282. กลับแคว้นจ้าวเพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังอาจารย์ที่จากไป ฉากเหตุการณ์หนึ่งผ่านเข้ามาในจิตใจเขา พลันหมอบคลานต่ออาจารย์ตนเองก่อนจะกำหมัดแน่นและจากไป
“ข้าเฉินฮวน สาบานว่าจะกวาดล้างเฉว่ยี่ให้จงได้!”
หวังหลินกลับมาที่หอคอยน้ำแข็งด้วยจิตใจที่ซับซ้อน แม้เขาจะได้รับสมบัติอันทรงพลังแต่หวังหลินไม่รู้สึกมีความสุขเลย กลับรู้สึกโศกเศร้าด้วยซ้ำ
ในตอนนี้เองหวังหลินบรรลุความเข้าใจเขตแดนชีวิตและความตายของเขาอีกเล็กน้อย “อะไรคือชีวิต…อะไรคือความตาย…”
คำถามนี้ดังก้องในความคิดหวังหลิน
เซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายของสำนักหมึกวารีใช้ระดับฝึกฝนครั้งสุดท้ายของตนเองเหาะเหินเข้าหารูปปั้นเทวดาหิมะที่อารามสวรรค์น้ำแข็งและหิมะ ราวกับแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เขาระเบิดรูปปั้น ทิ้งรอยสีแดงไว้เบื้องหลังที่ไม่อาจกำจัดออกไปได้
เซียนขั้นตัดวิญญาณคนอื่นๆถูกสังหารในการระเบิดครั้งนี้ไปพร้อมกับเขา
เกียรติทั้งหมดหายไปพร้อมกับสายลม…
การตายของเขานับว่าเป็นการตายที่ทรงเกียรติ การตายของเขาได้ปลุกเหล่าเซียนพันธมิตรสี่สำนักที่ไม่กล้าทำสิ่งใดให้แสดงพวกเขาได้เห็น
เพียงกระพริบตา อีกหนึ่งปีได้ผ่านพ้นไป
ตลอดปีนี้หวังหลินคิดเกี่ยวกับเขตแดนชีวิตและความตายของเขามาตลอดและค่อยๆรู้ลึกซึ้งมากขึ้น การเป็นอยู่ของเขาเองได้เปลี่ยนผ่านในปีที่ผ่านมานี้ด้วย
มองภูเขาคือภูเขา มองแม่น้ำก็คือแม่น้ำ
ถึงอย่างนั้นหวังหลินรับรู้ว่าบางครั้งภูเขาก็ไม่ใช่ภูเขาและแม่น้ำก็ไม่ใช่แม่น้ำ ราวกับมีชั้นหมอกอีกหนึ่งชั้นบังตาเขาไว้ หวังหลินมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ ยื่นมือออกไปแต่จับต้องไม่ได้
เรื่องราวแบบนี้จะไม่หายไปตามกาลเวลา เขาต้องการความเข้าใจอันลึกซึ้งเพื่อที่จะข้ามผ่านสายหมอกนี้ไป
ฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปและฤดูใบไม้ผลิผ่านเข้ามา โลกน้ำแข็งได้ผ่านมามากกว่าสองปีแล้ว
กระบวนการสร้างหุ่นเชิดรูปปั้นน้ำแข็ง หวังหลินสามารถทำได้ในบางขั้นตอน หุ่นเชิดรูปปั้นน้ำแข็งเหล่านี้อาศัยเส้นโลหิตหิมะเพื่อประคับประคองตัวมันเอง หุ่นเชิดตัวหนึ่งสามารถใส่เส้นโลหิตหิมะได้ถึง 49 เส้นด้วยพลังของเซียนขั้นแกนลมปราณ
การจะมีพลังเทียบเท่าเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิด มันจำเป็นต้องมีเส้นโลหิตหิมะถึง 81 เส้น แต้ด้วยรูปปั้นน้ำแข็งพวกนี้ยิ่งมีเส้นโลหิตมากเท่าไหร่ก็ยิ่งยากจะควบคุมและหากสองเส้นสัมผัสกัน รูปปั้นน้ำแข็งจะระเบิด
เพราะเหตุนี้เองความยากในการเพิ่มเส้นโลหิตหิมะแต่ละเส้นจะยากทวีคูณขึ้น ดังนั้นท่านจะเห็นได้ว่ามันยากแค่ไหนในการใส่เส้นโลหิต 81 ลงบนรูปปั้นน้ำแข็ง
