387. การต่อสู้หลัก
ขณะหวังหลินจ้องทิศทางที่หลิวเหมยหายไป สายตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น
“ข้าไม่สามารถมองเห็นระดับของหลิวเหมยได้ดังนั้นนางต้องมีระดับฝึกตนสูงกว่าข้า ไม่เช่นนั้นนางคงไม่กลายเป็นศิษย์ของจูเซว่จื่อ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเข้ามาติดต่อข้า…” หวังหลินขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม เขาโบกแขนและซื่อหยุนและหลิวเว่ยร่อนลงห่างจากเขาไปหลายสิบฟุต
หวังหลินไม่ใช่คนใจดีแต่ทั้งสองคนทำให้เขามองผ่านความจริงจนผ่านหลิวเหมยมาได้ดังนั้นจึงไม่ขับไล่ทั้งสองคนออกไป
“หลิวเหมยไม่ได้ใช้โอกาสนี้สังหารข้าก่อนที่ระดับฝึกฝนจะฟื้นฟู เช่นนั้นเป้าหมายของนางไม่ใช่เพื่อให้ข้าตาย การพบกับข้าดูเหมือนจะเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกแต่ก็ยังมีความไร้ปราณีอยู่ด้วย นี่นับว่าน่าแปลกใจ นางไม่ได้มีเจตนาที่ดีแน่นอน”
จากนั้นไม่นานนักเขาโบกแขนเสื้อ เดินเข้าไปในถ้ำและนั่งลงในท่านั่งดอกบัว
“การบ่มเพาะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เมื่อวิญญาณดั้งเดิมของข้าฟื้นฟู ระดับฝึกฝนจะกลับคืนสู่ขั้นตัดวิญญาณระดับกลาง สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการฟื้นฟูวิญญาณดั้งเดิมของข้าเอง”
“ข้าจำเป็นต้องค้นหาแรงกดดันพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่านี้ จากนั้นข้าจึงสามารถบังคับให้วิญญาณดั้งเดิมฟื้นฟูขึ้นมาได้” หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะหายตัวไป
เขาปรากฎตัวอีกครั้งใต้ดินส่วนลึกที่มีสายแร่วิญญาณของภูเขาหลอมวิญญาณตั้งอยู่
ที่นี่คือสายแร่วิญญาณส่วนที่ต่ำที่สุด ห่างไปอีกสามพันฟุตคือตำแหน่งที่ธงวิญญาณตั้งอยู่
ด้วยระยะเท่านี้เจ้ากิเลนข้างในธงวิญญาณไม่สามารถก่อกวนเขาได้
ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่หวังหลินสามารถสัมผัสแรงกดดันจากพลังปราณที่รวบรวมมาทางเขาได้ เขาสูดหายใจลึกและค่อยๆหลับตา เวลานี้เขาไม่ได้ดูดซับพลังปราณใดเลยแต่ใช้แรงกดดันเพื่อรีบสร้างวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาใหม่
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ซื่อหยุนและหลิวเว่ยตื่นขึ้นและพบว่าพวกเขาไม่ได้อยู่นอกระยะของถ้ำ ดั้งนั้นพวกนางจึงคิดขึ้นมาได้ หลังพูดคุยกันสักพักจึงสร้างถ้ำเล็กๆใกล้ตำแหน่งที่พวกนางตื่นและบ่มเพาะอย่างเงียบๆ
ในวันนี้หวังหลินควบแน่นวิญญาณดั้งเดิมอย่างบ้าคลั่งด้วยการหยิบยืมแรงกดดันพลังปราณที่ล้อมรอบสายแร่วิญญาณเอาไว้ ทว่าเขาพลันลืมตาขึ้นมา
แม้ว่าวิญญาณดั้งเดิมไม่ได้ฟื้นฟูขึ้นมาเต็มที่มันยังมีสภาวะดีกว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งตอนนี้เหลือรอยแผลบนใบหน้าอยู่สองรอย
สายตาหวังหลินเป็นประกาย เขากระจายสัมผัสวิญญาณออกและจดจ้องบนธงวิญญาณทองห่างออกไปสามพันฟุต
จังหวะนี้เองภาพมายาหนึ่งพลันปรากฎถัดจากผืนธงและเสียงคำรามร้องออกมา กิเลนยักษ์ปรากฎพร้อมกับดวงตาแดงฉาน
กรร!
