424. ซือถูหนาน
คลื่นฝูงชนของเผ่าละทิ้งอมตะได้รวบรวมอยู่ภายในก้อมเมฆดำไร้ที่สิ้นสุดบนฝั่งทิศตะวันออกของทวีปซูซาคุ
ใจกลางก้อนเมฆเป็นสมาชิกเผ่าละทิ้งอมตะนั่งอยู่มากมาย พวกเขาทั้งหมดต่างบริกรรมคาถาด้วยความพร้อมเพรียงกันราวกับสวดมนต์ พลังอันแข็งแกร่งของรอยสักแต่ละคนเคลื่อนออกจากร่างกายและลอยขึ้นไปกลางอากาศ
รอยสักอันแข็งแกร่งพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างรวดเร็ว
ทุกสองชั่วโมงสมาชิกเหล่านี้จะใช้พลังรอยสักในร่างกายจนหมดและอีกกลุ่มนึงสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเพื่อให้ร่ายบทสวดต่อไป
กระบวนการนี้กระทำมาหลายเดือน ในวันนี้ชายกลางคนสวมชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งปรากฎตัวขึ้น เขาไม่มีรอยสักบนร่างกายทว่ามีใบไม้สีม่วงบนแก้มซ้ายซึ่งเรืองแสงสีม่วงออกมา
เขายืนจดจ้องสมาชิกเผ่าจำนวนมากที่อยู่ตรงกลางและเผยใบหน้าขบคิด
เบื้องหลังเขาเป็นชายชราติดตามอยู่สามคน กลิ่นอายที่ทั้งสามปลดปล่อยออกมานั้นเป็นเหมือนกับชายชราแปดใบไม้ที่ไล่ตามหวังหลินก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน
หนึ่งในชายชราเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ “บรรพชนรุ่นห้าถึงเวลาแล้ว บรรพชนรุ่นสี่ได้กระตุ้นมันบนต้นไม้บรรพชนไปแล้ว”
ชายกลางคนพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ต้นไม้บรรพชนถูกหล่อเลี้ยงเพราะบรรพชนโบราณละทิ้งชีวิต ใช้ร่างตัวเองเพื่อทำลายผนึกห้ากระบี่ คราวนี้เราไม่อาจล้มเหลวได้อีก!”
“ต้นไม้บรรพชนตัวแทนทั้งสี่ต้นได้ล้อมรอบทวีปซูซาคุแล้ว คราวนี้ทวีปซูซาคุจะต้องถูกทำลาย!” สายตาชายชราเผยความตื่นเต้นแต่หายวับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับกล่าวขึ้น “บรรพชนรุ่นห้า เรื่องบรรพชนที่สอง…”
ชายกลางคนขมวดคิ้วพลางกล่าว “อย่าก่อกวนเขา เขาอยู่ในแคว้นซูซาคุมานานมากและคิดแตกต่างจากเรา ฮึ่ม หากเขาไม่ยอมลุกขึ้นมาต่อสู้ เราคงกวาดล้างแคว้นซูซาคุได้ในการรบเมื่อไม่กี่ปีก่อนแล้ว!”
“ข้าแค่ไม่เชื่อว่าผลึกดาวเซียนที่แคว้นซูซาคุถือครองไว้จะมีพลังตามที่กล่าวอ้าง!”
