430. ผู้ส่งสาส์น
ฉูหยุนเฟยเอ่ยด้วยสายตาเยือกเย็น “ความว่าอะไร?”
หยุนเซว่ส่ายศีรษะ “เจ้าควรจะไป ระบ่มเพาะของเจ้าไม่คู่ควรกับข้าและเจ้าบาดเจ็บหนัก น้องฉู ภายในพันปีจงอย่ากลับมาพึ่งกลับมา”
ดวงตาฉูหยุนเฟยเยือกเย็นยิ่งขึ้น “หากข้าไม่ตกลงเล่า?”
หยุนเซว่ถอนหายใจก่อนจะโบกแขนและเศษไม้สีดำปรากฎขึ้น ไม้สีดำระเบิดกลายเป็นหมอกควันและมีแสงสีทองกระพริบตามมาด้วยแรงกดดันทรงพลัง
ร่างมายาร่างหนึ่งปรากฎภายในแสงสีทอง มันมาถึงเบื้องหน้าฉูหยุนเฟยในพริบตาและตบเบาๆ
ท่าทางฉูหยุนเฟยเปลี่ยนทันทีและถอยกลับอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดแขนและพลังปราณสวรรค์รวมกันเบื้องหน้า
ทว่าฝ่ามือได้ผ่านพลังปราณสวรรค์เข้าไปและกดลงบนหน้าอกฉูหยุนเฟยด้วยความเร็วเกินจินตนาการ
ฉูหยุนเฟยกระอักโลหิตและรีบถอยและหลบหนีเข้าหาเส้นขอบฟ้า
“หยุนเซว่ ข้าจะไปจากดาวซูซาคุ!” น้ำเสียงฉูหยุนเฟยดังออกมา เต็มไปด้วยความสะเทือนใจ
“ทำไมถึงหยุดข้าไม่ให้สังหารมัน?” ร่างมายาหันกลับมามองหยุนเซว่
หยุนเซว่มองร่างนั้นและเอ่ยขึ้น “ตอนที่เจ้าลงมือ จูเซว่จื่อ(ซูซาคุ)จะตรวจจับได้ ไปเถอะ” ทั้งสองคนหายตัวไปทันที
เมื่อทั้งคู่จากไป ก้อนเมฆเปลี่ยนเป็นสีแดงและค่อยๆเผยร่างของจูเซว่จื่อ
“หยุนเชว่! ออกมา!” ใบหน้าจูเซว่จื่อเต็มไปด้วยความโกรธแค้น น้ำเสียงดังสะท้อนกระจายไปทุกทิศทุกทาง
“ศิษย์พี่ การต่อสู้ระหว่างเราสองคนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่าเราอยู่ในสำนักเดียวกันมาพันปี ข้าจะให้เวลาท่านฟื้นฟูร่างเป็นเวลาสามเดือน หลังจากนั้นเราจะเริ่มต่อสู้กันที่ตีนภูเขาซูซาคุ!”
น้ำเสียงของหยุนเซว่ดังออกมาจากอากาศว่างเปล่า
จูเซว่จื่อสูดหายใจลึก เขาพึมพำขณะที่มีใบหน้าบึ้งตึง “ข้ารู้จุดประสงค์ของเจ้า หยุนเชว่ เจ้ากำลังเล่นกับไฟ!” จากนั้นหายตัวไป
หยุนเซว่และอีกร่างปรากฎขึ้นช้าๆจากที่ไหนสักแห่งกลางท้องฟ้าเหนือทวีปซูซาคุ อีกร่างถามขึ้นทันที “ทำไมถึงไปให้เวลามันมากขนาดนั้น? สังหารจูเซว่จื่อไม่ควรใช้เวลานาน”
หยุนเชว่มองร่างนั้นและเอ่ยขึ้น “ในเผ่าละทิ้งอมตะ รวมกับข้าแล้วมีชาแมนเก้าใบไม้สามคน สิบใบไม้หนึ่งคนและเจ้าที่เป็นชาแมนสิบเอ็ดใบไม้ หากเราทั้งห้าคนโจมตีด้วยกันมันไม่ยากที่จะสังหารจูเซว่จื่อ!”
“มิหนำซ้ำต้นไม้วิญญาณบรรพชนสมบูรณ์เพียงสองต้นเท่านั้น ชาแมนสิบใบไม้อีกสองคนจะตามมาในไม่ช้า ดังนั้นทั้งเจ็ดคนสังหารจูเซว่จื่อนับว่าง่ายยิ่งขึ้น!”
