426. ผลึกดาวเซียน
“โอ้?” หวังหลินมองไปทางซือถูหนาน
ดวงตาซือถูหนานเปี่ยมไปด้วยความสุข เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดีละ ข้าเลือกร่างนั้น! หวังหลินตามข้าไปขั้วโลกเหนือ ที่นั่นมีร่างที่ข้าต้องการอยู่”
เช่นนั้นจึงเริ่มเหาะเหินออกไป
หวังหลินตบกระเป๋า เจ้ายุงร้องคำรามและปรากฎตัวเบื้องหน้าหวังหลิน เขากระโดดขึ้นไปบนหลังมัน จากนั้นนั่งลงและตามซือถูหนานไป
ซือถูหนานหันกลับมามองเจ้าอสูรยุง สายตาส่องสว่างขึ้น “นี่มันอสูรรูปแบบไหนกัน? เจ้าเจอมันที่ไหน? ข้าจะออกไปจับมาเล่นบ้าง”
เจ้ายุงมักจะเกรี้ยวกราดตลอด แต่หลังจากสัมผัสกลิ่นอายของร่างซือถูหนานได้มันจึงร้องเสียงหึ่งๆและถอยให้ห่างจากเขา
ซือถูหนานจ้องเจ้ายุงชั่วครู่ พริบตาเดียวเขาปรากฎตัวด้านข้างหวังหลินซึ่งอยู่บนหลังเจ้ายุงและเอ่ยขึ้น “เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน? ข้าไม่มากินเจ้าหรอก”
ร่างอสูรยุงสั่นเทาขณะมองหวังหลินอย่างอ้อนวอน
หวังหลินยิ้มบางและลูบศีรษะเจ้ายุง เขานำหินหยกออกมาและประทับข้อมูลบางส่วนเข้าไปส่งให้ซือถูหนาน “ถ้าท่านไปที่นี่ ท่านจะจับอสูรยุงได้มากตามที่ท่านต้องการ”
ซือถูหนานรับหินหยกไป หลังตรวจสอบใบหน้าจึงเปลี่ยนทันทีและเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว…”
หินหยกที่หวังหลินให้กลับบรรจุข้อมูลของดาวเคราะห์ตำแหน่งที่เหล่าเทพโบราณพบอสูรยุงจำนวนมาก
แม้ซือถูหนานจะมีความภาคภูมใจแค่ไหน หัวใจเขาสั่นสะท้านเมื่อได้เห็นข้อมูลในหินหยก จากนั้นจึงมองอสูรยุงด้วยท่าทีประหลาด
ซือถูหนานเผยรอยยิ้มซุกซน “หวังหลิน เรามาทำข้อตกลงกันดีกว่า เมื่อข้าได้ร่างกายแล้วขอยืมเจ้ายุงมาศึกษาสักพัก ข้าเพียงแค่ศึกษามันเท่านั้นและไม่ทำให้มันอันตรายถึงชีวิต”
“ไม่ได้!” หวังหลินปฏิเสธโดยไม่ลังเล
ซือถูหนานตื่นตระหนก “ข้าไม่ฆ่ามันจริงๆ! มันอาจจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็ได้!”
“ไม่ได้!” หวังหลินส่ายศีรษะ
สายตาซือถูหนานเบิกกว้างขณะจ้องหวังหลินและตะโกน “เจ้าหนู ไม่มีใครปฏิเสธข้า ตอนนั้นข้าต้องการนางสนมของซูซาคุรุ่นแรก ข้าแค่ไปขโมยมันมาจากเขา ตราบใดที่ข้าต้องการ ไม่มีใครห้ามข้าได้ เจ้าจะยกมันให้ข้าหรือไม่? ถ้าไม่แล้วข้าตบสังหารเจ้าในฝ่ามือเดียว เจ้าเด็กอกตัญญู!”
หวังหลินจ้องซือถูหนาน เขาไม่ได้เอ่ยคำใดแต่แค่มองเขาอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นไม่นานซือถูหนานยิ้มอย่างคุมเชิงและเอ่ย “ข้ามาพบเจ้าได้อย่างไร…อาาา ตอนที่เจ้ายังเด็กนั้นก็เป็นข้าเองที่ปรับร่างกายเจ้าให้สามารถบ่มเพาะได้ และก็ยังเป็นข้าที่เสนอความคิดให้เจ้าขโมยรากฐานคนอื่น และยังเป็นข้าที่ช่วยเจ้าไว้หลายครั้ง เจ้าลืมช่วงเวลาที่ตระกูลเถิงไล่ล่าเจ้าได้อย่างไร?”