ภาพมายารีบถอยกลับมาหลังได้ยินเสียงคำราม มันรีบเกิดเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว
หวังหลินนึกคนผู้นี้ออกได้ทันที เขาเป็นหัวหน้าอาวุโสของภูเขาหลอมวิญญาณ เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายผู้ซึ่งจำเป็นต้องรู้แจ้งเขตแดนของตนเองในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
“บัดซบ! ธงวิญญาณหนึ่งแสนดวงนี้กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเร็วการบ่มเพาะของข้าเมื่อไหร่จะสามารถสร้างธงวิญญาณเช่นนี้ได้กัน?” ใบหน้าชายชรามืดมน
อสูรกิเลนไม่ได้กระตุ้นการโจมตีชายชราเหมือนกับที่มันทำหวังหลิน ภายในสายตากระหายเลือดของมันแฝงการเยาะเย้ยเอาไว้
“เจ้าสัตว์บัดซบ!” ชายชราตะโกน “ท่านบรรพชนได้ตั้งประกาศิตไว้ว่าธงที่ผนึกไว้ใต้ภูเขาสามลูกเป็นของใครก็ตามที่สามารถปรับแต่งมันได้ วันหนึ่งเจ้าจะกลายเป็นของข้า!”
“กรรรรร!” เจ้ากิเลนพ่นลมหายใจและแววตาดูถูกยิ่งลึกล้ำขึ้น
“ฮึ่ม!” ชายชราตบกระเป๋าและธงสีทองจางๆปรากฎ เขาโบกสะบัดธงและวิญญาณนับไม่ถ้วนลอยออกมา วิญญาณที่อยู่ข้างหน้าเป็นขั้นแรกกำเนิดระดับปลายซึ่งเป็นดวงวิญญาณหลัก เบื้องหลังเป็นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นและกลางนับสิบดวงและหลังจากนั้นเป็นวิญญาณอื่นๆนับไม่ถ้วนที่มีระดับฝึกตนแตกต่างกันไป
ชายชราตะโกน “หมื่นวิญญาณ กลืนกิน!” เขาชี้ผืนธงที่เจ้ากิเลนและวิญญาณทั้งหมดร้องคำรามพุ่งเข้าหามัน
เจ้ากิเลนยกคิ้วขึ้นและเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า แทนที่มันจะหลบหลีกมันกลับพุ่งเข้าหาดวงวิญญาณและเริ่มกลืนกินอย่างบ้าคลั่ง
เป็นเรื่องแน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายชราจะต่อกรกับเจ้าอสูรตัวนี้ดังนั้นเขาจึงไม่ตกใจเลย ชายชราเฝ้าดูเจ้าอสูรที่กลืนกินวิญญาณ ทุกครั้งที่มันกินวิญญาณดวงนึงมันจะตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
ด้วยระดับฝึกตนของเขา ตามปกติแล้วเขาไม่สามารถเปรียบกับเจ้ากิเลนตัวนี้ได้เลย แต่ทว่าเขามีวิญญาณพิเศษหลายดวง ซึ่งภายในธงวิญญาณหลักหมื่นดวงนั้นเขาเพียงแค่สามารถทนต้านไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
หลังจากนั้นไม่นานนักฝ่ามือชายชราเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เขาสร้างผนึกแตกต่างกันหลายอย่าง โลหิตเริ่มไหลออกมาจากรูขุมขนในฝ่ามือ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งครียดและบอลโลหิตลูกหนึ่งปรากฎเบื้องหน้าเขา
ชายชราร้องตะโกน “สังเวยโลหิต!” หลังจากเอ่ยจบ บอลโลหิตพลันระเบิดเป็นจุดนับไม่ถ้วนและปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่
วิญญาณที่ถูกเจ้ากิเลนกลืนกินไปจู่ๆก็เริ่มเคลื่อนไหวราวกับได้รับสารอาหาร พวกมันพยายามออกมาจากร่างเจ้ากิเลน
มีดวงวิญญาณจำนวนมากข้างนอกซึ่งกำลังโจมตีเจ้ากิเลนภายใต้คำสั่งของวิญญาณหลัก
เหล่าวิญญาณแรกกำเนิดสามารถใช้มนต์คาถาโจมตีได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดเสียงคำรามจากข้างในและข้างนอกเจ้ากิเลน ทว่ามันไม่ได้ตื่นตระหนักและสายตายังคงดูถูกเหยียดหยาม
เจ้ากิเลนร้องคำรามอย่างโหดร้าย ควันสีดำออกมาจากธงวิญญาณทองและสร้างเป็นอสูรมารอีกตัว!