“ทว่าจูเซว่มิอาจสังหารได้ในตอนนี้!”
ร่างข้างๆขบคิดและเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นคนของพวกเซียนนานเกินไปและหลงลืมต้นกำเนิดของเจ้า เจ้ายังจำได้ไหมว่าเผ่าของเราเสียสละคนไปเท่าไหร่เพื่อส่งเจ้าไปที่แคว้นซูซาคุ…”
ดวงตาหยุนเซว่ส่องสว่างขึ้นและเหยียดยิ้ม “บรรพชนลำดับหนึ่ง ข้าจะบอกท่านอีกครั้งว่าอย่าประเมินจูเซว่จื่อต่ำไป จูเซว่จื่อมีผลึกดาวเซียน แม้มันจะถูกผนึกโดยซูซาคุรุ่นสอง ซูซาคุทุกรุ่นในรอบหลายหมื่นปีที่ผ่านต่างก็ค้นหาวิธีทำลายผนึก ซูซาคุรุ่นก่อนพบจุดอ่อนหนึ่ง ด้วยระดับความเข้าใจของซูซาคุปัจจุบันหากเราสังหารเขา เขาจะทำลายผลึกดาวเซียนแน่นอนเพื่อให้เซียนทุกคนบนดาวเคราะตาย ถึงตอนนั้นเมื่อหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้เผยออกไป สมาพันธ์เซียนจะส่งคนมาต่อกรกับเราแน่นอน ท่านคิดว่าเผ่าละทิ้งอมตะของเราสามารถต่อกรกับสมาพันธ์เซียนได้หรือ?”
ร่างนั้นเงียบไป
“หากหลายสิ่งเป็นไปตามแผนการของข้า เราต้องเลี้ยงดูเซียนสักคนให้กลายเป็นซูซาคุคนถัดไปและจากนั้นให้เงื่อนงำยังคงอยู่ซึ่งจะทำให้เผ่าละทิ้งอมตะของเราคงอยู่ต่อไป นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่หากท่านบรรพชนใจร้อน ท่านจะทำลายแผนการทั้งหมดของข้า”
“แม้กระทั่งตัวตนของข้ายังถูกบังคับให้เผยออกมาเพื่อพิสูจน์ว่าข้าเป็นสมาชิกของเผ่าละทิ้งอมตะ ในมุมมองของข้ามันไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
หยุนเซว่จื่อเอ่ยขึ้น “บรรพชนรุ่นแรก หากท่านต้องการให้เผ่าของเราอยู่รอด เราต้องยื่นแขนของเราเข้าไปบนผลึกดาวเซียนและยอมให้หนึ่งในคนที่ข้าเลือกกลายเป็นซูซาคุคนต่อไป เช่นนั้นเราจึงจะสามารถควบคุมเซียนทุกคนบนดาวได้โดยอ้อม”
“ข้าเลือกไว้แล้วสี่คนและจำเป็นต้องใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเพื่อให้แผนการของข้าบรรลุผล แผนของข้าวางไว้มาหลายพันปีต้องถูกทำลายด้วยพวกท่าน!”