“รวมถึงนอกหุบเขาจูมิง ข้าก็ยังเสี่ยงชีวิตตัวเองช่วยเจ้าและนี่คือสิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าหรือ? ข้าเป็นชายแก่ที่น่าสงสารนัก ข้าไม่มีความต้องการมากมายอะไร ข้าเพียงแค่ต้องการยืมอสูรของเจ้ามาศึกษาเท่านั้น…”
หวังหลินรู้สึกเริ่มปวดหัว หากซือถูหนานเล่นแบบนี้เขาคงไม่สามารถปฏิเสธได้ ทุกคำที่ซือถูหนานพูดได้ตกลงตรงใจเขา หวังหลินยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้และเอ่ยขึ้น “ก็ได้ ข้าจะให้ท่านยืม ข้าจะให้ท่านยืม!”
สีหน้าซือถูหนานเปลี่ยนไปเป็นจองหองอีกครั้งและหัวเราะ “เยี่ยมมาก นี่สิคนที่ข้าเลือก!” เช่นนั้นเขามองไปทางอสูรยุงและเผยรอยยิ้มน่าขนลุก
ร่างเจ้ายุงสั่นเทาและมันกรีดร้องขึ้นมา รอยยิ้มนั้นแทบทำให้มันหล่นลงจากท้องฟ้า
ขณะที่พวกเขาเหาะเหินไป หวังหลินขบคิดและถามขึ้นมา “ซือถู ท่านรู้จักขอบเขตจวี่ไหม?”
สีหน้าซือถูหนานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ขอบเขตจวี่เป็นหนึ่งในสามขอบเขตการฝึกเซียน ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องนี้?”
หวังหลินมองซือถูหนาน ในโลกนี้นอกจากลี่มู่หวานแล้ว อีกหนึ่งคนที่เขาเชื่อใจก็คือซือถูหนาน
หวังหลินตบกระเป๋าและหยดแสงสีขาวปรากฎออกมา แสงสีขาวปลดปล่อยแรงกดดันคล้ายกับทัณฑ์สวรรค์ แม้ว่าแรงกดดันนี้ไม่อันตรายต่อหวังหลินแต่มันสามารถสังหารเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ทุกคนที่สัมผัส!
ซือถูหนานตกใจจนเผลออุทานออกมา เขาหยิบแสงสีขาวมองใกล้ๆและท่าทางเปลี่ยนไปทันที สัมผัสวิญญาณของเขากระจายออกมาเพื่อตรวจสอบรอบๆก่อนจะโยนแสงสีขาวให้กระเป๋าของหวังหลิน เขาส่งแสงสีขาวผ่านสัมผัสวิญญาณของหวังหลินและตรงเข้าไปในกระเป๋าทันที
ซือถูหนานร้องตะโกน “ทำไมเจ้าถึงมีขอบเขตจวี่!?!?!”
