Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 226

Cover Renegade Immortal 1

226. ออกจากแคว้นซู

หนึ่งในชายชราสะบัดแขนเสื้อโดยไร้คำพูด ทันใดนั้นก้อนเมฆสีดำนับไม่ถ้วนปรากฎในท้องฟ้า หากมองก้อนเมฆใกล้ๆจะสังเกตได้ว่ามันเป็นแมลงขนาดเท่านิ้วโป้งจำนวนมากมาย พวกมันทั้งหมดรวมตัวกันสร้างกลิ่นคาวลอยโชยในสายลม

เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของสำนักอื่นต่างรับรู้ได้ทันทีว่าก้อนเมฆสีดำนี้เป็นของหนึ่งในบรรพชนของสำนักเมฆาฟ้า สมบัติของเฉิงไป่เหลียงอันโด่งดัง แมลงหมึกม่วง

ไม่เพียงแต่แมลงหมึกม่วงจะมีพิษร้ายแรง ผิวหนังของมันยังหนามาก สมบัติปกติไม่สามารถทำอันตรายพวกมันได้ เมื่อท่านถูกพวกมันล้อมรอบเพียงไม่กี่ลมหายใจท่านก็ถูกกลืนกินหมดจด แม้กระทั่งกระดูกก็ไม่มีเหลือ

นอกจากนั้นแม้จะมีเซียนคนใดหลบพวกมันได้ ตราบใดที่ถูกกัดเข้าไปนับว่ารอดตายยากนัก พิษของแมลงพวกนี้ถูกจัดอันดับอยู่ที่ตำแหน่ง 184 พิษอันมีชื่อเสียงของโลกแห่งเซียน

กล่าวได้ว่าพิษชั้นยอดหนึ่งร้อยอันดับแรกเกือบสูญพันธุ์ไปหมดแล้วดังนั้นเพียงแค่พูดถึงแมลงหมึกม่วงก็นับว่าทำให้ผู้คนใบหน้าซีดได้แล้ว

เมื่อแคว้นอันดับสี่มาเยี่ยมสำนักเมฆาฟ้า พวกเขามักจะขอแมลงหมึกม่วงไปหลายตัวเพราะกระทั่งแคว้นอับดับสี่ยังนับว่าแมลงเหล่านี้เป็นสมบัติหายาก

ขณะที่ก้อนเมฆปรากฎขึ้น หวังหลินโยนลิ่วเฟยไว้ด้านข้าง เขาตบกระเป๋าและนำธงกฎเกณฑ์ออกมา ภายในการควบคุมของหวังหลิน ผืนธงขยายขนาดขึ้นและล้อมรอบเขาและลี่มู่หวาน

ในเวลาเดียวกันขอบเขตจวี่ของหวังหลินเคลื่อนไหว แรงกดดันอันทรงพลังกลับมาอีกครั้งทำให้ใบหน้าของบรรพชนทั้งห้าคนเปลี่ยนไปทันที พวกเขารีบนำสมบัติออกมาปกป้องตัวเองอย่างรวดเร็ว

ขอบเขตจวี่สร้างเป็นสายฟ้าแดงกระพริบวาบขณะที่มันแทงทะลุผ่านก้อนเมฆและพุ่งเข้าหาคิ้วของเฉินไป่เหลียง

เฉินไป่เหลียงเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ว่าสายฟ้าแดงนี้มีพลังที่สามารถทำลายทุกอย่างที่ปะทะได้ ในจังหวะวิกฤตนั้นร่างกายเขาเคลื่อนไหวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกว้างขณะที่แขนทั้งสองข้างสร้างผนึกขึ้นและวิญญาณเซียนปรากฎขึ้นเหนือศีรษะและเริ่มสร้างผนึกเช่นกัน

ชั้นป้องกันหลายชั้นสร้างขึ้นเพื่อขัดขวางสายฟ้าแดง แต่สายฟ้าแดงลบล้างชั้นป้องกันได้อย่างรวดเร็ว

เฉินไป่เหลียงไม่ลังเล เขากัดลิ้นตัวเองและพ่นโลหิตออกมา วิญญาณเซียนของเขาพ่นเนื้อวิญญาณออกมาขณะที่ร้องตะโกนขึ้น “โล่โลหิต!”

เนื้อวิญญาณได้รวมกับโลหิตสร้างเป็นลูกปัดโลหิตก้อนหนึ่งทันที สายฟ้าแดงมาถึงในพริบตาและเข้าไปในลูกปัดโลหิต

เฉินไป่เหลียงตะโกน “ทำลายลวงตา!” เส้นผมสีขาวปลิวไสวโดยไม่มีแรงลมและรอยแยกหนึ่งในอากาศปรากฎถัดจากลูกปัดโลหิต แสงสีดำทะลักออกมาจากรอยแยกขณะที่ดูดกลืนลูกปัดโลหิตที่มีสายฟ้าแดงอยู่ข้างใน เมื่อลูกปัดโลหิตเข้าไปในรอยแยกมันจึงปิดลง

หน้าผากเฉินไป่เหลียงปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเงียบ เขาพึ่งถึงกับประตูนรก หากช้าไปนิดเดียวเขาคงตายไปแล้ว

เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสี่คนเบื้องหลังเผยสัญญาณแห่งความหวาดกลัว

หวังหลินยังไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำขณะที่จดจ้องเฉินไป่เหลียง หวังหลินถอนหายใจ ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายนับว่าไม่เหมือนกับเซียนที่เหลือ เป็นครั้งแรกที่ขอบเขตจวี่ของเขาถูกใครหยุดได้

