Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 219

Cover Renegade Immortal 1

219. สองเดือน

ความจริงแล้วหวังหลินไม่ใช่คนใจแข็งขณะที่ฟังเสียงลี่มู่หวาน แต่ร่างอวตารของเขาจำเป็นต้องบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด หากเขาพัวพันกับลี่มู่หวานตอนนี้จำทำให้แผนการเดิมของเขาเปลี่ยนไปแน่นอน การเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรง

เป็นผลให้การลากลี่มู่หวานเข้ามาด้วยไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินต้องการจะเห็น

เขาถอนหายใจ อารมณ์ของเขาปั่นป่วนและไม่สามารถระดับลงได้ด้วยตัวเอง เขาออกจากลานทิศใต้ด้วยความรู้สึกซับซ้อนในใจ

เขาคำนวณว่ามีเวลาเหลือน้อยกว่าครึ่งของสิบห้านาที ดังนั้นจึงรีบอย่างรวดเร็ว ร่างกายพลันเคลื่อนไหวราวกับสายและมาถึงด้านลานทิศตะวันตกในไม่ช้า

หลังจากหวังหลินมาถึง เขายังไม่ได้เข้าไปทันทีแต่วางกฎเกณฑ์เป็นวงกลมรอบลานทิศตะวันตกแทน จากนั้นจึงค่อยเข้าไป ด้วยสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งของเขาจึงไม่มีศิษย์ลาดตระเวณคนไหนสามารถตรวจสอบเขาได้ กระเรียนทั้งหมดร่อนลงและไม่ยอมบินโดยไม่ว่าพวกนางจะกระตุ้นพวกมันอย่างไรก็ตาม

ร่างหวังหลินเคลื่อนผ่านสายหมอกอย่างรวดเร็วและเข้ามาในลาน

มองจากภายนอก สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนดินแดนนางฟ้าและยิ่งดูเหมือนยิ่งขึ้นเมื่อเข้ามาด้านใน ระดับความงดงามของสิ่งก่อสร้างที่นี่สูงมากกว่าหลายเท่าของสิ่งก่อสร้างข้างนอก

ลำแสงสีรุ้งเส้นหนึ่งออกมาจากส่วนลึกของลานทำเหมือนสะพานสายหนึ่ง ขณะที่สตรีทั้งหมดของลานทิศตะวันตกลอยเข้าไป

แต่น่าเสียดายที่กระเรียนทั้งหมดอยู่บนพื้นทำตัวสั่นเทา ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงขาดฉากอันงดงามตระการตา

จากเส้นทางที่เฉิงเซียนบอกเขา หวังหลินจึงผ่านลานและมาถึงห้องกงซุนถงอย่างรวดเร็ว เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและพบเหตุการณ์ที่พิลึกมาก

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นกระโดดขึ้นไปบนอากาศและมาถึงข้างในห้อง มีฉากหนึ่งกั้นไว้ด้านข้างห้อง หลังฉากเป็นสองร่างอันละเอียดอ่อนกำลังอาบน้ำ

มองผ่านฉากกั้นเข้าไปสองสตรีมีรูปทรงที่งดงามขณะกำลังลูบคลำร่างกันและกัน ในไม่ช้าทั้งสองร่างกอดกันพร้อมกับเริ่มเคลื่อนไหว

ขณะเดียวกันเสียงครวญครางดังออกมาจากหลังฉากกั้น

ภายใต้สัมผัสวิญญาณของหวังหลิน เขาเห็นการกระทำของสองสาวอย่างชัดเจน ในตอนนี้หญิงที่กำลังอ้าปากหายใจได้กล่าวขึ้น “พี่ถง เฉิงเซียนคนนั้น…อ๊า!” เพียงแค่นางกำลังจะเอ่ย หญิงสาวอีกคนขยับไปจุดอ่อนไหวทันที

