255. โจร
คืนหนึ่งที่ไม่มีดวงจันทร์
หวังหลินนอนอยู่บนเตียงหลังร้าน มีเหล้าไหนหนึ่งอยู่ข้างเขา หวังหลินหยิบไหขึ้นมาและดื่มลงไป หวังหลินรู้สึกได้ว่าในปีที่ผ่านมานี้เขาสามารถกำจัดความคิดของเซียนออกไปและกลายเป็นคนธรรมดาเข้ามาจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่น เขาไม่ค่อยจะฝึกฝนในตอนนี้เลยแต่เมื่อก่อนนับว่าเป็นไปไม่ได้ ในสี่ร้อยปีที่ผ่านมาของการหลบหนีและสังหาร เขากระตุ้นพลังปราณในร่างแทบตลอดเวลาและใช้เวลาว่างเพื่อค้นหาวิธียกระดับการฝึกฝน ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความตายและอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต หากเขาระมัดระวังน้อยลงเพียงเล็กน้อย เขาอาจจะตายได้
หวังหลินไม่เคยนอนลงและหลับเช่นนี้มาก่อน เขาใช้เวลากลางคืนส่วนใหญ่ฝึกฝน
รูปแบบชีวิตเช่นนั้นตื่นเต้นและเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นแต่มันก็เต็มไปด้วยความเสียใจเช่นกัน มันไม่มีความสมดุล ชีวิตเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ขาดหายไป
ตอนนี้ชีวิตของหวังหลินไม่มีเรื่องขัดแย้งอันใด แม้ว่ามันจะน่าเบื่อเล็กน้อยแต่มันเป็นการชำระล้างวิญญาณของหวังหลินให้ใสสะอาด
หวังหลินรู้สึกประหลาดใจเมื่อรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ครั้งแรกแต่เขาค่อยๆยอมรับมันและดำเนินชีวิตแบบคนธรรมดาเช่นนี้ต่อไป
หวังหลินหยิบไหขึ้นมาและกระดกไปหนึ่งอึก จากนั้นเริ่มขมวดคิ้ว
ขณะนั้นเซียนสองคนมาถึงข้างนอกร้านของเขา ทั้งสองร่างลอยเหนือร้านราวกับภูติพราย หนึ่งในนั้นสะบัดแขนและร้านของหวังหลินค่อยๆเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ทั้งสองคนเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประตูถูกปิดโดยสายลม
ข้างในร้าน ดวงตาสองคู่พลันเรืองแสงมองไปที่ไม้แกะสลักทั้งหมดในร้าน แววตาพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ความหวาดกลัวนั้นถูกแทนที่ด้วยความโลภอันไร้ที่สิ้นสุดในไม่นานนัก
“มีสมบัติวิเศษเยอะมากขนาดนี้!” หนึ่งในเซียนสองคนสูดหายใจอันหนาวเหน็บ พวกเขาคว้าจับไม้แกะสลักชิ้นหนึ่งและมองมัน ร่างกายสั่นเทาและรีบโยนไม้แกะสลักออกห่างอย่างรวดเร็ว
ความโลภในแววตาพวกเขาเริ่มมากขึ้น เขาสะบัดแขนและไม้แกะสลักทั้งหมดบนชั้นวางเข้าไปในกระเป๋า
เซียนอีกคนนั่งขดลงและค้นหากล่องในมุมหนึ่ง จากนั้นเขาร้องตะโกนขึ้นพร้อมกับถือไม้แกะสลักที่ไม่สำเร็จในมือ ใบหน้าพลันประหลาดใจขณะรู้สึกถึงความหวานในลำคอและไอออกมาเป็นลิ่มโลหิต
เขารีบโยนไม้แกะสลักในมือและถอยกลับไปราวกับไม้แกะสลักคืออสูรโบราณ