เฉินไป่เหลียงสูดหายใจลึก ใบหน้าเคร่งเครียดขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงบึ้งตึง “สมบัติทรงพลังอะไร! แต่มันถูกส่งเข้าไปในรอยแยกมิติแล้ว ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้ามีสมบัติอะไรอีก! แมลงหมึกม่วงจงกลืนกินคนชั่วช้านั่นซะ!” เฉินไป่เหลียงสะบัดแขนและทันใดนั้นก้อนเมฆพุ่งเข้าหาหวังหลินและลี่มู่หวานทันที

ลี่มู่หวานเผยใบหน้าตกใจ นางจับกระเป๋าแน่นและกำลังจะตอบโต ทว่าหวังหลินพูดขึ้น “ไม่จำเป็น”

เช่นนั้นเขาสะบัดแขนพลันมิติเบื้องหน้าเขาฉีกขาด ตามมาด้วยเสียงรุนแรงในมิติ สายฟ้าแดงพุ่งออกมาและหายวับเข้าไปในแขนหวังหลิน

ในเวลาเดียวกันธงกฎเกณฑ์รอบๆหวังหลินขยายออกจนมันขังแมลงหมึกม่วงไว้ข้างใน

ลำแสงกฎเกณฑ์หลายเส้นเปล่งประกายจากข้างใน ไม่ว่าแมลงหมึกม่วงจะมีจำนวนเท่าไหร่ พวกมันก็ไม่อาจหนีออกจากธงกฎเกณฑ์ได้

ใบหน้าเฉินไป่เหลียงซีดขาว เขาจ้องหวังหลินและเอ่ยคำพูดทีละคำ “เจ้ามาจากนรกแห่งใดกัน? ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำเรื่องนี้เพื่อนักปรุงยาเท่านั้น โปรดบอกความประสงค์ของเจ้ามา”

หวังหลินกล่าวอย่างสงบนิ่ง “ข้าต้องการสำนักเมฆาฟ้า!”

เฉินไป่เหลียงหัวเราะสุดขีด เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เจ้าโอหังเสียจริง แม้เราทั้งห้าคนไม่สามารถป้องกันสมบัติสายฟ้าแดงของเจ้าได้ หากเราร่วมมือกัน เรายังสามารถทำให้เจ้าเกิดบาดแผลสาหัส…”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ หวังหลินยกแขนขึ้นและเส้นสีแดงปรากฎบนฝ่ามือ ขณะที่แสงสีแดงปรากฎท้องฟ้าพลันเปลี่ยนไปและดูเหมือนก้อนเมฆแดงจะรวมตัวกัน เหตุการณ์นี้ช่างคล้ายลึงกับสายฟ้าลงทัณฑ์สวรรค์ในทะเลปิศาจ

เฉินไป่เหลียงหยุดพูดทันที เขาจ้องสายฟ้าแดงขณะที่สูดหายใจเอาอากาศหนาวเหน็บเข้าไป ขณะนั้นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสี่คนด้านหลังเคลื่อนตัวขึ้นและจ้องแสงสีแดง ชายชราหนึ่งในบรรชนที่ดูรูปร่างราวกับเทพบุตรพลันเอ่ยขึ้น “นี่…นี่มันเป็น…” เขามองขึ้นไปที่ก้อนเมฆสีแดงในท้องฟ้า ใบหน้าเผยความหวาดกลัวสุดขีด

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งขณะที่เขาเอ่ยช้าๆ “ถูกต้องแล้ว ด้วยระดับฝึกตนของข้า แม้พวกท่านทั้งห้าคนโจมตีข้าในครั้งเดียว ถึงข้จะสังหารพวกท่านได้สองสามคน ข้าก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หากข้าใช้สมบัติชิ้นนี้ ผลลัพธ์จะแตกต่างกัน นี่คือสายฟ้าลงทัณฑ์สวรรค์ ข้าอยากรู้จริงๆว่าหากพวกท่านทั้งห้าคนร่วมมือกันจะต่อต้านสายฟ้าลงทัณฑ์สวรรค์ได้หรือไม่”

ในที่สุดหวังหลินก็สามารถผลักเสี้ยวสายฟ้าลงทัณฑ์สวรรค์ออกจากร่างกายได้ตอนที่บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด แม้ว่าเขาไม่สามารถปรับปรุงมันให้กลายเป็นสมบัติได้ เขายังสามารถใช้มันเรียกสายฟ้าลงทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างดี

ทั้งห้าคนเงียบกริบทันที พวกเขาไม่สงสัยเลยว่ามันเป็นของจริงหรือไม่เนื่องมาจากแรงกดดันที่มันปลดปล่อยออกมาและค่อยๆรวมเข้ากับก้อนเมฆสีแดงอย่างช้าๆเพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจของการลงทัณฑ์สวรรค์

ชายชรามองไปที่เส้นสีแดงด้วยความหวาดหวั่นและพูดช้าๆ “เราต้องพูดคุยเรื่องนี้กันก่อน โปรดรอสักครู่”

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งขณะที่เขาเอ่ยอย่างช้าๆ “ท่านทำได้ แต่…” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนั้นพลันโยนเส้นสีแดงไปบนท้องฟ้า ก้อนเมฆสีแดงรวมตัวกันรอบๆมันอย่างรวดเร็ว

