269. เต๋าสวรรค์ช่างไร้ปราณี
ชายชรามองหวังหลินและเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “นั่นก็เหมือนกับดาวเคราะห์ซูซาคุ ดาวเคราะห์ทั้งหมดรอบบริเวณจะก่อเกิดเสียงน้ำฝนเช่นเดียวกันหลังมีเวลาระยะหนึ่ง”
แววตาหวังหลินเยือกเย็นขณะเอ่ยถามอย่างช้าๆ “เมื่อไหร่ประตูสวรรค์ถึงจะเปิด?”
ชายชราหัวเราะ “อะไร? เจ้าถูกล่อลวงเข้าแล้วหรือ? ความจริงแล้วด้วยระดับฝึกฝนของเจ้าแม้ว่ามันจะอันตรายมาก แต่ตราบใดที่เจ้าระมัดระวังก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรนัก นอกจากนั้นระดับฝึกฝนอันแข็งแกร่งที่เจ้ามีนับว่าดีกว่ากฎเกณฑ์ที่วางไว้บนเจ้าเสียอีก”
หวังหลินเงยศีรษะและเอ่ยถามชายชรา “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”
ชายชราหยิบน้ำเต้าขึ้นดื่มเล็กน้อย เขาเลียริมฝีปากและเอ่ยตอบ “ดินแดนสวรรค์โบราณกระจายไปหมดแล้วและคงอยู่แค่เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น ดังนั้นกฎฟ้าดินข้างในจึงปั่นป่วน เรื่องนี้เป็นกุญแจสำคัญเพราะหากพลังปราณที่มีความผันผวนของเซียนขั้นตัดวิญญาณปรากฎขึ้น เศษเสี้ยวนั้นจะแตกสลาย แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับขนาดของชิ้นส่วนนั้นด้วย บางชิ้นสามารถรองรับพลังปราณที่ผันผวนรุนแรงได้ ดังนั้นตราบใดที่ไม่ต้องการเข้าไปฆ่าตัวตายก็จงเก็บระดับพลังไว้ที่ขั้นตัดวิญญาณซะ”
หวังหลินรุ่นคิดเล็กน้อย หลายความคิดแล่นผ่านในหัวสมองเขา เวลาผ่านไปพักใหญ่เขาเงยหน้าขึ้น “ผู้อาวุโสมาเยี่ยมผู้น้อยในกลางดึกคืนนี้ ข้ากลัวว่าท่านจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อแค่พูดเรื่องนี้กระมัง”
ชายชราหัวเราะ “เจ้าหนุ่ม ตาเฒ่าคนนี้มาเพื่อบอกเจ้าว่าข้ากำลังจะจากไปแล้ว ก่อนที่ข้าจะจากไปข้าต้องการให้เจ้าสร้างไม้แกะสลักให้ข้าก่อน ข้าจะเอาไปให้เสี่ยวคุ่ยจากกระโจมสีชมพู เมื่อนางคิดถึงข้าจะได้มีบางสิ่งไว้ระลึกถึง อนิจจาคนหล่อเช่นข้านี้ปรากฎตัวแค่ในตำนานเท่านั้นกลับต้องมีหลายคนให้คิดถึง” สิ้นคำพูดเขาเผยใบหน้าเศร้าเสียใจมากแต่ภายในท่าทางเช่นนี้กลับมีความภูมิใจอย่างมาก เขามองหาหวังหลินเพื่อรอให้เขายกย่อง
หวังหลินครุ่นคิดชั่วครู่ เขาหยิบไม้แกะสลักและใช้นิ้วมือเป็นมีดและเริ่มการแกะสลัก
ทว่าขณะที่ได้สร้างเค้าร่างหยาบขึ้นมานั้น ชายชราเปล่งลมหายใจอย่างผิดหวัง “ไม่เอาเสื้อผ้า!”
