร
ใบหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปเคร่งเครียดครั้งแรก เขาถามขึ้น “เจ้าเป็นศิษย์ของใคร”
ในมุมมองของเขาคนที่มีสมบัติเช่นนี้ต้องมีเบื้องหลังที่ลึกหยั่งคาดหรือไม่ก็เป็นเซียนขั้นแกนลมปราณที่มีสมบัติอันทรงพลังที่แท้จริง
ความโลภเกาะกุมในใจเขาโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น ดูเหมือนว่าพลังของธงกฎเกณฑ์จะคุ้มค่าสำหรับบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ ธงผืนนี้ไม่ได้เป็นธงชนิดเดียว หากเป็นเช่นนั้นมันจะมีพลังมากมายนัก
เขามองชายวัยกลางคนอย่างเยือกเย็น สถานะปัจจุบันไม่ได้ดีนัก ตอนที่เขากำลังต่อสู้กับชายวัยกลางคน พลังปราณของเขาเริ่มไม่เสถียรและแกนพลังหดลงเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปแกนพลังจะแตกสลายในไม่ช้า
หวังหลินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม “อาจารย์ของข้าคือกู้หลาน”
ชายกลางคนตกตะลึง เขามองหวังหลินอย่างละเอียดละเยาะเย้ย เขาไม่เชื่อว่าหวังหลินคือศิษย์ของจักรพรรดิโบราณเพราะจักรพรรดิโบราณหายตัวไปในพื้นที่ดาราล่มสลายเมื่อสองร้อยปีก่อน
เขากำลังจะพูดแต่ดวงตาเบิกกว้างเมื่อจ้องหวังหลิน ในมือเขามีกระเป๋าใบหนึ่งและปักด้วยคำสีฟ้าว่า “หลาน”
หวังหลินสะบัดแขนขวาและเก็บไป จากใบหน้าของชายวัยกลางคน หวังหลินสรุปได้ว่าเขาควรจะรู้เรื่องกระเป๋าใบนี้หรืออย่างน้อยก็เคยได้ยินมัน
หวังหลินถอยกลับ ฝ่ามือสร้างผนึกขึ้นด้านหลังและธงกฎเกณฑ์กลับเข้ามาในมือ หลังถอยห่างได้ร้อยฟุต เขาขยับแขนอีกครั้งและเจ้าเสือที่ถูกขังในกฎเกณฑ์จึงถูกปล่อยออก
ขณะเดียวกันนั้นความเร็วของหวังหลินเพิ่มขึ้นและหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ชายวัยกลางคนมองทิศทางที่หวังหลินหายไปอย่างเศร้าโสก เขาต้องการไล่ล่าหวังหลินหลายครั้งแต่ก็ต้องหยุดตัวเองไว้ แม้ให้เมินเฉยกระเป๋าใบนั้นแต่ผืนธงกลับทำให้เขากลัวมาบ้าง รวมไปถึงเขารู้ว่าหวังหลินยังไม่ได้ใช้สมบัติออกมาทั้งหมด แม้เขาจะมั่นใจว่าสามารถสังหารเซียนขั้นแกนลมปราณได้ แต่สมบัติของหวังหลินประหลาดเกินไป
ซึ่งทำให้แรงกระตุ้นไล่ล่าหวังหลินได้ลดลงอย่างมาก อีกทั้งกระเป๋าที่มีชื่อปักคำว่า ‘หลาน’ ใบนั้นด้วย เขารู้ได้ว่าเครื่องหมายนั่นหมายถึงสิ่งที่เป็นของของจักรพรรดิโบราณ
คนส่วนใหญ่จะไม่รู้จักเรื่องนี้ เขาเพียงเห็นมันด้วยตัวเองจากความบังเอิญเมื่อจักรพรรดิโบราณเยี่ยมเยียนตำหนักวิเศษราชาพิษคราหนึ่ง
แม้จักรพรรดิโบราณจะหายตัวไปสองร้อยปีแล้ว แต่ชื่อเสียงของเขายังคงอยู่ที่นี่รวมถึงสำนักของเขาเช่นกัน ดังนั้นจึงกำจัดความคิดไล่ล่าหวังหลินไปเสียหมด