ทั้งห้าคนมองไปบนท้องฟ้าและเผยใบหน้าตื่นตระหนก

ขณะที่โยนเส้นด้ายสีแดงขึ้นไป ร่างกายหวังหลินพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับขอบเขตจวี่กระพริบออกมาอีกครั้ง ธงกฎเกณฑ์เบื้องหลังเขาตามมาอย่างกระชั้นชิด

ใบหน้าของเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งห้าคนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาสามารถถอยออกมาได้แต่กลับช้าไปก้าวหนึ่ง ขอบเขตจวี่มาถึงร่างเฉินไป่เหลียงในเวลานั้นและเขาไม่มีเวลาต่อต้านได้ทัน เขามักจะป้องกันตัวเองอยู่เสมอแต่ดันเกิดช่องว่างตอนที่หวังหลินโยนสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ขึ้นไป

ใบหน้าเฉินไป่เหลียงซีดเผือดและดวงตาเลื่อนลอย แต่เขายังเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายคนหนึ่งและสามารถใช้ระดับฝึกฝนของตัวเองเพื่อตรงเข้าหาการทำลายของขอบเขตจวี่ที่เข้าสู่จิตสำนึก ร่างกายพลันตกลงสู่พื้นทันทีและเขาเริ่มทำสมาธิ เขาไม่สามารถถูกอะไรรบกวนได้อีก หากช้าไปมากกว่านี้เขาคงจะตาย แม้แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถหยุดการทำลายของสายฟ้าแดงในวิญญาณเขาได้หรือไม่

ซ่งฉิงและผู้อาวุโสคนอื่นๆมาถึงข้างๆเฉินไป่เหลียงเพื่อป้องกันเขาอย่างรวดเร็ว

ตามขอบเขตจวี่มาอย่างกระชั้นชิดคือธงกฎเกณฑ์ซึ่งมาถึงเบื้องหน้าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกคนและล้อมรอบเขาไว้

ใบหน้าเซียนคนนั้นเศร้าหมองแต่ตราบใดที่เขาไม่ได้เผชิญกับสายฟ้าแดง เขาไม่ได้เกรงกลัวมากนั้น ทว่าขณะที่กำลังจะวิ่งออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างพลันมืดมิดทันที เขาตระหนักได้ว่าต้องเข้ามาสู่กฎเกณฑ์หนึ่งแน่ๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้รวดเร็วเกินไป มันเกือบจะเป็นเวลาเดียวกันที่หวังหลินโยนสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ออกไปซึ่งเขาโจมตีเฉินไป่เหลียงด้วยขอบเขตจวี่และกักขังเซียนอีกคนด้วยธงกฎเกณฑ์

เป็นผลให้มีคนเหลืออยู่เพียงสามคนเท่านั้น

หวังหลินสะบัดแขนไปที่เส้นสีแดงซึ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มันกลับเข้าสู่แขนเขาในครั้งเดียว หวังหลินจ้องเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสามคนและเอ่ยช้าๆ “ตอนนี้มีพวกท่านเหลืออยู่สามคน แม้ท่านจะรวมตัวกันได้ ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถสังหารท่านทั้งหมดได้ทีละคน”

ใบหน้าบรรพชนทั้งสามคนเศร้าหมอง หนึ่งในนั้นมองเฉินไป่เหลียงที่กำลังนั่งสมาธิอยู่และอีกคนที่ถูกขังไว้ในธงกฎเกณฑ์ จึงช่วยไม่ได้ที่หัวใจเขาจะจมดิ่งลง

สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นำโลหิตวิญญาณของท่านมา!”

ชายชราที่ดูราวเทพบุตรพลันสูดหายใจลึก “ข้าฝึกฝนมามากกว่าหนึ่งพันสามร้อยปีและไม่เคยยกโลหิตวิญญาณให้กับใคร”

ดวงตาหวังหลินกระพริบวาบขณะที่เขาพูดจาเบาๆ “ข้าไม่ได้มีความแค้นอันใดกับท่าน แต่ที่ท่านไม่ยกโลหิตวิญญาณของท่านมาก็จงอย่ากล่าวหาว่าข้าโหดเหี้ยม”

เช่นนั้นหวังหลินชี้ไปที่คิ้วตนเองและปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศาจน้อยพลันออกมา หลังจากที่ทั้งสองตัวปรากฎ พวกมันมองไปรอบๆและสายตาหันไปทางเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งสามคน

ในเวลาเดียวกันเฉินไป่เหลียงซึ่งกำลังนั่งสมาธิบนพื้นได้ล้มลง บรรพชนของสำนักเมฆาฟ้าตายไปแล้วหนึ่ง

เมื่อเขาตาย เซียนอีกสามคนมีใบหน้าจมดิ่ง หนึ่งในบรรพชนลังเลเล็กน้อยจากนั้นพูดอย่างบูดบึ้ง “หากข้าให้โลหิตวิญญาณเจ้าก็เหมือนกับตายไปแล้ว ข้าอาจจะขอเสี่ยงสู้กับเจ้าเสียดีกว่า แม้ข้าจะตายก็ไม่เสียใจ”

หวังหลินเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ส่งโลหิตวิญญาณของท่านมา หลังผ่านไปห้าร้อยปีข้าจะคืนมันให้ท่าน”

ใบหน้าชายชราเผยอาการดิ้นรน หลังผ่านไปนานเขาถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ข้าหวังว่าท่านจะไม่ผิดสัญญา” สิ้นคำเขามองสหายด้วยความเคารพขณะที่ชี้ไปที่ระหว่างคิ้วตนเองและหยดโลหิตสีทองปรากฎออกมา หลังจากหวังหลินรับโลหิตมา ชายชราร่อนลงบนพื้นและเงียบเสียงลง