ความจริงไม่มีเรื่องประหลาดใจอะไรที่เขาจะไม่สามารถต่อต้านไม้แกะสลักได้ มันเป็นการแกะสลักจ้าวปิศาจหกปรารถนาที่ไม่สมบูรณ์ แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์ พลังกดดันในไม้แกะสลักก็คือเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย ด้วยระดับแกนลมปราณของเขาไม่มีทางที่จะต้านทานได้
ยังดีที่เขารีบทิ้งไปและแรงกดดันของไม้แกะสลักไม่ได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แค่กระอักออกมาเพียงแค่โลหิต
เมื่อไม้แกะสลักกำลังตกลงพื้น มันถูกมือล่องหนยักษ์คว้าไว้วางลงบนฝ่ามือหวังหลิน หวังหลินเดินออกไปจากหลังห้อง เขาวางไม้แกะสลักลงบนชั้นวางอย่างลวกๆจากนั้นดื่มเหล้าไปหนึ่งอึกและเอ่ยขึ้น “ทั้งหมดนั้นราคา 4,520 ทอง จ่ายมา”
เมื่อหวังหลินปรากฎตัว ทั้งสองคนพลันหยุดลงและจ้องหวังหลินด้วยใบหน้าหวาดกลัว
โดยเฉพาะเซียนที่พึ่งบากเจ็บจากแรงกดดันวิญญาณในไม้แกะสลัก ใบหน้าเขาซีดเผือดและหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
ในสายตาพวกเขา การปรากฎของหวังหลินแปลกประหลาดเกินไป ก่อนหน้าที่ทั้งสองคนจะเข้ามาในร้าน พวกเขาใช้พลังปราณเพื่อตรวจสอบข้างใน แม้ว่าจะมีเพียงหนึ่งคนในหลังห้องแต่มันเป็นเพียงคนธรรมดาคนเดียว
แต่ตอนนี้คนธรรมดาในสายตาพวกเขาปรากฎเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ ราวกับสายฟ้าฟาดใส่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว
รวมกับสมบัติวิเศษไม้แกะสลักเหล่านี้ แม้ทั้งสองจะโง่เพียงไหนก็คงเข้าใจว่าคนเบื้องหน้าคือผู้อาวุโสที่พวกเขาไม่ควรตอแยด้วย
ทั้งสองคนมองหน้ากันเองและพูดอย่างเคารพ “ขอคารวะท่านอาวุโส ผู้น้อยทั้งสองเป็นศิษย์ของสำนักเมฆาสีขาว ผู้น้อยไม่สุภาพและหวังว่าท่านอาวุโสจะให้อภัยพวกเรา”
หวังหลินถามอย่างเรียบเฉียบ “เจ้ามีเหรียญทอง 4520 ไหมเล่า?”
ทั้งสองคนมองหน้ากันเอง พวกเขาเป็นเซียนหากมันเป็นหินวิญญาณพวกเขาคงพอมีบ้าง แต่พวกเขาไม่มีเงินที่ใช้กันในหมู่คนธรรมดาตอนนี้ แน่นอนว่าหากให้เวลาเตรียมตัวก็ได้สัก 4,000 หรือกระทั่ง 40,000 ยังได้
หวังหลินตระหนักได้ว่าทั้งสองคนกำลังคิดอะไรและถอนหายใจ เขาสะบัดแขนและกระเป๋าที่มีไม้แกะสลักลอยเข้าใส่มือเขา หวังหลินกวาดแขนผ่านกระเป๋าอย่างลวกๆและเจ้าของกระเป๋าถูกฝืนให้กลืนโลหิตในปากลงไป
แววตาเคารพในเซียนทั้งสองคนนั้นยิ่งลึกล้ำมากขึ้นขณะที่ถูกกวาดสัมผัสวิญญาณออกจากกระเป๋า
หวังหลินเขย่ากระเป๋าและไม้แกะสลักทั้งหมดลอยกลับไปตำแหน่งเดิมโดยไม่มีผิดพลาด ราวกับว่าพวกมันไม่เคยเคลื่อนไหวในคราแรก
“กลับไปซะ เมื่อเจ้ามาอีกครั้งก็จงนำเงินมาให้พอ” เช่นนั้นหวังหลินสะบัดแขนและกระเป๋าลอยกลับไปที่เซียน จากนั้นทั้งสองถูกผลักด้วยพลังรุนแรงสายหนึ่งเข้าหาประตู
เมื่อทั้งสองกำลังจะชนประตู ประตูพลันเปิดออกและทั้งสองคนถูกผลักออกไปนอกร้าน