หลังจากหวังหลินเหาะเหินห่างไปไกลจริงๆ เขาเก็บธงกฎเกณฑ์อย่างรวดเร็ว เพียงการการต่อสู้เล็กๆทำให้ใช้พลังปราณไปจำนวนมากและแกนพลังของเขาหดลงอีกครั้ง จากการคำนวณเขาต้องดูดซับพลังปราณเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ก็เหลือเพียงถนนแห่งความตายที่รอเขาอยู่
หวังหลินนำน้ำพลังปราณที่เขาสั่งสมไว้ขณะที่อยู่ในเมืองฉีหลินออกมา มันมีเพียงร้อยหยุด หลังจากดื่มไปสิบหยดหวังหลินจึงหยุดแกนพลังจากการหดตัวได้อีกครั้ง หลังขบคิดชั่วขณะจึงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาเกือบจะหมดหนทางแก้ไขปัญหานี้แล้ว มันมีเพียงหนทางเดียวจริงๆ
หวังหลินกัดฟันแน่น เขากระตุ้นแกนพลังวิญญาณกลืนกินออกมาและเพ่งสมาธิทั้งหมดบนแกนพลังวิญญาณ
หวังหลินเคยใช้วิชานี้เพียงครั้งเดียวในสนามรบต่างแดนเพื่อออกจากโลกแห่งการล่มสลาย เขาใช้เวลาหลายปีเพื่อแบ่งวิญญาณของตัวเองเป็นเศษเล็กๆเพื่อผ่านรอยแตกในอากาศออกมาจากโลกแห่งการล่มสลายได้
เวลานั้นเขาไม่สามารถฟื้นฟูเสี้ยววิญญาณของตัวเองได้และกระทั่งไม่รู้ว่าเสี้ยววิญญาณของเขาอยู่ที่ไหน นอกจากนั้นหวังหลินรู้เพียงว่าหลังจากแบ่งวิญญาณออกมา พลังของตัวเองจะอ่อนแออย่างมากและอาจจะไม่สามารถรวมเป็นวิญญาณที่สมบูรณ์ได้อีกครั้ง
แต่ตอนนี้หากเขายังใช้วิธีเดิมเพื่อสังหารผู้คนเพื่อแกนพลัง มันนับได้ว่าไม่เร็วเพียงพอดังนั้นเขาจึงต้องเสี่ยงแบ่งวิญญาณตัวเองอีกครั้ง
โชคดีที่เขามีแกนพลังวิญญาณ อันตรายภายหลังจากการแบ่งวิญญาณจึงลดลงอย่างมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาแบ่งวิญญาณ เสี้ยววิญญาณของเขาจะไม่มีพลังโจมตีและอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง
เพราะตอนนี้เขามีแกนพลังวิญญาณกลืนกิน ส่วนหนึ่งแล้วเสี้ยววิญญาณของเขาคือวิญญาณเร่ร่อนจากโลกแห่งการล่มสลาย
มันเพียงมีรูปแบบและนิสัยแตกต่างกันเล็กน้อยเท่านั้น
วิญญาณของเขาซึ่งมีขนาดเท่ากับวิญญาณเซียนขั้นแกนลมปราณรวมกันหลายสิบดวง จึงแบ่งวิญญาณจากหนึ่งเป็นสิบดวง จากสิบเป็นร้อย และจากร้อยเป็นพันดวง
เสี้ยววิญญาณออกมาจากร่างหวังหลินทีละดวง แต่ละเสี้ยววิญญาณอยู่ในรูปร่างสายฟ้าแดงซึ่งเกี่ยวข้องกับขอบเขตจวี่ของหวังหลิน ในความเป็นจริงแต่ละเสี้ยววิญญาณคือเสี้ยววิญญาณขอบเขตจวี่อยู่แล้ว
เสี้ยววิญญาณขอบเขตจวี่หนึ่งพันดวงออกมาจากร่างหวังหลินและกระจายหายไปทุกทิศทาง