นี่จึงเป็นเหตุผลที่มีรูปปั้นวิญญาณแรกกำเนิดไม่กี่ตัวที่สร้างโดยเฉว่ยี่
นอกเหนือจากเรื่องนี้ เส้นโลหิตหิมะนั้นมาจากวิถีหิมะน้ำแข็ง หวังหลินประหลาดใจกับวิชานี้ทันที
วิถีหิมะน้ำแข็งนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งจิตใจ ใช้น้ำแข็งเป็นกระดูกและหิมะเป็นหัวใจเพื่อสร้างวิญญาณหิมะน้ำแข็งให้บรรลุภาวะจิตใจที่แจ่มชัด
กล่าวได้ว่าจิตใจเป็นสิ่งลึกลับมากและมีความแปรปรวนง่าย
เป็นหนึ่งเหตุผลที่เหล่าเซียนของเฉว่ยี่ทั้งหมดทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังและมีบุคลิกที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก จุดประสงค์คือทำตามใจตนเองและหลอมจิตใจให้ถึงจุดที่อิทธิพลภายนอกเข้าไปไม่ถึง
ยิ่งหวังหลินเรียนรู้วิชานี้ก็ยิ่งเห็นชัดถึงความน่ากลัวของมัน วิชานี้ไม่สามารถนับได้ว่าเป็นวิชาในเส้นทางอันชอบธรรมได้เลย มันนับว่าเป็นอีกด้านหนึ่ง หวังหลินสัมผัสได้ว่าวิชานี้ช่างคล้ายกันกับวิชาของจ้าวปิศาจหกปรารถนา
หวังหลินไม่เต็มใจที่จะฝึกฝนวิชานี้ เขาเลียนแบบมันโดยการเปลี่ยนเส้นโลหิตหิมะให้เป็นเส้นโลหิตของจริงแทน เขาใช้โลหิตร่วมกับขอบเขตชีวิตและความตายเพื่อให้สามารถควบคุมการแกะสลักได้ดั่งใจ
ในพริบตาเดียว หวังหลินพักอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้มาสามปี รวมกับหนึ่งปีที่เขาเดินทางไปทั่ว ทั้งหมดคือสี่ปีผ่านไปแล้ว
เหลือเพียงหนึ่งปีก็จะครบสิบปี หวังหลินรู้สึกได้ว่าเวลาที่เขาจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณใกล้เข้ามาแล้ว
หวังหลินไม่รู้ว่าจะกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ตอนที่บรรลุขั้นตัดวิญญาณหรือไม่ ถึงเช่นนั้นยิ่งเขาเข้าใกล้มันก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าตอนที่บรรลุขั้นตัดวิญญาณนั้นมันจะสร้างความวุ่นหวายที่จะเตือนให้ทุกคนได้รับรู้
ดังนั้นในวันนี้หวังหลินจึงเดินออกมาจากหอคอยน้ำแข็งและจากไป
ก่อนที่จะจากไปเฉว่ยี่ได้ส่งคำสั่งให้เซียนขั้นแกนลมปราณและสูงกว่าทั้งหมดรวมกันที่อารามเพื่อรับฟังคำปราศัยแห่งเต๋า เหตุผลก็คือมีหนึ่งในสิบสามเซียนได้ที่ไปแคว้นซูซาคุได้กลับมาแล้ว เขาคือคนที่บรรลุขั้นแปลงวิญญาณได้สำเร็จ
จะเรื่องหนึ่งในสิบสามคนบรรลุสำเร็จหรือแคว้นซูซาคุทำสิ่งใดลงไป มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนภายนอกจะรับรู้
หวังหลินจากไปโดยไม่มีใครรู้อย่างเงียบเชียบ แม้แต่เซียนขั้นแกนลมปราณที่หวังหลินกักขังไว้ก็ได้สูญเสียความทรงจำและกลับมาสู่ตำแหน่งเดิม
ณ ชายแดนของเฉว่ยี่ หวังหลินหันตัวกลับและมองบนพื้นดินอย่างละเอียด ฉากเหตุการณ์หลายอย่างผ่านมาในใจเขาพร้อมกับที่หวังหลินถอนหายใจและจากไป