ชายชราพยักหน้าและไม่ตอบสิ่งใด
“คนของสำนักซากศพอยู่ที่นี่” ชายกลางคนมองออกไปไกล
โลงศพขนาดใหญ่ปลายขอบทิศตะวันตกขอทวีปซูซาคุกำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว บนยอดโลงศพมีคนนั่งอยู่สามคน ทั้งสามคนต่างผมสีขาวโพลน นอกจากคนตรงกลางที่อยู่ขั้นแปลงวิญญาณระดับต้น อีกสองคนเป็นขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย
ทั้งสามคนนั่งอยู่บนโลงศพซึ่งเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก ในพริบตาเดียวพวกเขามาถึงเบื้องหน้าก้อนเมฆดำ สัญลักษณ์รอยสักในก้อนเมฆกระพริบวาบเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเข้ามา
ชายชราขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นจากสำนักซากศพเอ่ยขึ้น “ข้าเป็นผู้อาวุโสของสำนักซากศพบนดาวซูซาคุและอีกสองคนด้านหลังข้าเป็นคนของสำนักซากศพ ข้าขอให้เผ่าละทิ้งอมตะเปิดค่ายกลรอยสักด้วย”
รอยสักภายในก้อนเมฆดำกระพริบอีกครั้งและอุโมงค์ปรากฎขึ้น โลงศพยักษ์จากสำนักซากศพลอยเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
โลงศพหยุดลงใจกลางก้อนเมฆดำ ผู้อาวุโสขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นจากสำนักซากศพกระโดดลงมา
เบื้องหน้าเขาเป็นชายกลางคนและชาแมนแปดใบไม้ทั้งสาม
ชายกลางคนเอ่ยด้วยความสงบ “ผู้อาวุโสซือหม่า ข้ากำลังรอคอยท่านอยู่”
ผู้อาวุโสสำนักซากศพหัวเราะ “ข้ามาสายเพราะเผชิญปัญหาระหว่างทาง นอกจากการส่งซากศพแล้วข้ามาที่นี่เพื่อส่งข่าวให้ท่านอีกสักเล็กน้อย”
ชายกลางคนมองผู้อาวุโสด้วยสายตาเยือกเย็นพร้อมกับรอฟังข่าว
ดวงตาผู้อาวุโสสว่างวาบ ”จูเซว่จื่อเข้าไปสำนักหลอมวิญญาณและต่อสู้กับตุ้นเทียนเพื่อขโมยธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง!”
ชายกลางคนมีสีหน้าเช่นเดิมจากนั้นยิ้มขึ้น “ผลเป็นเช่นไร?”
ผู้อาวุโสสำนักซากศพหัวเราะขึ้น “นั่นข้าก็ไม่รู้ แต่จากความเข้าใจของข้าในตัวซูซาคุคนปัจจุบัน หากเขาเข้าไปนั่นต้องมีความมั่นใจอย่างน้อยแปดในสิบส่วน เผ่าละทิ้งอมตะของท่านต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง!”
สีหน้าชายกลางคนยังไม่เปลี่ยนแปลง เขากำลังจะเอ่ยขึ้นทว่าใบหน้าเปลี่ยนไปทันที เขามองไปทางแคว้นพิลูซึ่งอยู่ทางทิศเหนือสุดเขตทวีปซูซาคุ จากตรงนั้นเขาพลันรู้สึกถึงกลิ่นอายที่อาจสร้างปัญหาให้เขาได้
จูเซว่จื่อลืมเลือนความเจ็บปวดจากวิญญาณดั้งเดิม ตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวซึ่งเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่พบกับซูซาคุรุ่นก่อนหน้า
เขารีบสงบจิตใจตัวเองอย่างรวดเร็วและถามขึ้น “นายเหนือหัว ท่านเป็นใคร?”
ลำแสงสีรุ้งกระพริบวาบปรากฎเป็นหวังหลิน เขาลอยตัวกลางอากาศ เส้นผมปลิวไสวโดยไร้แรงลมแต่กลับปลดปล่อยกลิ่นอายลี้ลับแข็งแกร่ง
ร่างกายเปล่งประกายรัศมีสีฟ้า กลิ่นอายเยือกเย็นนั้นสามารถแช่แข็งได้ทุกอย่างใจโลก
ตอนนี้หวังหลินเปลือยเปล่าโดยสิ้นเชิง ร่างโปร่งแสงและส่องประกาย ดวงตาไม่แจ่มชัดแต่เต็มไปด้วยรัศมีชั่วร้าย
ดวงตาเฉียนเฟิงเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับของหวังหลินมันราวกับกองไฟที่เผชิญกับดวงอาทิตย์
กลิ่นอายชั่วร้ายภายในสายตาหวังหลินอธิบายได้เพียงคำเดียวเท่านั้น อหังการ!