หวังหลินเอ่ยขึ้นตอบ “ตอนที่อยู่ในหุบเขาจูหมิง เสี้ยวขอบเขตจวี่ปรากฎในร่างกายข้า ท่านยังคงหลับจึงไม่ได้เห็นมัน จากนั้นร่างกายข้าถูกทำลายและท่านช่วยวิญญาณข้าไว้ก่อนที่จะกลับไปหลับอีกครั้ง ในสนามรบต่างแดน ขอบเขตจวี่ของข้าจึงบรรลุขอบเขตอย่างสมบูรณ์”
“ขอบเขตจวี่เป็นสิ่งที่โหดร้ายอย่างมาก ข้าไม่ได้มีข้อมูลนักแต่ข้ารู้ว่าสมาพันธ์เซียนมักจะค้นหาเหล่าเซียนขอบเขตจวี่เสมอ เมื่อไหร่ที่พวกเขาพบมันจะสังหารทันที เจ้าต้องจำไว้ว่าไม่ควรเผยมันให้ใครเห็นโดยเฉพาะซูซาคุคนปัจจุบัน!” สีหน้าซือถูหนานยิ่งเคร่งเครียดขึ้นไปอีก
หวังหลินพยักหน้า เขาครุ่นคิดอีกเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ข้าสงสัยว่าขอบเขตจวี่นี้ได้มาจากบทฝึกวิถีนรกของท่าน”
ซือถูหนานตกตะลึง เขาลูบคางตนเอง “นั่นอาจจะมีส่วน แต่มีตัวแปรหลายอย่างจนเกิดเป็นขอบเขตจวี่ขึ้นมา เท่าที่ข้ารู้ โอกาสการปรากฎของขอบเขตจวี่ถือว่าต่ำมาก รวมถึงมันยากที่จะฝึกฝนด้วย ความจริงเจ้าสามารถดึงมันออกจากร่างกายโดยไม่ได้รับผลกระทบก็ถือเป็นเรื่องหายากมากแล้ว” ซือถูหนานมองหวังหลินด้วยแววตาชื่นชม
“ซือถู ข้าได้ยินมาว่าผลึกดาวเซียนสามารถช่วยขอบเขตจวี่ให้ทะลวงขีดจำกัดได้ นั่นเป็นเรื่องจริงไหม? ผลึกดาวเซียนคืออะไรกันแน่?” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างเมื่อในที่สุดก็ได้ถามคำถามที่เก็บงำไว้หลายร้อยปี
“เจ้ากระทั่งรู้เรื่องผลึกดาวเซียน…” ซือถูเผยใบหน้าซับซ้อนก่อนจะถอนหายใจและพูดขึ้น “ผลึกดาวเซียน…ของสิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่หากเจ้าต้องการออกไปจากดาวงดวงนี้ เจ้าก็ต้องได้มันมา ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาในอนาคต…อ๊า! ผลึกดาวเซียนเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดที่สมาพันธ์เซียนใช้เพื่อควบคุมดาวเคราะห์เซียน…”
ซือถูหนานกำลังจะพูดต่อแต่สายตาพลันมองออกไปไกลและเอ่ยขึ้น “ข้าจะพูดเรื่องนี้ทีหลัง ตอนนี้มีสมาชิกเผ่าละทิ้งอมตะเบื้องหน้าเรากำลังเสนอวิญญาณบรรพชนให้ ขอข้าคิดเดี๋ยว….ข้าจำได้ว่าซูซาคุรุ่นแรกศึกษามนต์คาถาที่สามารถใช้วิญญาณบรรพชนเพื่อดูดซับพลังลึกลับบางอย่างได้…ข้าแก่ขึ้นมากและความทรงจำยิ่งแย่ลง ข้าคิดว่ามันถูกต้อง หวังหลินส่งหินหยกสวรรค์ให้ข้าเม็ดนึง”
หวังหลินมองออกไปไกล เขาตบกระเป๋าอีกข้างนำหินหยกสวรรค์ออกมาส่งให้ซือถูหนาน
ซือถูหนานรับหินหยกสวรรค์และใช้เวลาหนึ่งลมหายใจสูดมันจนแห้งเหือด ดวงตาเขาเต็มไปด้วยพลังปราณสวรรค์พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ข้าจำเรื่องซูซาคุรุ่นแรกบอกได้ว่ามนต์บทนี้มีจุดอ่อนร้ายแรง แม้ว่าจุดอ่อนนั้นเป็นเรื่องน่ารำคาญ ข้าควรจะหลีกเลี่ยงมันได้ หวังหลินรอข้าข้าที่นี่ เดี๋ยวข้ากลับมา”
เช่นนั้นเขาหายตัวไป
ตอนที่ซือถูหนานปรากฎตัวและไล่ตะเพิดจูเซว่จื่อไป เหล่าเซียนขั้นเทวะทั้งหมดสัมผัสกลิ่นอายทรงพลังนั้นได้
ชายชราชุดคลุมขาวปรากฎตัวในท้องฟ้าฝั่งตะวันออกของแคว้นซูซาคุ เขาคือเซียนขั้นเทวะคนเดียวของสำนักหยกสวรรค์ ฉูหยุนเฟย ในตอนนี้สีหน้าเขายุ่งยาก พลันถอนหายใจและเอ่ยออกมา “รัศมีทรงพลังมาก…”