เป้าหมายของหวังหลินคือแคว้นจ้าว เขาตัดสินใจที่จะบรรลุขั้นตัดวิญญาณที่นั่น
เหตุผลที่หวังหลินไปแคว้นจ้าวเพื่อทะลวงสู่ขั้นตัดวิญญาณนั้น เหตุผลหนึ่งก็คือมันเป็นสถานที่ห่างไกลที่เหมาะสม อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะหวังหลินรู้สึกคิดถึงบ้านหลังคุยกับเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายจากพันธมิตรสี่สำนัก
ทุกคนมีบ้าน ซึ่งเขาก็มีหนึ่ง…
แคว้นจ้าวนับว่าเป็นบ้านและมีสตรีคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่อีกฝั่งของทะเลปิศาจ สถานที่แห่งนั้นก็นับเป็นบ้านเช่นกัน…
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมาแคว้นจ้าวเพื่อครบรอบการเกิดที่นี่
ก่อนที่จะกลับบ้าน หวังหลินเข้าเมืองเพื่อตรวจสอบต้าหนิวและเห็นเขาเปิดร้านเหล็กขึ้นอีกครั้ง ภรรยาของเขาไม่ดูอ่อนเยาว์อีกแล้วแต่นางตั้งครรภ์อีกครั้งนึง
หวังหลินยิ้มเมื่อมองพวกเขา ชีวิตใหม่เช่นนั้นกำลังเติบโตขึ้นตามวันเวลา…
ตอนที่หวังหลินจากไป เขาได้ทิ้งพลังปราณเล็กน้อยภายในภรรยาของต้าหนิว พลังปราณเพียงเล็กน้อยนั่นสามารถรองรับความปลอดภัยของแม่และลูกได้ ชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดเป็นผู้หญิงเสียด้วย
ต้าหนิวยังไม่รู้ว่าลุงหวังที่เขาต้องการจะเห็นอีกครั้งมาเสมอได้เข้ามาหาเขา ความเสียใจก่อนตายของต้าหนิวไม่ใช่เพียงแค่จะไม่เห็นเสี่ยวหนิวมาหาเขาที่นี่ แต่คือการจะไม่เห็นลุงหวังผู้เฝ้ามองเขาเติบโตอีกครั้งในชีวิตนี้ คนลึกลับคนนั้นที่เปิดร้าน ดึงดูดลูกค้ามาตลอด และผู้ซึ่งขายไม้แกะสลักด้วยราคาสิบเหรียญทองได้
เขาได้ให้ไม้แกะสลักสองชิ้นแก่ลูกๆและมันกลายเป็นมรดกของตระกูล
หวังหลินเหาะเหินเข้าหาแคว้นจ้าว สี่สิบปีก่อนเขาเดินอยู่บนสายเดียวกันตอนที่พึ่งบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด วันนี้เขากำลังจะกลับผ่านไปด้วยถนนสายเดียวกันนี้ แต่ครั้งนี้เขากำลังจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณและเลือกสถานที่ที่จะทำเช่นนั้น
หวังหลินตอนนี้และหวังหลินเมื่อตอนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
หวังหลินผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณหนึ่งต่อ ในวันนี้เขาอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดที่มีก้อนเมฆเต็มท้องฟ้าและฝนเริ่มจะตก
ฝนเริ่มตกหนักขึ้นและหนักขึ้นจนดูเหมือนกับน้ำถูกเทลงมา หวังหลินเงยหน้ามองท้องฟ้า นานมากแล้วนับตั้งแต่ที่เขาเห็นฝนตกหนักขนาดนี้ ช่วยไม่ไ้ด้ที่เขาจะคิดถึงตอนที่อยู่ในห้องเดียวกันกับจางฮู่ในสำนักเหิงยั่ว สายฝนเทลงมาพร้อมกับฟ้าร้องและฟ้าฝ่าจากท้องฟ้า