เหย่อยิ่ง อวดีและเห็นทุกสิ่งในโลกอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่มีใครในโลกสามารถเปรียบเทียบกับเขาได้
เขามองจูเซว่จื่ออย่างลวกๆ สายตาที่จ้องมองนั้นสว่างไสวมากกว่าสายฟ้าหลายเท่า
ร่างจูเซว่จื่อสั่นเทา ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนตนเองกลับไปอยู่ในอดีตจริงๆ เขารู้สึกหวาดกลัวเช่นเดียวกับตอนที่เผชิญหน้ากับซูซาคุรุ่นก่อน เขาถอยตัวกลับรวดเร็วและเป็นครั้งแรกที่เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดออกมาจากหน้าผากหลังจากไม่ได้ออกมานาน
“เจ้า…เจ้าคือหวังหลิน! ไม่สิ ท่านไม่ใช่หวังหลิน นายเหนือหัว ท่านเป็นใครกัน?” จูเซว่จื่อสูดหายใจลึกและซ่อนความกลัวในสายตาเอาไว้
“ข้าต้องถามเจ้าว่าเป็นซูซาคุรุ่นอะไร” ประโยคที่เต็มไปด้วยความถือดีพลันออกมาจากปากหวังหลิน น้ำเสียงของเขาให้ความรู้สึกว่า ‘เจ้าต้องตอบคำถามนี้’
ตุ้นเทียนจ้องฉากเบื้องหน้า ตอนที่เขามองหวังหลินเขาสัมผัสกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคย เวลาที่เขาอยู่กับหวังหลินไม่ได้ถือว่าสั้นดังนั้นจึงบอกได้ทันทีว่าคนผู้นี้ไม่ใช่หวังหลิน
ไม่มีทางใดที่หวังหลินจะมีความกดดันแบบนี้ เป็นความกดดันที่ “ข้าเหนือกว่าทุกคน” ความกดดันและความหยิ่งยโสรูปแบบนี้สามารถพบได้เฉพาะอสูรเฒ่าที่บ่มเพาะมานานหลายปีจนนับไม่ได้
จูเซว่จื่อไม่ต้องการตอบแต่กลับเอ่ยขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “ซูซาคุรุ่นที่สิบสี่…”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะมองจูเซว่จื่อด้วยสายตาเย็นชาและเอ่ยขึ้น “ในนามของเย่หวู่โยว ข้าจะไม่สังหารเจ้า ตอนนี้จงไปซะ”
“เย่หวู่โยว?” ตุ้นเทียนตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
แต่ว่าหลังจูเซว่จื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาถอยกลับมากกว่าเดิมโดยพลันและความกลัวในใจเขาปิดไว้ไม่มิดดังนั้นจึงแสดงออกทางสีหน้า
“ท่าน…” จูเซว่จื่อสูดหายใจอันหนาวเหน็บและร่างกายสั่นสะท้านราวกับถูกสายฟ้าเข้าแทรก สายตาที่มองหวังหลินไม่ได้เต็มไปด้วยความตกใจเท่านั้นมันยังเต็มไปกวาดกลัวฝังลึก
เย่หวู่โยวคือชื่อที่ซูซาคุทุกรุ่นจะรู้จัก นอกจากนั้นไม่มีใครทราบนามนี้แม้แต่เหล่าบรรพชนในสำนักของทวีปซูซาคุ ซึ่งพวกเขารู้จักแต่คนชื่อซูซาคุเท่านั้น
เย่หวู่โยวเป็นชื่อจริงของซูซาคุรุ่นแรก!
ขณะที่จูเซว่จื่อจ้องมองรัศมีสีฟ้ารอบร่างหวังหลิน เขานึกถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของซูซาคุจนกระทั่งจดจำตัวตนของคนผู้หนึ่งได้
คราวนี้ความหวาดกลัวในแววตายิ่งลึกล้ำกว่าเดิม เขาคำนับฝ่ามือต่อหวังหลินโดยไม่ลังเลและเอ่ยขึ้นว่า “ขอคำนับท่านบรรพชน ผู้น้อยจะจากไปเสียตอนนี้!”