อสูรทั้งสองตัวดูเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน!
ใบหน้าชายชราแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ ครั้งล่าสุดที่เขาสู้กับเจ้ากิเลน เขาถูกบังคับให้ถอยร่นตอนที่วิญญาณดวงที่สองโผล่ออกมา ตอนนี้เขาเห็นมันอีกครั้งใบหน้าตัวเองจึงมืดมน
เขาตบกระเป๋าอีกครั้งและแสงสีดำเส้นหนึ่งปรากฎในฝ่ามือ ของที่อยู่ในลำแสงสีดำคือกระดิ่งพร้อมกับที่ไม้จับสีม่วงซึ่งมีการแกะสลักอันซับซ้อนอยู่บนนั้น
“ข้าแลกเปลี่ยนสมบัติหายากจนได้กระดิ่งผนึกวิญญาณเพียงเพื่อมาต่อกรกับเจ้า!” ชายชราร้องตะโกน จากนั้นสั่นกระดิ่งในมือ ขณะที่เกิดเสียงกระดิ่ง อสูรรูปร่างมนุษย์มีหนึ่งเขาบนศีรษะปรากฎขึ้นและพุ่งเข้าใส่เจ้ากิเลน
กิเลนสองตัวคำรามอย่างต่อเนื่องขณะที่มันกำลังถูกจับ
ชายชราเผยใบหน้าปิติยินดีขณะเพ่งสมาธิไปที่การควบคุมสมบัติในมือ
ทว่าขณะนี้เองควันสีดำลอยออกมาจากธงมากขึ้นและกลายเป็นกิเลนตัวที่สาม!
ชายชราร้องคำรามอย่างผิดหวัง ครั้งนี้เขาใช้ทุกอย่างที่มีทั้งหมดจนบังคับกิเลนตัวที่สามออกมา ทว่าวันนี้ต่างก็เป็นวันที่เขารู้สึกหมดหนทางที่สุด ครั้งแรกเราคิดว่ามีเพียงเจ้ากิเลนตัวเดียวแต่เมื่อเขาใช้ธงวิญญาณหมื่นดวงเพื่อขังกิเลนตัวแรกได้ ตัวที่สองดันโผล่ออกมา
ครั้งที่สองที่เขาเช้ามา เขาก็พ่ายแพ้ให้กับกิเลนตัวที่สองนี้
ส่วนการเข้ามาครั้งที่สาม เขาใช้ความพยายามไปมากมายเพื่อให้ได้กระดิ่งนี้และกลับพบว่าดันมีกิเลนตัวที่สาม
เป็นผลให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหลังจากตัวที่สามจะมีตัวที่สี่ ตัวที่ห้า ตัวที่หก…
“ไม่แปลกใจเลยว่าไม่มีใครสามารถเอาธงผืนนี้ไปได้หลังจากที่มันอยู่ที่นี่มานานมาก…” ชายชราถอนหายใจและกำลังจะยอมแพ้
แต่สัมผัสวิญญาณแข็งแกร่งสายหนึ่งพลันลงมาจากรอบด้าน ใบหน้าชายชราเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาไม่สามารถต่อต้านสัมผัสวิญญาณนี้ได้เลย เขาเพียงแต่รู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับบรรพชนขั้นตัดวิญญาณ
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนแล้วความรู้สึกนี้แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า
“นี่ต้องเป็นบรรพชนขั้นตัดวิญญาณที่ออกมาจากการปิดด่านฝึกตน” ชายชราสั่นสะท้านและรีบเอ่ยตอบ “ศิษย์หวู่เต้าฉือขอคำนับท่านบรรพชน…”
ขณะสัมผัสวิญญษณแข็งแกร่งกวาดผ่านไป เจ้ากิเลนตัวที่สามกรีดร้องโหยหวนและถูกกักขังไว้ในลำแสงสีดำ มันร้องคำรามขณะถูกกักขังไว้ไม่ให้เป็นอิสระ