หลังผ่านไปนาน น้ำเสียงอ่อนโยนและขี้เกียจดังออกจากฉากกั้นด้านหลังและเอ่ยขึ้น “หลิงเอ๋อร์ เจ้ายังกังวลกับเฉิงเซียนอีกหรือ?​ใช่แล้วข้าหลอกเขาเอง แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้ารีบเร่งใช้แกนพลังในสูตรยา ข้าเพียงแค่สนใจบนตัววานรวิญญาณของเขาเท่านั้น”

“แต่…แล้วลั่วซงหล่ะ?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหลิงเอ๋อร์คือเฉิงหลิง

“แค่เชื่อข้า เมื่อลั่วซงเข้ามาพรุ่งนี้ ข้าจะติดต่อกับเขาเอง ข้าสัญญาว่าจะไม่เกิดปัญหาอันใด ลั่วซงคนนั้น….อย่างมากข้าก็ให้เข้าชิมเล็กน้อย หลิงเอ๋อร์ พี่สาวให้ช่วยเจ้าดีขนาดนี้ ตอนนี้ถึงตาเจ้าแล้ว”

หวังหลินไม่ได้เข้าไปข้างในแต่ชี้ไปที่คิ้วตนเอง ฉวี่ลี่กั๋วออกมาจากคิ้วหวังหลิน มันจ้องไปที่ฉากข้างหน้าด้วยแววตาตื่นต้น

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะจัดการมันยังไง แค่หาให้พบว่าเกิดอะไรขึ้นกับวานรวิญญาณและนำวิญญาณทั้งสองออกมา” หวังหลินหันกลับและเดินออกจากห้องช้าๆ

ฉวี่ลี่กั๋วไม่เคยพบเจอเรื่องตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อน มันรู้สึกว่าการติดตามหวังหลินเป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนโลหิตกำลังเดือดแม้ว่ามันจะไม่มีโลหิตตั้งแต่กลายเป็นปิศาจก็เถอะ

แต่นั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตวามรู้สึกของมัน

ฉวี่ลี่กั๋วเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและเข้าไปในฉากกั้น

หลังจากนั้นไม่นานมันออกมาด้วยใบหน้าพึงพอใจอย่างมาก มันคายวิญญาณสองดวงออกมาจากนั้นกลับเข้าไปในคิ้วของหวังหลิน

ในเวลาเดียวกันมันก็ส่งข้อความหนึ่งออกมาด้วย “วานรวิญญาณตัวนั้นตายแล้ว”

หวังหลินสะบัดแขนและธงวิญญาณปรากฎขึ้น เขาโยนวิญญาณทั้งสองดวงเข้าไปในธงจากนั้นเข้าไปในห้อง เขาเก็บร่างสตรีทั้งสองร่างเข้าไปในกระเป๋าและออกจากห้องทันที

ในขณะนั้นหมดเวลาสิบห้านาทีแล้ว หวังหลินเรียกคืนธงกฎเกณฑ์กลับมา ธงกฎเกณฑ์กลายเป็นหมอกสีดำและออกจากลานทิศใต้อย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวปะทุจากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดผู้นั้น เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและล๊อคเป้าที่ลานทิศตะวันตกพร้อมกับพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นไม่นานในลานทิศตะวันตก สัมผัสวิญญาณอันดุร้ายปลดปล่อยออกมาเช่นกัน หลังจากมันพบหวังหลิน สตรีผู้นั้นออกมาจากใจกลางของลานกว้าง

ไม่ต้องให้พูด หวังหลินก็จะจากไปอยู่แล้ว

ร่างสตรีนางนี้ล้อมรอบไปด้วยสายหมอกดังนั้นภาพลักษณ์ของนางจึงถูกซ่อนไว้ ขณะที่นางปรากฎตัว ร่างกายเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้ามาหลังหวังหลิน

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งเมื่อเห็นนางกำลังเข้าใกล้ เขายิ้มอย่างเยือกเย็นพลันขยับฝ่ามือและส่งคลื่นกฎเกณฑ์วงกลมเข้าหาหญิงสาว