สิ้นคำเขารีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ตุ้นเทียนมีแววตาสว่างขึ้นและร้องตะโกน “ทิ้งวิญญาณดวงที่สี่ไว้!”
จูเซว่จื่อหยุดชะงัก สายตาเผยออกมาว่ากำลังตัดสินใจและจากนั้นหันกลับมามองหวังหลิน
สายตาหวังหลินเผยร่องรอยแห่งอดีตและเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นข้าก็เป็นหนี้เย่หวู่โยว ช่างเถอะ เมื่อเจ้ากำลังใช้ต่อสู้กับเผ่าละทิ้งอมตะ ข้าจะให้เจ้าลืมเป็นเวลาสามปี สามปีนับตั้งแต่นี้เจ้าจะต้องคืนมันให้ข้า”
ตุ้นเทียนตื่นตระหนกและกำลังจะเอ่ยขึ้นมาทว่าหวังหลินหันมามองเขา ตุ้นเทียนสบตากลับมาแต่ที่เห็นไม่ใช่หวังหลิน กลับเป็นกลิ่นอายไม่คุ้นเคยราวกับกำลังจะบอกว่า ‘ข้าจะสังหารเจ้าถ้าเจ้าพูดออกมา’ และเขารู้ว่าคนผู้นี้สังหารโดยไม่ลังเลแน่นอน
จิตใจตุ้นเทียนสั่นเทาและไม่กล้าเอ่ยขึ้นมาอีก
จูเซว่จื่อถอนหายใจโล่งอก หากคนผู้นี้ต้องการวิญญาณดวงที่สี่คืนกลับไป ไม่ว่าอย่างไรเขาอาจจะต้องสู้กัน แต่จากที่ได้ยินเกี่ยวกับเขา จูเซว่จื่อขาดแม้กระทั่งความมั่นใจ
จูเซว่จื่อคำนับฝ่ามือและกำลังจะจากไป
แต่สายตาหวังหลินกระพริบเผยความจองหองและเอ่ยขึ้น “เมื่อเจ้าคาดเดาตัวตนของข้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คงรู้กฎของข้าดี เจ้าจะจากไปเช่นนี้หรือ?”
จูเซว่จื่อขบคิดเล็กน้อยและยกแขนขวาขึ้น เขาใช้แขนซ้ายตวัดและตัดสองนิ้วจากแขนข้างขวาออก “เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของผู้น้อย สองนิ้วนับว่าเพียงพอไหม?”
หวังหลินส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้นด้วยความอหัวการ “เพิ่มอีกหนึ่งนิ้ว!”
จูเซว่จื่อกัดฟันแน่น เขาใช้แขนขวาตัดอีกหนึ่งนิ้วออก มองหวังหลินด้วยใบหน้าซีดเผือด
จากนั้นหวังหลินเอ่ยขึ้น “ไปซะ!”
จูเซว่จื่อรีบจากไปโดยไม่หันศีรษะกลับมา เขาเปลี่ยนไปเป็นลำแสงและหายตัวไปในพริบตา
ห่างออกไปหนึ่งแสนลี้ จูเซว่จื่อกัดฟันแน่นและร้องคำรามอยู่กลางอากาศ
“ซูซาคุรุ่นที่สอง! เขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? เขายังอยู่บนดาวซูซาคุอยู่อีกหรือ?! เป็นไปได้อย่างไรกัน!?!?! ซูซาคุรุ่นสามวางแผนต่อต้านเขาโดยล่อเซียนต่างแดนออกไป ทำไมเขายังไม่ตาย!?!?! ”
เขาคำรามตลอดทางจนกระทั่งอยู่เหนือแคว้นซูซาคุ เขาหยุดกึกทันทีขณะมองกลับทางแคว้นพิลู ความโกรธในตอนนี้หายไปแต่กลับแทนที่ด้วยความสงสัย
“มีบางสิ่งผิดปกติ จากสิ่งที่ข้ารู้เกี่ยวกับซูซาคุรุ่นที่สอง ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยข้าไปง่ายๆ หรือว่าเขาพึ่งจะตื่นขึ้นและกุเรื่องขึ้นมา?”