นิ้วหวังหลินหยุดกึกเผยรอยยิ้มขมขื่น หลังขบคิดชั่วขณะจึงกวาดไม้แกะสลักออกไปและเริ่มแกะสลักอีกครั้ง คราวนี้นิ้วมือไม่มีหยุด เคลื่อนไหวดั่งสายลม ในไม่ช้าชายชราร่างผอมซึ่งดูเหมือนลิงตัวหนึ่งถูกแกะสลักออกมา
นอกจากเขตแดนอันรุนแรงแล้ว ไม้แกะสลักดูเหมือนชายชราอย่างไม่มีผิดเพี้ยน มันเหมือนจริงราวกับมีชีวิต แม้กระทั่งคิ้วบนใบหน้ายังมีรายละเอียดชัดเจน
ชายชราคว้าไม้แกะสลักอย่างรวดเร็วและตรวจสอบอย่างละเอียด ยิ่งเขามองดูยิ่งคิ้วขมวดมากกว่าเดิมจนในที่สุดก็มองหวังหลินและพูดขึ้น “นี่มันอะไร? มันดูไม่เหมือนข้า! มันดูไม่เหมือนข้าเลย! เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบไหนกัน? สิ่งที่เจ้าแกะสลักมันเป็นลิง นี่มันลิง! เจ้าเข้าใจไหม?”
เช่นนั้นชายชราโยนไม้แกะสลักไปด้านข้างและพูดกับหวังหลินทีละคำ “มัน ไม่ เหมือน ข้า!!”
ในตอนนี้ชายชราเต็มไปด้วยแววตาเคร่งเครียดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน มีแม้กระทั่งความบ้าคลั่งในแววตาเขา
หวังหลินสังเกตการเปลี่ยนแปลงได้ในทันที พลังปราณในบริเวณรอบๆเริ่มเคลื่อนไหวด้วยวิธีการบางอย่าง ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายฉุกเฉิน
หวังหลินคาดเดาระดับฝึกฝนของชายชรามาตลอดและในตอนนี้ระดับการประเมินของชายชราเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
หวังหลินมองชายชราขณะหยิบไม้อีกท่อนนึงขึ้นมา ครั้งนี้นิ้วมือเคลื่อนไหวดั่งสายลม ใช้เวลาครึ่งเดียวจากที่สร้างเมื่อครู่
ชายในไม้แกะสลักหน้าตาหล่อเหลาและโรแมนติก โดยเฉพาะสายตาเฉียบคมคู่นั้น คงไม่ผิดนักที่จะเรียกคนผู้นี้ว่าเป็นหนึ่งในชายที่หล่อที่สุดในชีวิต เพียงแค่เขาดูแตกต่างจากชายชรามากเกินไป ใครที่ไม่ตาบอดก็บอกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนเดียวกันกับชายชรา
เมื่อไม้แกะสลักเสร็จสิ้นจึงถูกชายชราเอาไป เขาจ้องไม้แกะสลักและดวงตาเปล่งประกายขณะหัวเราะออกมา “ไม่เลว นี่สิคือข้าจริงๆ เจ้าแกะสลักได้ดีมาก ตกลงเจ้าหนุ่ม ข้าจะให้เจ้ายืมหมวกฟางนั้นสักพัก”
ชายชรามองไม้แกะสลักอย่างใฝ่ฝัน ยิ่งเขามองมันก็ยิ่งชอบ หลังจากเก็บกลับไปแล้วเขามองหวังหลินด้วยใบหน้ายินดี “ตั้งแต่วันนี้ไปเพียงแค่แกะสลักแบบนี้ถือว่าจริงใจแล้ว แม้ว่าไม้แกะสลักของเจ้าจะแตกต่างนิดหน่อยจากภาพลักษณ์ข้าแต่สิ่งสำคัญที่สุดคือไม้แกะสลักดูเหมือนกับตอนที่ข้ายังหนุ่มๆ”