ในตอนนี้สายฟ้าหลายเส้นกระพริบวาบข้ามผ่านท้องฟ้าราวกับอสรพิษสีเงิน พวกมันดูสวยงามมาก
ร่างหวังหลินร่อนลงอย่างช้าๆบนพื้น เขาไม่ได้ใช้วิชาอะไรเพื่อป้องกันสายฟ้าแต่สะบัดแขนไปที่ต้นไม้ใกล้ๆและใบไม้บนต้นรวมกันเป็นร่มใบไม้แทน
หวังหลินเดินอยู่ในพื้นที่ต่างแดนแห่งนี้พร้อมกับร่มของเขา หวังหลินอยู่ห่างจากแคว้นจ้าวเพียงแค่สองค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ในพื้นที่ห่างไปสี่หมื่นลี้ทางทิศตะวันออกมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณตั้งอยู่
เสียงสายฝนหลั่งไหลเต็มผืนป่าและให้ทั้งพื้นที่ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบโดยเฉพาะอารามเก่าที่ตั้งอยู่ไกลๆ อารามแห่งนี้ถูกละทิ้งไว้อย่างชัดเจน สีแดงดั้งเดิมของมันมัวหมองและบางส่วนได้รับความเสียหาย
แม้แต่วงแหวนทองเหลืองบนประตูยังขึ้นสนิม แต้มด้วยสีเขียวด้านข้างอาราม
หวังหลินไม่เห็นอารามมากมากเท่าไหร่นักในชีวิต เมื่อมองอารามแห่งนี้เขาจึงเดินเข้าไปข้างใน ที่นี่เป็นอารามโบราณ ไม่มีรูปปั้นเทพข้างใน มีเพียงแต่เบาะอธิษฐานครึ่งกลีบอยู่หนึ่งเบาะ
ขณะที่มองอาราม เขามองประตูจากนั้นหันกลับมามองอาราม เมื่อมองเสร็จเขายืนที่ประตูและสนุกสนานกับการดูทิวทัศน์ของสายฝน
หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่เสียงตะโกนดังออกมาไกล ชายร่างใหญ่สวมเสื้อกันฝนโห่ร้องออกมา
“อาการบัดซบนี่ เมื่อฝนเริ่มตกมันก็ไม่เคยหยุดเลย”
“มีอารามแห่งหนึ่งเบื้องหน้า ไปพักอยู่สักครู่เถอะแล้วค่อยเดินทางเมื่อฝนซาลง”
ขณะที่พูดกันไปนั้นพวกเขาเห็นหวังหลินอยู่ในอาราม ทั้งหมดหยุดกึกมองหน้ากันเองก่อนจะเดินเข้าหาอารามอย่างเงียบๆ
เมื่อพวกเขาผ่านหวังหลินไป หนึ่งในนั้นก้าวไปข้างหน้าหวังหลินและดูเหมือนจะเอื้อมมือเข้ามาแตะไล่เขา ทว่าอีกคนในกลุ่มส่งเสียงฮึดฮัดและผลักคนผู้นั้นให้หยุดเขา
คนผู้นั้นหันศีรษะกลับมาและส่งเสียงหายใจก่อนจะเข้าไปในอารามอย่างเงียบเชียบ
ทั้งห้าคนถอนเสื้อกันฝน ก่อกองไฟ นำอาหารออกมาและเริ่มพูดคุยเสียงดัง ทว่าทุกครั้งสายตาพวกเขาจะหันมาจ้องหวังหลิน
หวังหลินส่ายศีรษะเบาๆ คนธรรมดาทั้งห้าคนนี้ทำลายบรรยากาศพิเศษของคืนนี้ไปเสียสนิท หวังหลินถอนหายใจขณะที่กำลังจะยกเท้าเพื่อจากไป สายตาพลันจดจ้องไปในป่าที่อยู่ห่างไกล
เขาเห็นชายคนหนึ่งผมยาวสวมชุดคลุมบางได้ก้าวเท้ายาวๆเข้าหาอาราม แม้ว่าชายคนนี้จะดูเชื่องช้าแต่หลังจากก้าวเพียงครั้งเดียวเขาก็อยู่ถัดต่อจากหวังหลินทันทีและจะเดินเข้าไปในอาราม
เมื่อผ่านหวังหลินไป เขาอ้าปากค้างและหยุดกึกมองหวังหลินอย่างละเอียดพร้อมกับเผยรอยยิ้มอ่อนโยนในฟันซี่ขาว “ข้าไม่คาดคิดว่าจะพบเจอสหายเซียนในอารามเล็กๆเช่นนี้ ข้าชื่อโม่จื่อ เจ้าหล่ะ?”