เสี้ยววิญญาณส่วนรากของหวังหลินยังอยู่ในร่างกาย ตอนนี้วิญญาณของหวังหลินอ่อนแออย่างมาก เขาตบกระเป๋าและกระบี่พิษสีดำออกมาสร้างเป็นหลุมหนึ่งในพื้นดิน เขานั่งลงขัดสมาธิในหลุมจากนั้นนำธงกฎเกณฑ์ออกมา สูดหายใจลึกและถือมันขึ้น
ธงกฎเกณฑ์กระพรือโดยไร้แรงลม มันขยายขนาดจนปกคลุมทุกสิ่งในรัศมีหนึ่งร้อยลี้
ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ออกมาทีละส่วนและร่อนลงทั่วพื้นที่รอบบริเวณ จากนั้นสัญลักษณ์กฎเกณฑ์ขนาดใหญ่เก้าแบบลอยออกมาจากธงและลอยรอบๆอย่างแน่นิ่ง
หลังกระจายกฎเกณฑ์ออก หวังหลินหายใจออกมาและเริ่มย่อยแกนพลังที่เขากลืนกินก่อนหน้านี้
ส่วนเสี้ยววิญญาณของเขา เมื่อพบกับเซียนคนหนึ่ง ตราบใดที่ต่ำกว่าขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเมื่อนั้นเสี้ยววิญญาณจะสังหารและขโมยแกนพลังมา
เวลาค่อยๆผ่านไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เสี้ยววิญญาณได้รับแกนพลัง มันจะกลับมาทันที วางลงไว้จากนั้นมุ่งหน้าออกไปอีกครั้ง
เป็นผลให้ทะเลปิศาจเกิดการสังหารถี่ขึ้นจนเกิดความวุ่นวายไปแล้วเรียบร้อย กระทั่งสำนักขนาดกลางยังเริ่มเคลื่อนไหว
หลังผ่านไปสองวัน ใบหน้าหวังหลินซีดเผือดและแกนพลังหดลงจนมีขนาดเท่าเล็บก้อย ระดับฝึกฝนตกลงไปอยู่ขั้นแกนลมปราณระดับต้น
พลังงานทั้งหมดจากแกนพลังที่เสี้ยววิญญาณนำกลับมาได้ถูกเก็บไว้อีกตำแหน่งหนึ่ง เขากำลังเตรียมพร้อมสำหรับจุดวิกฤตเพื่อทำให้เส้นใยสีแดงระเบิดร้ายแรงขึ้น
หวังหลินสร้างผนึกขึ้นในฝ่ามือและตะโกน “เสี้ยววิญญาณ กลับมา!”
ทันใดนั้นเสี้ยววิญาณทั้งหมด ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนพลันหยุดลงและเริ่มกลับมา ในทะเลปิศาจคนผู้หนึ่งสามารถเห็นสายฟ้าสีแดงกระพริบข้ามผ่านท้องฟ้า ทั้งหมดมุ่งหน้าในตำแหน่งเดียวกัน
แต่ละเศษสายฟ้าผ่านกฎเกณฑ์เข้ามาในร่างหวังหลิน วิญญาณของเขาจึงมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้นและมากขึ้น ครั้งที่เสี้ยววิญญาณทั้งหมดกลับเข้าร่างกาย แสงเยือกเย็นกระพริบผ่านดวงตาหวังหลินพร้อมกับควบคุมพลังปราณในร่างโจมตีไปที่เส้นใบสีแดง
สามวันถัดมาในพื้นที่ปกคลุมด้วยธงกฎเกณฑ์ของหวังหลิน ตัวธงหดลงทันทีจนมันมีขนาดเท่าปกติและร่อนลงในฝ่ามือชายหนุ่มผมขาว
หวังหลินสะบัดแขนขวาและนำธงกฎเกณฑ์กลับใส่กระเป๋า
ใบหน้าไม่ซีดเผือดอีกแล้ว ในสามวันนี้เขาไม่ได้ทำการกำจัดเส้นใยสีแดงให้หายไปอย่างหมดจดแต่ล้อมรอบมันด้วยพลังปราณ ดังนั้นปัญหาวิกฤติของแกนพลังงานจึงถูกทำลายไป
ในขณะเดียวกันด้วยการใช้พลังปราณที่เขารวบรวมมาได้ แกนพลังจึงเติบโตอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ระดับฝึกฝนจะไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มขึ้นมาถึงจุดสูงสุดขั้นแกนลมปราณระดับปลาย