ชายชราที่ดูราวกับเทพบุตรยิ้มขึ้นอย่างขมขื่นและมองไปที่บรรพชนคนอื่น หนึ่งในที่เหลือมองร่างเฉินไป่เหลียงและถอนหายใจ “ดีมาก! ดีมาก!” เช่นนั้นเขาชี้นิ้วไปที่ระหว่างคิ้วและยื่นโลหิตวิญญาณออกมา เขานั่งลงบนพื้นและเริ่มหลับตาทำสมาธิและไม่มีใครก่อกวนอะไรอีก

ขณะนั้นหลงเหลือเพียงชายชรารูปร่างราวเทพบุตร เขาครุ่นคิดชั่วขณะจากนั้นชี้ไปที่ชายที่ถูกขังไว้ในธงกฎเกณฑ์ พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ได้โปรดไม่สังหารหยุนเทียนจื่อจะได้ไหม?”

หวังหลินสะบัดแขนขวา รอยร้าวปรากฎขึ้นทันทีในธงกฎเกณฑ์และหยุนเทียนจื่อลอยออกมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขามืดหม่น เมื่อฟื้นคืนสติได้จึงสังเกตว่ามีบางสิ่งขาดไป หลังมองไปรอบๆใบหน้าจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก

ชายชราเหมือนเทพบุตรถอนหายใจและส่งเสียงสื่อสารไปที่หยุนเทียนจื่อ หยุนเทียนจื่อมองชายชราด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง

ทั้งสองคนขบคิดชั่วขณะพลันส่งโลหิตวิญญาณให้หวังหลินด้วยใบหน้าเยือกเย็น

เป็นผลให้บรรพชนของสำนักเมฆาฟ้าทั้งห้าคน หนึ่งคนตายและสี่คนยอมจำนน

ซ่งฉิงปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ จิตใจเขาว่างเปล่าเรียบร้อยและไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดต่อ ส่วนลิ่วเฟย สายตาเขาเต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่คาดคิดว่าแม้กระทั่งเหล่าบรรพชนก็ไม่สามารถจัดการหวังหลินได้ หรือว่าสำนักเมฆาฟ้าจะเปลี่ยนจ้าวสำนักจริงๆ?

หลังจากหวังหลินได้รับโลหิตวิญญาณมา สายตาจดจ้องไปที่ซ่งฉิงและลิ่วเฟย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงบังคับ “เซียนขั้นแกนลมปราณทั้งหมดต้องส่งโลหิตวิญญาณของตนเองมา! ไม่มีข้อยกเว้น!”

ร่างซ่งฉิงสั่นสะท้าน เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็วและยื่นโลหิตวิญญาณของตัวเองให้ ส่วนลิ่วเฟยและผู้อาวุโสอีกสองคนต่างยื่นให้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ในที่สุดสายตาหวังหลินจึงจรดไปบนเหล่าเซียนจากสำนักอื่นๆ สายตาเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งขณะที่เอ่ยขึ้น “ข้าไม่ต้องการเห็นพวกท่านทั้งหมด”

ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลันกล่าวลาอย่างรวดเร็วและออกจากสำนักเมฆาฟ้า ไม่นานนักจึงเหลือเพียงคนอยู่ไม่กี่คน

ใบหน้าหวังหลินเป็นเช่นเดิม เขากอดลี่มู่หวานและมุ่งขึ้นไปลานทิศใต้ ในไม่กี่ลมหายใจเขาจึงมาถึงลานทิศใต้และเข้าไปในบ้านลี่มู่หวาน ขณะที่นางกำลังจะเอ่ย ใบหน้าหวังหลินซีดเผือดทันทีและเขาไอออกมาเป็นโลหิตจำนวนมากพร้อมกับร่างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้

ลี่มู่หวานตกตะลึง หวังหลินสูดหายใจลึกและพูดอย่างเร่งรีบ “ข้าจำเป็นต้องปิดด่านฝึกตนไม่กี่วัน หวานเอ๋อร์โปรดคุ้มครองข้าด้วย”

เช่นนั้นร่างกายหวังหลินหายไปและปรากฎตัวอีกครั้งในห้องลี่มู่หวาน หลังจากเขาเข้าไปในห้องจึงชี้นิ้วที่คิ้วตนเองและเข้าไปในลูกปัด

เมื่ออยู่ข้างใน เขานั่งหลับตาขัดสมาธิลง ใบหน้าซีดขาวโดยไม่มีร่องรอยโลหิต

ความจริง หวังหลินไม่ได้เข้าสู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้สำเร็จ

ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาจะต้องสังหารทุกคนที่ขวางทาง นำเม็ดยาทั้งหมดมาและออกจากสำนักเมฆาฟ้าพร้อมกับลี่มู่หวานแทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการรับโลหิตวิญญาณทุกคนมา

ที่ผ่านมายี่สิบวันหลังจากร่างอวตารของเขากินเม็ดยาอันดับหกไป มันได้บรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดและกระทั่งไปถึงจุดสูงสุดขั้นต้นได้ เมื่อถึงจุดนนั้นนับว่าไม่มีปัญหาใด

ทว่าเมื่อร่างอวตารรวมเข้ากับร่างหลักจึงเกิดปัญหา

ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเป็นไปตามแผน ร่างอวตารรวมเข้ากับร่างหลักและเริ่มช่วยร่างหลักทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิด

ทว่าเขาประเมินความยากของการผ่านคอขวดขอบเขตจวี่ต่ำเกินไป มีอัจฉริยะกี่คนกันที่ถูกขีดจำกัดของขอบเขตจวี่ขีดเส้นไว้และไม่สามารถผ่านได้?