การผลักนี้ได้ดันพวกเขาไปมากกว่าสิบลี้ก่อนที่ในที่สุดจะตั้งตัวได้ สายตาพวกเขาเผยความหวาดกลัวและตื่นตกใจแบบที่คาดไม่ถึง ในสายตาพวกเขาระดับฝึกตนของหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาจะวัดได้
ทั้งสองคนครุ่นคิดเล็กน้อยและคิดว่าตนเองโชคดีมาก ดังนั้นจึงจากไปอย่างรวดเร็วไปที่พระราชวัง
พวกเขาสังเกตความผิดปกติในไม้แกะสลักได้ดังนั้นจึงเข้าหาพบซิ่วเต๋าซึ่งกำลังเพลิดเพลินและพบกับร้านแห่งนี้ แต่หลังจากเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้น พวกเขาต่างหวาดกลัวความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับร้านแห่งนั้นไปแล้ว
ทั้งสองคนไม่รู้ว่าหวังหลินได้วางสัมผัสวิญญาณตนเองลงบนตัวทั้งสอง หากมีความคิดมุ่งร้านต่อหวังหลิน พวกเขาจะถูกสังหารทันที
ความจริงแล้วหากทั้งสองคนรู้เรื่องหวังหลิน เช่นนั้นคงรู้สึกโชคดีมากจริงๆ หากเป็นหวังหลินเมื่อหนึ่งปีก่อน ผลลัพธ์คงไม่พ้นความตายเป็นแน่แท้
หวังหลินนั่งอยู่ในร้าน เขาดื่มเหล้าไปหนึ่งอีกและถอนหายใจ “ข้าไม่ได้สังหารใครมาหนึ่งปีแล้ว” เช่นนั้นเขาเดินกลับไปที่หลังร้านและเข้าไปหลับ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและอีกสองปีผ่านไป ตอนนี้เข้าปีที่สามที่หวังหลินมาอยู่ในเมืองหลวงแล้ว
ต้าหนิวเติบโตสูงขึ้นและแข็งแรงมาก มีเพื่อนบ้านย้ายเข้ามามากขึ้นด้วย เจ้าของร้านผ้าคง ได้เสียชีวิตเนื่องจากความเจ็บป่วยและร้านค้าถูกขายให้กับคนอื่น
ใบหน้าครอบครัวต้าหนิวมีรอยเหี่ยวย่นบ้างเล็กน้อย แม้ว่าพวกเขาจะยังเยาว์วัยแต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นกาลเวลาไปได้
เรื่องที่มีค่าควรกล่าวถึงในระหว่างสองปีนี้ก็คือเพื่อนบ้านหลายคนเข้ามาหาหวังหลินพูดถึงเรื่องการแต่งงาน แต่พวกเขาถูกหวังหลินปฏิเสธทุกครั้ง
ลูกชายคนที่สองของตระกูลซิ่วได้แต่งงานและมีทารกสุขภาพแข็งแรง ซิ่วเต๋ากลับมาให้ความเคารพต่อหวังหลิน เขาให้หวังหลินร้อยเหรียญทองโดยพูดว่ามาจากองค์ชาย
ความจริงในสองปีนี้ ในปีใหม่แต่ละปีซิ่วเต๋าได้นำเหรียญเงินและเหรียญทองมาจำนวนมาก สำหรับเรื่องนี้หวังหลินไมได้ปฏิเสธเขาและรับไว้ทั้งหมด
ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปและฤดูหนาวพัดเข้ามา ดวงอาทิตย์รุ่งอรุณและผ่านไป ระหว่างสองปีที่ผ่านมาหวังหลินได้เห็นเด็กหนุ่มเกิดขึ้นและคนชราตายไป เขาเกิดความรู้สึกโหยหาอย่างมาก
ในสองปีนี้เขาได้ฝึกฝนเซียนเพียงสองครั้ง เขาไม่สนเรื่องระดับฝึกฝนอีกต่อไปและไม่ค่อยจะตรวจสอบมันอีก ส่วนเรื่องสารสีแดงมันคงเหลือเพียงชั้นบางๆเท่านั้น ส่วนที่เหลือถูกควบแน่นกลายเป็นลูกปัดสีแดงจำนวนสามเม็ดซึ่งถูกเก็บไว้ในกระเป๋า
จากการวิเคราะห์ของเขา เมื่อเม็ดที่สี่ถูกสร้างขึ้น สารสีแดงจะหายไปทั้งหมด