เขาส่ายศีรษะเบาๆ ขณะที่มองไปทางทิศตะวันออก สายตาเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เบื้องหลังเขาเป็นเหล่าเซียนหลายสิบคน ส่วนใหญ่เป็นขั้นตัดวิญญาณและมีเพียงสามคนเท่านั้นที่เป็นขั้นแปลงวิญญาณ
เบื้องหลังผู้คนกลุ่มนี้เป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมากกว่าร้อยคน
ในท้องฟ้าฝั่งทิศใต้ของทวีปซูซาคุคือกองทัพเซียนมากกว่าร้อยคนที่กำลังเหาะเหินอยู่ คนหน้าสุดเป็นชายกลางคน เขาคือเซียนขั้นเทวะของสำนักสลายปฐพี เขายิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยขึ้น “โชคร้ายที่ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามนี้…”
หลังจูเซว่จื่อกลับมาที่ภูเขาซูซาคุ เขาพักผ่อนเล็กน้อยก่อนจะรีบออกมาอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายของเขาอยู่ทางฝั่งตะวันตกทวีปซูซาคุ
ก้อนเมฆดำปลายขอบทวีปซูซาคุฝั่งตะวันออก บรรพชนรุ่นห้าถอยสายตาอย่างหมองหม่น
ผู้อาวุโสซือหม่าสำนักซากศพเป็นระดับขั้นแปลงวิญญาณจึงไม่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตอนที่ซือถูหนานปรากฎได้ แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าบรรพชนรุ่นห้าเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด จึงอดไม่ได้ที่จะตกใจ
เขากำลังจะสอบถามข้อมูลทว่าบรรพชนรุ่นห้าโบกแขนเสื้อและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโสซือหม่า เริ่มได้”
ดวงตาซือหม่าส่องสว่างขึ้นและหัวเราะ “เยี่ยมมาก เหตุผลที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อส่งมอบศพนี้ มันสามารถทำให้ต้นไม้วิญญาณบรรพชนของท่านรุ่งโรจน์ได้ยิ่งขึ้น”
สิ้นคำเขาหันหลับมามองผู้ดูแลสองคนเบื้องหลังเขา
ทั้งสองออกมาจากโลงศพและเริ่มสร้างผนึก พลังปราณหลายเส้นลอยออกมาจากพวกเขาและบรรจบบนโลงศพ
หลังจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองปลดปล่อยแสงลี้ลับและชั่วร้ายจากร่างกายและร้องตะโกน “จงเปิด!”
เสียงไม้สองแผ่นขูดขีดกันดังขึ้นกลางอากาศขณะที่แผ่นไม้ค่อยๆเลื่อเปิดออกจากโลงศพ ช่องว่างใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น
ควันสีดำออกมาจากข้างในตามมาด้วยกลิ่นเหม็นซากศพเน่าเปื่อย
บรรพชนรุ่นห้าจ้องมองโลงศพอย่างสงบนิ่ง ทว่าชาแมนแปดใบไม้เบื้องหลังเคร่งเครียดและลอบเฝ้าระวัง
“จงตื่นขึ้น!” สองผู้ดูแลร้องตะโกนพร้อมกัน
ฝาครอบถูกผลักไปด้านข้างด้วยมือล่องหนและตกกระแทกพื้นดินทันที
ขณะนี้ควันสีดำที่เล็ดลอดจากโลงศพพลันหนาแน่นขึ้นและดูเหมือนต้องการห่อหุ้มไปทั้งโลง
บรรพชนรุ่นห้าของเผ่าละทิ้งอมตะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ร่างศพนี้คือสิ่งที่พวกเจ้าพูดถึงหรือ?”
ผู้อาวุโสซือหม่าเผยรอยยิ้มขี้เล่น “ท่านบรรพชนรุ่นห้า อย่ากล่าวหาข้าเลย คำสั่งมาจากเบื้องบนและศพก็ถูกส่งมาจากเบื้องบนด้วย ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ แต่ว่าบนดาวซูซาคุไม่มีร่างศพของเผ่ามารยักษ์ขั้นแปลงวิญญาณมากนัก ร่างนี้ถูกเคลื่อนย้ายมาจากดาวอื่น ร่างศพอีกสี่ร่างน่าจะส่งไปที่สถานที่แต่ละแห่งแล้ว”