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” สตรีนางนั้นปล่อยลมหายใจอันหนาวเหน็บ นางสะบัดแขนและตระกร้าดอกไม้ปรากฎในมือนาง ขณะที่นางสะบัดมัน กลีบดอกไม้หลากสีนับไม่ถ้วนปรากฎ แต่ละกลีบมีพลังทำลายล้างอันรุนแรงพุ่งเข้าหากฎเกณฑ์

ระดับของสตรีผู้นี้คือขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น แม้ว่าใบหน้าหวังหลินจะสงบนิ่งแต่เขาเหยียดยิ้มในใจ ขณะที่กฎเกณฑ์วงกลมเข้าใกล้กลีบดอกไม้ พวกมันแตกสลายกลายเป็นกฎเกณฑ์ขนาดเล็กนับไม่ถ้วนและกระจายทันที แม้ว่าบางส่วนจะถูกทำลาย แต่มันคืนร่างกลายเป็นกฎเกณฑ์ใหม่หลังจากผ่านกลีบดอกไม้มาได้

ความเร็วถือว่าสูง ขณะที่เปลี่ยนรูปร่างกลับเป็นกฎเกณฑ์ดังเดิม มันร่อนลงบนลานทิศตะวันตก

หวังหลินรู้อยู่แล้วว่าทั้งลานทิศตะวันตกลอยขึ้นบนอากาศได้โดยใช้กฎเกณฑ์ขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง หากหวังหลินมีเวลา เขาจะสามารถทำลายกฎเกณฑ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าเป้าหมายของหวังหลินไม่ใช่การทำลายแต่เป็นการทำให้มันสูญเสียสมดุล

เดิมทีกฎเกณฑ์ธรรมดาไม่อาจทำเช่นนี้ได้แต่กฎเกณฑ์ของหวังหลินคือกฎเกณฑ์โบราณ รวมกับเรื่องที่เขาวางกฎเกณฑ์บางส่วนไว้ก่อนแล้ว ขณะที่กฎเกณฑ์หลายอันร่อนลงจึงเกิดแรงสั่นสะเทือนผ่านลานทิศตะวันตก

กฎเกณฑ์ยักษ์สูญเสียสมดุลทันทีทำให้ทั้งลานเอียงไปด้านข้าง คลื่นเสียงกรีดร้องดังออกมาและหญิงสาวจำนวนมากเหาะเหินออกมาด้วยความหวาดกลัว

ขณะที่หวังหลินทำเรื่องทั้งหมดนี้ เขาไม่เคยหยุดเหาะเหินออกไปอย่างรวดเร็วเลย สตรีที่ไล่ล่าเขากัดฟันกรอด นางหยุดไล่หวังหลินและกลับไปที่กฎเกณฑ์ขนาดใหญ่เพื่อแก้ไขอย่างรวดเร็ว

หวังหลินออกจากลานทิศตะวันตกโดยไม่มีอุปสรรคเพิ่ม แต่เขารู้ว่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลางจากสำนักเมฆาฟ้าจะมาถึงในไม่ช้า

ชั่วขณะนั้นสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งรุนแรงส่งออกมาจากพื้นที่ห่างไกล เมื่อมันกวาดผ่านหวังหลินจึงส่งลมหายใจหนาวเน็บออกมา หวังหลินสงบนิ่ง หากเป็นคนอื่นวิญญาณคงเกิดความเสียหายไปแล้ว แต่วิญญาณของหวังหลินมีขนาดมหึมา หากวิญญาณเขาออกจากร่างกาย มันจะไม่อ่อนแอกว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณเลย แม้ว่าวิญญาณเขาตอนนี้จะถูกขังในร่างกายและไม่สามารถออกมาได้ เช่นนั้นมันจะโดนความเสียหายจากเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้อย่างไร?