กล่าวได้ว่าการพัฒนาขอบเขตจวี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะขอบเขตจวี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของทัณฑ์สวรรค์ แล้วคนธรรมดาจะเกี่ยวพันกับพลังสวรรค์ได้อย่างไร? แม้กระทั่งเหล่าเซียนก็ไม่มีพลังเช่นนั้น พลังนั่นเป็นของสวรรค์

ในระหว่างด่านสุดท้ายของกระบวนการหลอมรวม หวังหลินไม่สามารถทำให้ร่างหลังบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ ภายใต้ความสิ้นคิดนั้นหวังหลินบังคับให้ร่างอวตารจมเข้าไปนั่งในจุดตันเถียนของร่างหลักแทนที่วิญญาณเซียน

แม้ว่ากระบวนนี้ทำให้เขายกระดับขั้นขึ้นไปถึงวิญญาณแรกกำเนิดชั่วคราวและยอมให้ขอบเขตจวี่มีพลังถึงวิญญาณแรกกำเนิด มันกลับไม่ใช่สิ่งสุดท้าย ทุกครั้งที่เขาใช้ขอบเขตจวี่จะทำให้ใช้พลังวิญญาณเซียนและพลังสัมผัสวิญญาณของเขาจำนวนมาก

ขอบเขตจวี่ไม่มีพลังเป็นของตนเองและตอนนี้มันทำหน้าที่เหมือนกับสมบัติชิ้นหนึ่งแทน การสั่งการสมบัติชิ้นหนึ่งเขาต้องใช้พลังปราณ ทว่าการใช้ขอบเขตจวี่ไม่เพียงแต่เขาต้องใช้พลังปราณจำนวนมาก เขายังต้องใช้สัมผัสวิญญาณและพลังวิญญาณเซียนของตัวเองด้วย

แม้ว่าสถานการณ์แบบนี้ดูน่าผิดหวัง แต่ไม่ใช่มันจะไม่มีประโยชน์ เมื่อร่างอวตารรวมเข้ากับร่างหลัก อายุขัยสามสิบปีของร่างอวตารหายไปโดยธรรมชาติ ตอนนี้ไม่มีความแตกต่างระหว่างร่างหลักและร่างอวตาร หากจะแบ่งจริงๆเช่นนั้นวิญญาณเซียนคือร่างอวตารของเขาและร่างกายคือร่างหลัก

กล่าวให้ถูกต้องก็คือระดับฝึกฝนของเขาตอนนี้อยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นขั้นสูงสุดและขอบเขตจวี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเขา

หากไม่เช่นนั้นสำนักเมฆาฟ้าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป

การใช้ขอบเขตจวี่หลายครั้งในคราเดียวกลับบริโภคพลังวิญญาณเซียนจำนวนมากซึ่งทำให้เขาบาดเจ็บ หลังจัดการพลังปราณในร่างกายและกินเม็ดยาขนานใหญ่ ในที่สุดเขาก็ทำตัวเองให้เสถียรได้เสียที

การฟื้นฟูนี้ใช้เวลาเต็มเจ็ดวัน ทว่าในโลกแห่งความจริงพึ่งผ่านไปวันเดียว

หลังจากออกมิติลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ดวงตาหวังหลินส่องประกาย แม้ว่าขอบเขตจวี่จะเปลี่ยนไปเหมือนสมบัติวิเศษ อย่างน้อยในที่สุดเขาก็ทำลวงผ่านขั้นแกนลมปราณไปสู่วิญญาณแรกกำเนิดได้

ถึงเวลาจะกลับแคว้นจ้าวไปล้างแค้นแล้ว!

ลี่มู่หวานเปิดประตูเข้ามาในทันทีที่เขาปรากฎตัวในห้อง นางยืนถัดจากเขาและกระซิบ “ท่านพี่รู้สึกดีขึ้นไหม?”

หวังหลินมองลี่มู่หวานด้วยแววตาอ่อนโยน ฝ่ามือลูบเส้นผมลี่มู่หวานขณะเอ่ยขึ้น “ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว”

“กะ…เกิดอะไรผิดพลาดตอนที่ท่านบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหรือ?” ลี่มู่หวานมองหลังหลินด้วยสายตากังวลและกล่าวต่อ “หวังหลิน ข้าต้องการความจริง ข้าต้องการรู้ทุกท่านเกี่ยวกับท่าน ข้าหวังว่าท่านจะบอกข้าได้ ตกลงไหม?”

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อย เขามองลี่มู่หวานและเห็นสายตาเคร่งเครียด ดังนั้นจึงค่อยๆพูด “ตกลง เจ้าจะรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว ข้าไม่ได้มาจากแคว้นฮั่วเฝิน ความจริงข้าเกิดในสถานที่แห่งหนึ่งห่างจากที่นี่ ในแคว้นอันดับสามชื่อว่าแคว้นจ้าว…”

หวังหลินอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแคว้นจ้าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและสถานะปัจจุบันของร่างกายเขา เขาพูดทุกอย่างอย่างนิ่งๆราวกับกำลังเล่าเรื่องเกี่ยวกับคนอื่น

ดวงตาลี่มู่หวานที่ไม่รู้เรื่องราวกลายเป็นสีแดง นางไม่เคยเดาว่าหวังหลินมีเรื่องราวเบื้องหลังเช่นนั้น

หลังเวลาผ่านไปนาน ลี่มู่หวานกัดริมฝีปากเล็กน้อยและกระซิบ “ตอนนี้ท่านกำลังจะกลับไปแคว้นจ้าวหรือ?”