เซียนทั้งสองคนเมื่อตอนนั้นได้เข้ามาหาเพียงครั้งเดียวในรอบสองปีนี้ หลังจากส่งเหรียญทองจำนวนมากมาให้พวกเขานำไม้แกะสลักไปสามชิ้น
ในสองปีร้านค้าของหวังหลินได้มีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างในเมืองฝั่งตะวันตก แม้ว่าไม่ได้มีลูกค้าจำนวนมาก มันก็ยังดีกว่าปีแรก
ทว่าคนส่วนใหญ่ที่มาเยี่ยมร้านค้าหวังหลินไม่ใช่คนทั่วไปแต่กลับเป็นเซียน หกในสิบคนที่เข้ามาจะเป็นเซียนไปเสียหมด
เซียนทุกคนที่เข้ามาจะซื้อไม้แกะสลักด้วยเหรียญทอง ในสองปีนี้หวังหลินขายไม้แกะสลักไปเล็กน้อยและรวบรวมเหรียญเงินและเหรียญทองได้มากโข
ความจริงนั้นมีคนที่น่าทึ่งในพื้นที่ส่วนทิศตะวันตกของเมืองหลวงค่อยๆได้รับชื่อเสียงในหมู่เซียน
จิตใจหวังหลินยังคงสงบนิ่ง สิ่งที่เขาต้องการยังคงเป็นประสบการณ์ชีวิตของคนธรรมดา ร้านค้าเป็นเพียงครึ่งมือในการหาประสบการณ์และไม้แกะสลักก็เหมือนกัน
ปีใหม่กำลังจะมาถึงและเมืองหลวงมีชีวิตชีวาอย่างมาก หวังหลินเดินออกมาจากร้านค้าและนั่งลงด้านนอก ดวงตาเต็มไปด้วยความปรารถนา
นี่คือปีใหม่ครั้งที่สามที่เขาประสบพบเจอตั้งแต่มาถึงเมืองหลวง แต่ละครั้งประสบการณ์แตกต่างกัน ยกเว้นสิ่งเดียวก็คือความเสียใจที่เขารู้สึกต่อวัยเด็กของเขา
ต้าหนิววิ่งออกมาจากร้านเหล็กตรงข้ามถนนด้วยประทัดในมือ เขาเล่นกับมันด้วยความสุข เมื่อเห็นต้าหนิวแล้วแววตาหวังหลินจึงเกิดความสุข เขามองเด็กคนนี้โตขึ้นจากสิบเอ็ดปีไปจนถึงสิบสี่ปีมาแล้ว
ปีล่าสุดต้าหนิวไม่สามารถปฏิเสธพ่อของตนเองได้อีกต่อไปและเริ่มเรียนช่างเหล็ก ทว่าเมื่อเขามีเวลาเขาจะเข้ามาดูหวังหลินสร้างงานแกะสลัก
แม้ว่าต้าหนิวไม่ได้เข้ามาบ่อยๆ แต่เหล้าผลไม้หนึ่งวันไม่เคยหยุดส่ง
เมื่อเล่นกับประทัดจนพอ ต้าหนิววิ่งเข้าหาหวังหลินและนั่งลงบนม้านั่งเย็นๆ เขาดูเหมือนไม่คิดมากเรื่องความเย็น พลันกะพริบตาไปที่หวังหลินและเอ่ยขึ้น “ลุงหวัง ข้าได้ยินจากท่านพ่อเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าเจ้าของร้านหลิวจากฝั่งตะวันออกของเมืองต้องการให้ลูกสาวแต่งงานกับท่าน ทำไมท่านไม่ตกลงเล่า? ข้าได้เห็นนางมาก่อนและนางสวยมาก”
หวังหลินยิ้ม เขาลูบศีรษะหวังหลินและเอ่ยตอบ “ลุงมีภรรยาแล้ว”
“อ้าว? จริงหรือ?ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน?” ต้าหนิวยืนขึ้นทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
“นางอยู่ไกลจากที่นี่มากๆ รอคอยข้าเมื่อวันหนึ่งข้าจะกลับไปหานาง” น้ำเสียงหวังหลินอ่อนโยนขณะภาพสตรีคนหนึ่งปรากฎในใจเขา
ต้าหนิวยิ้มอย่างซุกซน เขาเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว ลุงหวัง ท่านมาที่เมืองหลวงเพื่อหาเงินแล้วท่านถึงจะกลับบ้านไปแต่งงาน!”