ขณะที่เขาพูดพลันยืนขึ้นเพื่อจะจากไป เมื่อไปถึงประตูเขาหยุดกึกและพูดกับหวังหลิน “ยังเหลือไม้แกะสลักอีก 999 ชิ้น จงอย่าลืมว่าเมื่อเจ้าบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ ไม่ว่าเจ้าจะไปไหน ตาแก่คนนี้จะไปตามหาเจ้าจนเจอ”
หลังส่งชายชราประหลาดคนนี้ออกไป หวังหลินหยิบไม้แกะสลักจากครั้งก่อนนี้ขึ้นมา เขายิ้มและวางมันบนชั้นวางอย่างลวกๆ
หวังหลินไม่ได้ตั้งใจผสมโรงเข้ากับเรื่องประตูสวรรค์ หากเขาบรรลุขั้นตัดวิญญาณได้ก็คงออกเดินทางจากไปที่ แต่เมื่อคิดในตอนนี้นับว่าสายเกินไปแล้ว
เรื่องการสู้รบระหว่างพันธมิตรสี่สำนักและเฉว่ยี่นั้น หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและตัดสินใจไม่เข้าร่วม อิทธิพลของสิ่งของพวกนี้กว้างขวางเกินไป หากมีสิ่งใดผิดพลาดจะกลายเป็นผลกระทบร้ายแรง
ดังนั้นชีวิตของหวังหลินจึงสงบลงอีกครั้ง เรื่องหิมะในพันธมิตรสี่สำนัก มันเริ่มชะลอตัวลงหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน จะเห็นแสงกระพริบจากสมบัติวิเศษบนท้องฟ้าจนเป็นเรื่องธรรมดา ราวกับมีเหล่าเซียนกำลังทำการฟื้นฟูบางสิ่งขึ้นที่นั่น
หวังหลินสังเกตการณ์ได้สักพักและรู้ได้ว่าพวกเขากำลังจัดตั้งค่ายกล ค่ายกลที่ตั้งไว้บนท้องฟ้าเพื่อหยุดหิมะไม่ให้ร่วงหล่นลงมา
ในเวลาเดียวกันนอกจากจัดตั้งค่ายกลแล้ว ต่างมีเหล่าเซียนจำนวนมหาศาลจากทุกสำนักและทุกตระกูลออกมาล้างบางหิมะบนถนน
หิมะดูเหมือนจะไวต่อพลังปราณซึ่งได้รับผลกระทบเล็กน้อย ดังนั้นเหล่าเซียนจึงเริ่มใช้ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพื่อกวาดล้างออกไป
ตั้งแต่ที่เหล่าเซียนเคลื่อนไหว พวกคนธรรมดาจึงติดตามอย่างพอเหมาะพอดี พระราชาของแคว้นดูเหมือนจะได้รับคำสั่งจากเหล่าเซียนแล้ว ดังนั้นกองกำลังคนทั่วไปจำนวนมากเริ่มกวาดล้างหิมะออกไป
เนื่องจากพันธมิตรสี่สำนักมีขนาดใหญ่มาก ไม่เพียงแต่กองทัพเท่านั้นที่กวาดล้างหิมะออกไป แม้กระทั่งประชาชนก็ถูกบังคับให้ต้องช่วยกัน
ต้าหนิวก็เป็นหนึ่งในนั้น
แม้แต่คนแก่ที่ใกล้ตายก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ภายใต้คำสั่งของพระราชาที่ซึ่งได้รับความเคารพนับถือ ไม่มีใครก่อความรำคาญให้หวังหลิน
คำสั่งนี้กินเวลาหลายเดือน ต้าหนิวถูกส่งไปที่ทิศใต้แล้ว ทั้งเมืองหลวง ไม่สิ ทุกเมืองในสมาพันธ์สี่สำนักมีคนว่างงานจำนวนมาก เกือบทุกคนจะถูกส่งออกไปกวาดล้างหิมะ เว้นแต่จะมีตำแหน่งสำคัญๆ
ด้วยคำสั่งนี้แม้กระทั่งสตรีและเด็กยังไม่มีข้อยกเว้น เมื่อต้าหนิวถูกหิ้วไป หวังหลินให้ไม้แกะสลักกับเขาไว้เพื่อเป็นของขวัญในการอยู่ด้วยกันมากกว่าสามสิบกว่าปี
ส่วนภรรยาต้าหนิว หวังหลินให้ไม้แกะสลักแก่นางเช่นกัน