แสงเย็นเยียบกระพริบวาบผ่านแววตาหวังหลิน เขาพยักหน้า “ตอนนี้เมื่อข้ากลับไป ข้าจะทำให้แม้น้ำไหลด้วยโลหิตของตระกูลเถิง เจ้าควรจะมากับข้าเช่นกัน”

คิ้วลี่มู่หวานขมวดเป็นปม หลังครุ่นคิดชั่วขณะ นางเอ่ยขึ้น “ทุกครั้งที่ท่านใช้ขอบเขตจวี่ มันจะใช้พลังวิญญาณเซียนจำนวนมาก นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว…” นางยกศีรษะขึ้นและมองไปที่หวังหลินด้วยแววตามุ่งมั่น “ข้าต้องการพักอยู่ที่สำนักเมฆาฟ้า มีเพียงอยู่ที่นี่เท่านั้นข้าถึงจะมีวัตถุดิบและเงื่อนไขในการฝึกฝนการปรุงยาครบถ้วน หากข้าสามารถสร้างเม็ดยาอันดับหกได้ มันจะช่วยสถานการณ์ตอนนี้ของท่านอย่างมาก”

หวังหลินเงียบเสียง เขามองลี่มู่หวานและถามขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือ?”

ลี่มู่หวานพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม นางเผยรอยยิ้ม “เพียงท่านให้โลหิตวิญญาณของเหล่าวิญญาณแรกกำเนิดพวกนั้นกับข้า โปรดอย่ากังวลเรื่องความปลอดภัยของข้า หวานเอ๋อร์อยู่สำนักเมฆาฟ้ามานานแล้วและสามารถดูแลเรื่อวพวกนี้ด้วยตัวเอง ข้าต้องการเปลี่ยนสำนักเมฆาฟ้าเป็นสำนักที่สร้างเม็ดยาให้ท่าน!”

หวังหลินมองลี่มู่หวาน เขาขมวดคิ้ว “หากพวกแคว้นอันดับสี่มาที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน?”

ลี่มู่หวานเผยรอยยิ้มเต็มไปด้วยความรังเกียจและเอ่ยขึ้น “สำนักอันดับสี่พวกนั้นไม่สนใจว่าสำนักเมฆาฟ้าเป็นของใคร ตราบใดที่เราให้เม็ดยาพวกมันนับว่าไม่มีปัญหา หวังหลิน ข้ารับรองท่านว่าข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง”

หวังหลินสูดหายใจลึก เขาไม่เคยเป็นคนลังเล เมื่อลี่มู่หวานตัดสินใจแล้วเขาจะไม่พยายามเปลี่ยนใจนางอีก หลังขบคิดชั่วขณะจึงชี้นิ้วไปที่คิ้วตนเองและเจ้าปิศาจน้อยออกมา เจ้าปิศาจน้อยคำนับหวังหลินอย่างเคารพ สายตาของมันเต็มไปด้วยความยกย่องสรรเสริญ

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและเขากล่าวขึ้นมา “นับตั้งแต่บัดนี้ เจ้าจงอยู่ข้างกายลี่มู่หวานเสมอ อย่าลืมซะหละ”

เจ้าปิศาจน้อยมองลี่มู่หวานและพยักหน้า มันกลายเป็นลำแสงสีดำและหายเข้าไปในระหว่างคิ้วลี่มู่หวาน

ลี่มู่หวานตกตะลึง นางจดจำเจ้าปิศาจที่หวังหลินพูดถึงเมื่อครู่ได้ทันทีจึงช่วยไม่ได้ที่มีสายตาอยากรู้อยากเห็น นางคิดเกี่ยวกับเจ้าปิศาจน้อยและมันออกมาจากระหว่างคิ้วของนาง นางชื่นชอบเจ้าปิศาจรูปร่างอสูรตัวนี้อย่างจัง

หลังครุ่นคิดเล็กน้อยหวังหลินยังคงกังวลดังนั้นเขาจึงสะบัดแขนและนำธงกฎเกรฑ์ที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมา เขายื่นธงให้กับลี่มู่หวาน “หากเจ้าใช้สมบัตินี้อย่างถูกจังหวะ แม้จะเจอกับเซียนขั้นตัดวิญญาณสักคน เจ้ายังปกป้องตัวเองได้! หากมีอันตรายเกิดขึ้นข้าจะรู้ผ่านการเชื่อมต่อกับเจ้าปิศาจและข้าจะกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้”

ลี่มู่หวานมองหวังหลิน นางไม่ได้ปฏิเสธแต่รับธงกฎเกณฑ์อย่างเชื่อฟังและเก็บไว้อย่างระมัดระวัง

หลังจากเรื่องทั้งหมด หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกและกวาดผ่านทั้งสำนักเมฆาฟ้าทันที เมื่อพบซ่งฉิงและบรรพชนทั้งสี่คน เขาส่งข้อความหนึ่งเพื่อบอกให้พวกเขารวมตัวกันทั้งหมดที่นี่