หวังหลินเชื่อว่าหนทางเดียวที่จะกำจัดเส้นใยสีแดงนี้ก็คือให้ระดับฝึกตนของเขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด จากนั้นเขาจะใช้วิชาของเมิ่งหลังค่อมที่เรียกันว่าแลกพิษเพื่อแลกเปลี่ยนเส้นใยสีแดงกับร่างใครสักคน นั่นจะเป็นการแก้ไขปัญหาของเขา
หวังหลินขบคิดชั่วขณะ ดวงตาเผยความกล้าออกมา เขาหลับตาลงและพยายามสัมผัสถึงตำแหน่งของปิศาจฉวี่ลี่กั๋วแต่เพราะระยะระหว่างทั้งสองไกลเกินไป เขาจึงทำได้เพียงหาทิศทางคราวๆเท่านั้น จากนั้นหวังหลินเคลื่อนร่างเข้าหาตำแหน่งฉวี่ลี่กั๋ว
ณ ตอนนี้หวังหลินใช้วิชาหลบหนีปฐพีเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ด้วยวิชานี้หวังหลินได้ระเบิดความเร็วขึ้น ข้อเสียเพียงข้อเดียวของวิชานี้คือมันกินพลังปราณมากและเป็นเหตุที่หวังหลินไม่ใช้มันก่อนที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องเส้นใยสีแดงสำเร็จ
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะที่ใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบตำแหน่งของฉวี่ลี่กั๋วไปด้วย หลังผ่านไปเจ็ดวันในที่สุดเขาก็มาถึงตำแหน่งที่ตกลงกันไว้ มันห่างจากเมืองฉีหลินไปสามพันลี้
หวังหลินรู้สึกได้ว่าเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋วอยู่ใกล้ๆ
เมื่อหวังหลินมาถึงยอดภูเขา ฉวี่ลี่กั๋วออกมาจากศาลาและเข้าไปที่คิ้วหวังหลินอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เงาร่างฉิวซื่อผิงปรากฎภายในศาลา ตอนนี้เขาดูโทรมมากและลมหายใจไม่มั่นคง
หวังหลินเคลื่อนร่างเข้าศาลาและนั่งลงบนเก้าอี้หินพร้อมกับตรวจสอบฉิวซื่อผิง
ฉิวซื่อผิงยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดขึ้น “สหายเซียน ข้ารอที่นี่มาเกินครึ่งเดือน หากข้าไม่เชื่อว่าท่านเป็นคนรักษาสัญญา ข้าคงจากไปแล้ว”
หวังหลินเผยใบหน้าเป็นเชิงขอโทษและพูดขึ้น “มีโอกาสมหาศาลในทะเลปิศาจที่ทำให้ผู้คนสังหารกันและสำนักออกมาเพื่อได้รับพลังอำนาจมากขึ้น ทำให้การเดินทางมาที่นี่ล่าช้า ข้าจึงทำให้ท่านรอคอยเป็นเวลานาน”
ฉิวซื่อผิงถอนหายใจและยิ้มอย่างอ่อนโยน “นับว่าดี ข้าได้สังหารเซียนโลภมากไม่กี่คนและได้ประโยชน์บางอย่างด้วยเช่นกัน สหายเซียนท่านจะว่าอย่างไรหากเราจะไปสถานที่นั่นตอนนี้?”
หวังหลินยืนขึ้นและพยักหน้า “ก็ดี สหายเซียนโปรดนำทางเถิด”
ดวงตาฉิวซื่อผิงสว่างขึ้นและยิ้มรับ “สหายเซียนเจ้าและข้านับเป็นพวกเดียวกัน ข้าขอถามนามของท่านได้หรือไม่?”