ผลลัพธ์ของไม้แกะสลักคือกระจายความอบอุ่นเพื่อป้องกันร่างกายจากการถูกแช่แข็ง
ในสนามรบนั้นเดิมทีควรจะเป็นระหว่างเหล่าเซียน คนธรรมดาในพื้นที่พันธมิตรสี่สำนักเป็นกลุ่มแรกที่เจอเคราะห์ พวกเขากระทั่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหิมะครั้งนี้ แต่เพื่อช่วยครอบครัว พวกเขาเข้าไปต่อกรกับหิมะนี้อย่างไม่เต็มใจ
ตลอดพื้นที่พันธมิตรสี่สำนัก มีภูเขาหิมะซ้อนกันขึ้นหลายลูกและด้วยการช่วยเหลือของเซียนทรงพลังบางส่วน ภูเขาเหล่านี้จึงค่อยๆเติบโตขึ้น
ไม่มีการเก็บเกี่ยวจากทุ่งหญ้าพวกนี้และทั้งหมดต่างปกคลุมไปด้วยหิมะ
ทุกวันจะมีคนธรรมดาแข็งตายและทุกวันจะมีบ้านหลายหลักถูกหิมะถล่ม
นี่คือภัยพิบัติ
หวังหลินตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งและเดินออกจากร้านตัวเอง ถนนหนทางได้ล้างหิมะออกไปแล้วแต่ยังมีเกล็ดหิมะอยู่บนพื้น แม้ว่าปริมาณหิมะจะลดน้อยลง แต่มันยังคงมีอยู่
ไม่กี่วันก่อนโจวหวู่ไท่ส่งหินหยกชิ้นนึงมา ไม่มีคำเชิญชวนจากสมาพันธ์สี่สำนัก แต่เป็นข่าวของสิ่งที่สมาพันธ์กำลังทำอยู่และข่าวเศษชิ้นส่วนสวรรค์ที่แตกกระจาย
ต้องขอบคุณประชากรของทั้งแคว้นที่ช่วยกันกวาดล้างหิมะ หิมะที่ปกคลุมพื้นดินได้ลดน้อยลงจนตอนนี้เหลือเพียงแค่ภูเขาหิมะสูงใหญ่เท่านั้น
นอกจากนี้เซียนเกือบทั้งหมดในสมาพันธ์สี่สำนักได้ถูกเชิญชวนเพื่อช่วยเหลือการสู้รบที่กำลังมาถึง
ถึงอย่างนั้นโจวหวู่ไท่ต่างเกิดความวิตกกังวล เดิมทีเฉว่ยี่ไม่ได้วางแผนฝนหิมะไว้ไม่กี่เดือน พวกเขาวางแผนไว้แค่สิบวันแล้วหลังจากนั้นถึงจะเข้ามา
ปกติในระหว่างการรบครั้งใหญ่ เหล่าเซียนจะหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อโลกคนธรรมดา นี่เป็นกฎที่ตั้งไว้โดยแคว้นซูซาคุ
แต่ในวันนี้สี่เดือนได้ผ่านไปแล้วและหิมะในท้องฟ้ายังไม่ลดลง มันเพียงแค่ถูกซ่อนไว้ในค่ายกลเท่านั้น
ปรากฎการณ์รูปแบบนี้ตีความได้เพียงอย่างเดียวนั่นคือ เฉว่ยี่วางแผนกวาดล้างพันธมิตรสี่สำนักตั้งแต่เริ่มสงครามเพื่อล้างบางทั้งแคว้นออกไป
บนดาวเคราะห์ซูซาคุ สงครามเพื่อกวาดล้างแคว้นเป็นสงครามที่หาได้ยากนักแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในบันทึกโบราณของสมาพันธ์สี่สำนัก มีการบันทึกไว้ว่าสงครามที่กวาดล้างแคว้นมีทั้งหมดสี่สงคราม สามสงครามเป็นแคว้นอันดับสี่และอีกหนึ่งเป็นแคว้นอันดับห้า
สงครามทั้งหมดที่กวาดล้างแคว้นนั้นอยู่ในอุ้งมือของแคว้นซูซาคุโดยไม่มีข้อยกเว้น นั่นจึงกล่าวได้ว่าเฉว่ยี่ใช้วิธีการต่างๆนาๆเพื่อทำให้ซูซาคุยอมอนุญาตให้เริ่มสงครามครั้งนี้