ไม่นานนักเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมดในสำนักเมฆาฟ้าแสดงตัวออกมา บางคนให้โลหิตวิญญาณกับหวังหลินโดยตรงและบางคนให้กับลี่มู่หวานรับไว้ตอนที่หวังหลินปิดป่านฝึกตน

กล่าวได้ว่าทั้งสำนักเมฆาฟ้าอยู่ในอุ้งมือของหวังหลิน เพียงแค่คิดเขาก็สังหารพวกเขาได้ทั้งหมด

ในเบื้องหน้าคนทั้งหมดนี้ เขานำโลหิตวิญญาณออกมาและยื่นให้ลี่มู่หวาน

บรรพชนทั้งสี่คนเผยใบหน้าประหลาดใจ หลังมองลี่มู่หวานพวกเขาไม่ได้เอ่ยอะไร ส่วนซ่งฉิงและผู้อาวุโสต่างผ่อนคลายเล็กน้อย เทียบกับหวังหลินแล้วพวกเขาพบว่าการยอมรับลี่มู่หวานนับว่าง่ายกว่า เนื่องจากลี่มู่หวานเดิมทีก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง

ลี่มู่หวานรับโลหิตวิญญาณและมองไปที่ผู้คนของสำนักเมฆาฟ้า นางเผยรอยยิ้มหวานและกล่าวอย่างเรียบร้อย “สตรีน้อยคนนี้จะดูแลสำนักเมฆาฟ้าเพื่อสามี ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะดูแลข้าเช่นกัน สำหรับบรรพชนทั้งสี่ สถานะของท่านนับว่าสูงส่ง ดังนั้นโปรดอย่าทำให้โลหิตวิญญาณเสียหาย หลังผ่านไปห้าร้อยปีหวานเอ๋อร์จะคืนมันให้แน่นอน ข้าหวังว่าห้าร้อยปีท่านบรรพชนไม่คิดอะไรมาก ข้าจะสร้างเม็ดยาเพื่อเพิ่มอาขุขัยของพวกท่านเป็นคำขอโทษ แม้ว่ากระบวนการปรุงยานับว่ายากและวัตถุดิบซึ่งหายากยิ่งกว่า ข้าจะปรุงให้คนละหนึ่งเม็ดทุกห้าสิบปี เม็ดยาหนึ่งเม็ดจะเพิ่มอายุขัยให้ห้าสิบปี”

ชายชราราวกับเทพบุตรมีใบหน้าเปลี่ยนไป เขาถามด้วยน้ำเสียงต่ำ “เพิ่มอายุขัย?”

อีกสามคนขมวดคิ้วขึ้น กล่าวได้ว่าอายุขัยเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากต่อพวกเขา แม้ว่าเม็ดยาที่สามารถเพิ่มอายุขัยจะมีอยู่จริงในโลกแห่งเซียน ทั้งหมดต่างเป็นเม็ดยาอันดับหกและมีราคาแพงหูฉี่

“ข้ามีห้าเม็ดอยู่ตรงนี้ ท่านทั้งสี่ตรวจสอบมันได้” ลี่มู่หวานยิ้มและนำขวดหนึ่งออกมา นางรินเม็ดยาออกและวางทั้งหมดให้ผู้อาวุโส

ชายชราที่ราวกับเทพบุตรจ้องมองเม็ดยาจากนั้นมองบรรพชนอีกสองคนก่อนสายตาจะตกลงบนหยุนเทียนจื่อ หยุนเทียนจื่อมองเม็ดยาอย่างเคร่งเครียด เขามองลี่มู่หวานและถามขึ้น “เจ้าปรุงเม็ดยานี้หรือ?”

ลี่มู่หวานยิ้มบาง “ข้าปรุงเม็ดยานี้ แต่วัตถุดิบได้มาจากสามีของข้า” เม็ดยาเหล่านี้ถูกปรุงมาจากน้ำพลังปราณของหวังหลิน

หยุนเทียนจื่อครุ่นคิดชั่วขณะ เขามองหวังหลินและร้องอุทาน “ดีมาก! เจ้าให้โลหิตวิญญาณกับอาวุโสลี่นั่นหมายถึงเจ้ากำลังจะจากไป ตราบใดที่เราได้เม็ดยาพวกนี้ เช่นนั้นเราสัญญาว่านางจะปลอดภัยไปห้าร้อยปี!”

หวังหลินพยักหน้า “เยี่ยมมาก!”

ดวงตาสวยงามของลี่มู่หวานเปลี่ยนไปและจรดลงบนซ่งฉิงและลิ่วเฟย นางยิ้ม “ทำไมพี่โอวหยางจื่อไม่มาด้วย?”

ซ่งฉิงมองหวังหลินและรีบพูด “ตอนนี้เขากำลังปรุงยาอยู่ เขาพูดว่าหากท่านให้เม็ดยาอันดับห้าทั้งหมดกับเขาเพื่อใช้ในการบวงสรวง เช่นนั้นการส่งโลหิตวิญญาณของเขาให้นับเป็นเรื่องใหญ่อันใดเล่า?”