หวังหลินมองฉิวซื่อผิงและพูดขึ้น “หวังหลิน!”
ฉิวซื่อผิงคารวะทั้งสองแขนและพูดขึ้น “น้องหวัง ระยะทางสู่สถานที่แห่งนั้นนับว่าไกล หากท่านไม่คิดมาก เราสามารถไปด้วยเรือเมฆของข้าได้” เมื่อพูดจบเขาตบกระเป๋าและเรือเมฆปรากฎออกมา
เรือเมฆลำนี้มีความยาวสิบฟุตและเต็มไปด้วยลวดลายอสูรวิญญาณ ส่วนหัวเรือสลักเป็นวิหคที่ดูราวกับมีชีวิต
ร่างฉิวซื่อผิงเคลื่อนไหวและร่อนลงภายในเรืออย่างช้าๆ เขาหันหน้ามามองหวังหลิน
หวังหลินตรวจสอบก้อนเมฆด้วยสัมผัสวิญญาณ เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติในเรือ เขาจึงก้าวเข้าไปและร่อนลงในเรือ ฉิวซื่อผิงสร้างผนึกด้วยสองแขนและส่งวิชาหนึ่งเข้าไปในวิหคแกะสลักซึ่งทำให้เรือเคลื่อนที่
อาศัยเรือเมฆขับขี่จะเดินทางช้ากว่าการเหาะเหิน แต่เพราะมันไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณหวังหลินจึงยืนอยู่ในเรือมองไปที่ม่านแสงที่ล้อมรอบเรือ ม่านแสงป้องกันฝนสีดำที่ตกลงมาจากท้องฟ้าซึ่งตกมามากกว่าครึ่งเดือนแล้ว
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นได้ยินในสายฝนสร้างเป็นความรู้สึก “ฟ้าร้องตกลงมาในยามค่ำคืน”
ฉิวซื่อผิงยืนในเรือตัวเองและถามขึ้น “น้องหวัง เจ้าชอบเรือนี้ไหม?”
หวังหลินพยักหน้าและยกย่อง “มันเยี่ยมมาก!”
ฉิวซื่อผิงหัวเราะออกมาและพูดขึ้น “ข้าสร้างมันขึ้นมาเอง น้องหวังนอกจากการเรียนรู้กฎเกณฑ์แล้ว ข้าชอบสร้างของพวกนี้เช่นกัน ข้าทำงานหนักหลายปีเพื่อให้ได้วัตถุดิบมาสร้างมัน”
ในเวลาเดียวกันสายฟ้าหนึ่งได้แยกท้องฟ้าออกมา แม้ว่าสายฟ้าจะห่างไกลจากทะเลปิศาจแต่ผู้คนยังรู้สึกถึงพลังอำนาจ
สายฟ้านี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าสายฟ้าที่สร้างจากวิชาเซียนหลายเท่า มันมีระดับที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
ฉิวซื่อผิงมองขึ้นเข้าไปในท้องฟ้าและพึมพำ “ข้าเกิดในทะเลปิศาจและอาศัยอยู่ที่นี่มามากกว่าสองร้อยปี ครึ่งเดือนที่ผ่านมามันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นท้องฟ้า”
หวังหลินกำลังจะพูดแต่ดวงตาจับจ้องบนสิ่งที่อยู่ห่างไกล ตามจากเสียงฟ้าคำรามกลับเป็นเต่ายักษ์ตัวหนึ่งปรากฎในเส้นขอบฟ้า
บนหลังเต่ามีชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ เขากำลังชี้ท้องฟ้าและสาปแช่งไม่หยุด แม้ว่ามันจะไกลมากแต่น้ำเสียงยังเดินทางผ่านสู่โสตประสาทของทั้งสองคน
“ตาแก่ผู้นี้ยังไม่เสร็จเรื่องกับเจ้า ผู้ขโมยบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ มาต่อความผิดครั้งที่ 3783 ของเจ้ากันเถอะ…”