“ฮึ่ม!” ลมหายใจเยือกเย็นออกมาจากมิติว่างจากนั้นมือยักษ์โผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่ายื่นเข้าหาธงวิญญาณทอง
จัวหวะนี้ธงวิญญาณทองเริ่มขยับ กิเลนอีกสามตัวปรากฎขึ้นและพุ่งเข้าหาฝ่ามือ
ดวงตากิเลนทั้งสามตัวช่างดุร้ายแต่แฝงความกลัวอยู่ในนั้น
เพียงฝ่ามือปะทะครั้งเดียว หนึ่งในกิเลนเหล่านั้นแตกกระจายกลายเป็นวิญญาณนับไม่ถ้วนซึ่งทั้งหมดตื่นตระหนกและหลบหนีต่างทิศทางกัน
กิเลนที่เหลืออีกสองตัวกระโจนเข้าใส่อย่างรวดเร็วและเริ่มต่อสู้กับแขนข้างนั้น
ลมหายใจหนาวเย็นพ่นออกมาอีกครั้งจากสัมผัสวิญญาณและควันสีดำออกมาจากทุกทิศทาง ควันสีดำควบแน่นกลายเป็นหอกดำและแทงเข้าใส่เจ้ากิเลน
ก่อนหน้านี้หวังหลินไม่สามารถต่อกรกับเจ้ากิเลนตัวนี้ได้เพราะระดับฝึกฝนของเข้าเพียงแค่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง ทว่าตอนนี้เขาทะลวงผ่านขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไปสู่ขั้นตัดวิญญญาณดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วเขาเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณที่ไม่มีเขตแดน แม้จะอ่อนแอกว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณโดยปกติ ก็ยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อสู้กับเจ้ากิเลนตัวนี้
เสียงคำรามทรงพลังมากกว่ากิเลนตัวอื่นทุกตัวรวมกันดังขึ้นออกมาจากธงวิญญาณทอง และตามมาพร้อมกับรัศมีสีทอง กิเลนตัวอื่นๆทั้งหมดแตกกระจายหายไปเป็นดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนหลังจากได้ยินเสียงคำรามนี้ มันเคลื่อนตัวเข้าหารัศมีสีทอง
เมื่อเหล่ากิเลนแตกกระจายไป หวู่เต้าฉือร้องคร่ำครวญอย่างปวดร้าว
น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เขากำลังจะถอยหลับมาเพื่อหลบหลีกทว่าร่างหนึ่งปรากฎเบื้องหน้าเขา ร่างนี้ชี้มาที่เขาและหวู่เต้าฉือถูกส่งออกไปทันที
ขณะที่หวังหลินยืนอยู่เบื้องหน้าหวู่เต้าฉือ เขายื่นมืออกไปและธงวิญญาณของหวู่เต้าฉือและกระดิ่งไม้ม่วงลอยเข้าสู่ฝ่ามือ สายตาหวังหลินเป็นประกายขณะจดจ้องไปที่ธงวิญญาณทองคำ
“เช่นนั้นนี่ก็คือวิญญาณหลักตัวจริงของธงวิญญาณ ส่วนกิเลนตัวอื่นๆแค่ได้รับคำสั่งมาจากมัน”
หลังจากรัศมีสีทองดูดซับดวงวิญญาณทั้งหมด มันร้องคำรามสั่นสะเทือนไปทั้งภูเขาหลอมวิญญาณ กิเลนสีทองดูคล้ายของจริงถูกสร้างขึ้นจากดวงวิญญาณได้ปรากฎเบื้องหน้าหวังหลิน