ลี่มู่หวานหัวเราะ “พี่โอวหยางจื่อเป็นนักปรุงยาอันดับห้าเหมือนข้า หากเขาต้องการก็เอาไป มันแค่เม็ดยาอันดับห้าเท่านั้น”

เช่นนั้นลี่มู่หวานมองหวังหลินและอธิบาย “สามนักปรุงยาอันดับห้าในสำนักเมฆาฟ้านอกจากหวานเอ๋อร์และโอวหยางจื่อแล้ว ผู้อาวุโสคนที่สามคือหยุนเทียนจื่อ”

หวังหลินพยักหน้า เขาไม่ได้พูดอะไรขณะที่มองดูลี่มู่หวานจัดการทุกอย่าง

ด้วยความรู้ของลี่มู่หวานในสำนักเมฆาฟ้า นางจัดการอำนวยความสะดวกสะบายให้กับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดทั้งหมด นางสวยงามและพูดจาไพเราะมากดังนั้นด้วยคำพูดปลอบโยนและเม็ดยาเป็นของขวัญ​ความไม่พอใจที่ส่งโลหิตวิญญาณของพวกเขาให้จึงลดลงอย่างมาก

แน่นอนว่าสิ่งพวกนี้ไม่ใช่เหตุผลหลัก เหตุผลหลักก็คือโลหิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ในมือนางแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีจุดไหนให้ต่อต้าน ตอนนี้ลี่มู่หวานหาทางลงให้กับพวกเขาดังนั้นจึงไม่ดื้อดึงอีกต่อไป

หลังจากนั้นไม่นานทุกคนกระจัดกระจายไป

หวังหลินสูดหายใจลึก “นั่งลงฝึกฝน ก่อนหน้านั้นแกนพลังของเจ้าได้รับความเสียหายจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เจ้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด ข้าจะช่วยเจ้า”

ลี่มู่หวานกัดริมฝีปากและพยักหน้าขณะที่นางนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าหวังหลิน มือขวาหวังหลินตบกระเป๋าและน้ำพลังปราณที่เหลือหกขวดลอยออกมา ขวดทั้งหกแตกกระจายและพลังปราณภายในรวมเข้าด้วยกัน

หวังหลินคว้าด้วยมือขวาและพลังปราณค่อยๆเข้าสู่ร่างลี่มู่หวานผ่านหน้าผากของนาง ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขาใช้ระดับฝึกฝนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดของตัวเองเพื่อช่วยให้ร่างลี่มู่หวานฟื้นฟูจากการบาดเจ็บ

มีเพียงหวังหลินคนเดียวที่ทำเรื่องนี้ได้ นอกจากเขาแล้วไม่มีใครที่มีน้ำพลังปราณล้ำค่ามากเช่นนี้ อีกทั้งไม่มีใครที่ใช้ของมูลค่าเช่นนี้เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย

หลังผ่านไปสองชั่วโมงหวังหลินจึงเสร็จสิ้น

หลังใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนในสำนักเมฆาฟ้า หวังหลินกักเก็บน้ำพลังปราณอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเติมเต็มคลังของตัวเอง จากนั้นเขาทิ้งบางส่วนไว้ให้ลี่มู่หวาน

นอกจากนี้แมลงหมึกม่วงของเฉิงไป่เหลียงยังเก็บในกระเป๋าเผื่อกรณีที่เขาจำเป็นต้องใช้มันในอนาคต

อีกทั้งเพราะเขาให้ธงกฎเกณฑ์แก่ลี่มู่หวาน หวังหลินจึงตัดสินใจใช้เวลาไม่กี่เดือนนี้เพื่อสร้างธงกฎเกณฑ์อันใหม่ด้วยหนึ่งในหินหมึกที่เหลืออยู่สองก้อน ตอนนี้เขาตัดสินใจสร้างธงกฎเกณฑ์สำหรับการโจมตีอย่างเดียว

ทว่าการสร้างธงกฎเกณฑ์ที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวใช้เวลายาวนานมาก ซึ่งการที่มันใช้เวลานานก็เพราะต้องคิดหากฎเกณฑ์ที่แตกต่างสำหรับวางบนธง

หลังผ่านไปหลายเดือน ธงกฎเกณฑ์เกือบจะเสร็จสิ้นแต่หวังหลินกลัวว่ามันจะกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์เมื่อมันสำเร็จ ดังนั้นจึงลังเลและไม่ได้วางกฎเกณฑ์สุดท้ายลงไป เป็นผลให้มันไม่ได้แสดงพลังเต็มศักยภาพของมัน เนื่องจากมันเป็นธงกฎเกณฑ์รูปแบบเดียว แม้ว่ามันไม่ได้บรรลุระดับแรก พลังโจมตีของมันไม่ได้อ่อนด้อยกว่าธงกฎเกณฑ์ที่หวังหลินมีครั้งก่อนเลย

ในยามสายของวันหนึ่ง หวังหลินเดินบนสายลมพร้อมกับถือเม็ดยาที่ลี่มู่หวานให้เขามาตอนที่นางตรวจสอบเม็ดยาทั้งหมดในคลังของสำนักเมฆาฟ้า บนยอดโถงหลักมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ สายตานางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนขณะที่นางจ้องมองร่างหวังหลินที่หายวับไป

นางไม่รู้ว่าจะกี่เดือนกี่ปีที่ทั้งคู่จะได้เจอกันอีกครั้ง เดิมทีลี่มู่หวานต้องการจะจากไปพร้อมกับหวังหลิน แต่นางเป็นสตรีที่คิดถึงหัวอกคนอื่นอย่างมาก นางรู้ว่าหากนางอยู่รอบหวังหลิน นางจะกลายเป็นภาระต่อเขาดังนั้นจึงตัดสินใจพักอยู่ในสำนักเมฆาฟ้าเพื่อฝึกฝนการปรุงยา ทำให้ตำแหน่งของหวังหลินในใจนางมีแต่เพิ่มขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!