ร่างกายไม่หยุดชะงักขณะที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าต่อไป

เจ้าของสัมผัสวิญญาณนั้นตกตะลึง แต่รีบล๊อคเป้าบนร่างหวังหลินขณะที่ร่างหลักของหวังหลินเข้าประชิด

เงาสีดำออกมาอย่างรวดเร็วและปรากฎในฝ่ามือหวังหลิน เงาสีดำนี้คือธงกฎเกณฑ์และเบื้องหลังมันคือเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่หวังหลินขังไว้

หลังจากธงกฎเกณฑ์ร่อนลงในฝ่ามือเขา หวังหลินเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา เขาวางลงบนพื้นและหันกลับไป ในทันทีที่กฎเกณฑ์ปรากฎใต้ฝ่าเท้านั้น ร่างกายเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย กระทั่งสัมผัสวิญญาณที่ล๊อคเป้าบนตัวเขาก็สูญเสียการติดตามไปด้วย

ร่างหลักของหวังหลินกลับมาที่ถ้ำนอกสำนักเรียบร้อยและถ้ำนั้นปกคลุมไปด้วยกฎเกณฑ์ซึ่งป้องกันสัมผัสวิญญาณไปในตัว

ในขณะเดียวกันในลานที่หวังหลินอาศัยอยู่ ร่างอวตารของเขาปรากฎจากวงกลมกฎเกณฑ์ในห้อง เขาทำความสะอาดร่างกายอย่างรวดเร็วจากนั้นนั่งลงเพื่อฝึกฝน

เรื่องนี้นับว่าเกินเลย ในอีกครั้งเดือนถัดไปเรื่องราวของร่างหลักหวังหลินจะกระจายตลอดทั้งสำนัก มีหลากหลายเรื่องเล่าที่ได้ยินกันทุกที่

กล่าวได้ว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสำนักเมฆาฟ้ามายาวนานแล้ว คนที่เข้ามาในสำนักในกลางวันแสกๆ สังหารผู้คนจากนั้นหายตัวไปจากสายไป มันเหมือนกับตบใบหน้าสำนักเมฆาฟ้าอย่างจัง

เรื่องนี้กระทั่งเตือนถึงบรรพชนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณ พวกเขาออกมาสอบสวนและพบว่าสองคนที่ถูกสังหารคือกงซุนถงและเฉิงหลิง

ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองคนเช่นเฉิงเซียนและลั่วซงถูกตั้งคำถาม แม้กระทั่งหวังหลินก็โดนสอบสวนไปด้วย ในตอนท้ายเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดคนหนึ่งใช้สัมผัสวิญญาณของตนเองเพื่อตรวจสอบว่าหวังหลินกำลังโกหกอยู่หรือไม่ ทว่านับที่วิญญาณหวังหลินมีขนาดใหญ่มากกว่าเซียนผู้นั้น เขาจึงไม่สามารถค้นหาสิ่งใดได้

ด้วยเหตุผลบางอย่าง เรื่องนี้จึงถูกทิ้งไว้

ส่วนลี่มู่หวาน นางไม่ได้ถูกลากเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งหมดนี้เป็นงานของพี่ชายที่ตามตอแยนาง แผนการของเขาลึกลับมาก เขารู้ได้ว่าตัวการก็คือสหายของลี่มู่หวาน วิชาเฉพาะของชายคนนั้นทำให้เขากลัวมาก แม้กระทั่งสามเซียนวิญญาณแรกกำเนิดก็ไม่อาจหยุดคนผู้นั้นและออกสำนักเมฆาฟ้าได้ตามต้องการ แล้วเขาจะกล้าพูดอะไรได้? หากเขาพูดถึง ชายคนนั้นคงปรากฎโดยไม่รู้ตัวและสังหารเขาแน่นอน

ชีวิตของหวังหลินกลับเข้ามาสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ในใจเขารอยยิ้มเศร้าของลี่มู่หวานทำให้เขารีบเร่ง ทุกครั้งที่เขาเห็นรอยยิ้มเศร้าอย่างนั้นเขาจะรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกแทง

ความรู้สึกนี้มาถึงจุดขีดสุดเมื่อสำนักเมฆาฟ้าประกาศถึงทั้งแคว้นซูว่ามีหนึ่งในสามนักปรุงยาอันดับห้า ลี่มู่หวาน จะจับคู่ฝึกฝนกับลูกชายผู้อาวุโสซุนจากสำนักภายนอก ซุนซานเว่ย ในอีกสองเดือน

หวังหลินนั่งเงียบๆในห้อง คิดผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาถอนหายใจและเผยความแน่วแน่ในแววตา แสงเยือกเย็นวาบผ่านนัยน์ตาขณะที่เขาลุกขึ้นและเดินตรงไปที่ลานทิศใต้

ตลอดเส้นทางไม่ได้ราบรื่นขณะที่เขาถูกกีดกันจากหมอกขาว ทว่าหลังจากเขาประกาศชื่อตนเอง มีคนผู้หนึ่งเข้าไปแจ้งต่อลี่มู่หวานและเส้นทางได้เปิดขึ้น

หวังหลินเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ แม้ว่าก้าวของเขาจะช้ามากทว่าความรู้สึกแต่ละก้าวเป็นไปอย่างแน่วแน่

หลังมาถึงนอกบ้านลี่มู่หวาน น้ำเสียงของนางลอยออกมา​“อาจารย์ของเจ้าปิดประตูฝึกฝนมาเกือบปีแล้ว หากเจ้ามีคำถามใด เจ้าสามารถถามเขาได้เมื่อเขาออกมา ตอนนี้เว้นแต่ว่าข้าจะเรียกเจ้า จงอย่ามาที่นี่อีก”

หวังหลินครุ่นคิดชั่วขณะจากนั้นพูดช้าๆ “ข้าต้องการยาเม็ดหนึ่ง ยาเม็ดที่ทำให้ข้าเพิ่มระดับฝึกฝนสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ภายในสองเดือน”

ลี่มู่หวานตกใจ นางยืนขึ้นเปิดประตูและจ้องไปที่หวังหลิน นางถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”

หวังหลินเผยใบหน้าอ่อนโยนซึ่งหาได้ยาก อย่างไรก็ตามร่องรอยอ่อนโยนนั้นถูกแทนที่ด้วยความสงบนิ่งขณะที่เขาถามขึ้น “มียาเช่นนั้นอยู่หรือไม่?”

ลี่มู่หวานกัดริมฝีปากล่าง แววตาเผยความสุขที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขณะจ้องหวังหลิน นางยังคงรู้สึกไม่แน่ใจแต่ในไม่ช้าท่าทางของนางเปลี่ยนไปขณะที่ดวงตาเยือกเย็น นางตะโกนขึ้น “เจ้าเป็นบ้าอะไร?”

ลี่มู่หวานจดจำได้ทันทีว่าหยดโลหิตในคิ้วของนางไม่ตอบสนอง ชัดเจนว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนที่นางกำลังคิด ในไม่ช้าความเกลียดชังคนผู้หนึ่งปรากฎขึ้นและตรงไปที่หวังหลินซึ่งน้ำเสียงแทบเหมือนกับคนผู้นั้น

หวังหลินมองลี่มู่หวานและถอนหายใจ เขานำมือเข้าไปในกระเป๋าและนำหยกชิ้นหนึ่งออกมา หลังมองมันเล็กน้อยจึงโยนไปให้ลี่มู่หวาน

ขณะที่หินหยกปรากฎ ทั้งร่างลี่มู่หวานกลายเป็นอ่อนยวบ หลังรับมาไว้นางต้านหยดน้ำตาแห่งความสุขที่ไหลลงบนแก้มไม่ได้เลย

“สังหารซุนซานเว่ยเป็นเรื่องง่ายแต่ข้าต้องรอจนกว่าระดับฝึกฝนของข้าสูงพอที่จะแน่ใจว่าไม่มีใครในสำนักเมฆาฟ้าจะกล้ายกขึ้นมาพูดถึง เมื่อข้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ข้าสามารถพาเจ้าไปที่ไหนก็ได้ในแคว้นซูและจะไม่มีใครกล้าขวางทางของเรา” น้ำเสียงหวังหลินดูทื่อแต่ประโยคของเขาเต็มไปด้วยความทะนงตน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!