“ผู้สืบทอดที่จูเซว่จื่อเลือกไว้คือเฉียนเฟิงและหลิวเหมย เฉียนเฟิงคนนั้นได้เรียนวิชาซูซาคุดังนั้นข้าเชื่อกว่าเขาจะเป็นร่างกายที่ซูซาคุคนปัจจุบันเตรียมการเพื่อครอบครองร่าง ซูซาคุทุกรุ่นพยายามค้นหาวิธีทางใช้การครอบครองร่างเพื่อยืดอายุขัยของตนเองและข้าเชื่อว่าซูซาคุคนนี้ค้นพบทางหนึ่ง”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเลือกซื่อฉิน หากจูเซว่จื่อครอบครองร่างได้สำเร็จ เขาจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง แม้ข้าจะพลาดและจูเซว่จื่อแต่งตั้งเฉียนเฟิงให้กลายเป็นซูซาคุคนถัดไปจริงๆ เมื่อเขากลายเป็นซูซาคุเขาจะยังถูกควบคุมโดยซื่อฉินอยู่ดี”
“คนที่สามที่ข้าเลือกคือโจวหวู่ไท่ เด็กคนนี้มีสายเลือดของมังกรเขียว ตอนที่เผ่ามังกรเขียวช่วยเราไว้ในสงครามเมื่อนานมาแล้ว ข้าจึงเลือกเขาไว้อีกคน นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเข้าไปในพันธมิตรสี่สำนักและเขาก็คือคนที่ข้าเตรียมการไว้ให้ต่อกรกับหลิวเหมย”
“ทว่าสิ่งที่น่าสนใจก็คือขณะที่ข้าอยู่ในพันธมิตรสี่สำนัก ข้าพบเซียนผู้หนึ่งนามว่าหวังหลิน พรสวรรค์ของเขาธรรมดาและไม่มีสิ่งใดพิเศษ ทว่าเขากลับสามารถรู้แจ้งเขตแดนแห่งชีวิตและความตาย ด้วยความใจร้อนข้าจึงให้เขากลายเป็นตัวเลือกที่สี่”
“เดิมทีข้าไม่ได้สนใจคนผู้นี้มากนักแต่พัฒนาการหลังจากนั้นทำให้ข้าตกใจมาก ที่ดินแดนสวรรค์เขาตัดแขนผีเสื้อสีชาดออกไปได้ หลังจากกลับมาระดับบ่มเพาะของเขาพุ่งทะยานขึ้นและยังได้รับความสนใจจากจูเซว่จื่อ”
“คนผู้นี้ยังมีความลับหลายอย่างและบางครั้งข้าก็มิอาจมองเขาจนทะลุปรุโปร่งได้ ดังนั้นท้ายที่สุดข้าจึงเลือกเขาเป็นตัวเลือกหลักในแผนการของข้า!”
“ตอนนี้เขายังเป็นตัวเลือกหลัก! และเป็นตัวการสำคัญที่สุดในแผนด้วย!”
ร่างข้างๆขบคิดเล็กน้อยก่อนจะยกศีรษะขึ้น จากนั้นจ้องหยุนเซว่จื่ออย่างเยือกเย็นและเอ่ยขึ้น “คำอธิบายยังไม่เพียงพอ!”
สายตาหยุนเซว่จื่อเคร่งเครียด “ข้าไม่รู้ว่าผลึกดาวเซียนมีผลกระทบต่อเผ่าละทิ้งอมตะของเรามากเท่าไหร่ หากมันมีผลกระทบเมื่อนั้นสมาชิกทุกคนในเผ่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่เหล่าเซียนเข้ามาที่นี่จะต้องตายรวมถึงท่านและข้า คำอธิบายนี้เพียงพอหรือไม่?”
ร่างข้างๆครุ่นคิดอีกครั้ง จากนั้นถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ใครเป็นตัวเลือกที่เจ้าเลือกไว้คนแรก?”
หยุนเซว่จื่อยิ้มบาง “เมื่อผู้ส่งสาส์นเสร็จสิ้นงานของตัวเองและหากไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อนั้นตัวเลือกแรกของข้าจะกลายเป็นซูซาคุคนต่อไป!”
ในที่สุดร่างนั้นก็ถามขึ้น “ทำไมเจ้าถึงให้จูเซว่จื่อถึงสามเดือน?”
“เพราะข้าต้องการรอจนกว่าเขากระตุ้นผลึกดาวเซียน! ข้าจะไม่ลงมือตอนนี้แต่เมื่อไหร่ที่ข้าลงมือ ข้าจะไม่ให้โอาสจูเซว่จื่อ!”
ด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จะเข้าสู่แคว้นซู หวังหลินมองร่างชายกำยำที่พึ่งถอดหมวกฟางออกมา แม้จิตใจหวังหลินสั่นเทาเล็กน้อยแต่ไม่เผยอาการทางสีหน้า เขายิ้มและเอ่ยขึ้น “ไม่เจอกันนานนักพี่โจว!”
ชายกำยำวางหมวกฟางไว้ด้านข้าง ตบกระเป๋าและนำโต๊ะพร้อมกับถ้วยออกมา เขาเอ่ยขึ้น “น้องหวัง ข้าอยากอื่มเหล้าสักเล็กน้อย เจ้ายังมีเหล้าเมื่อตอนนั้นเหลืออีกบ้างไหม?”
ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นบาๆขณะมองไปที่หมวกฟาง เขาตบกระเป๋าและขวดเหล้าปรากฎในฝ่ามือ จากนั้นมองเหล้า ภาพของต้าหนิวปรากฎขึ้นในใจเขา เขาเหลือเหล้าของต้าหนิวน้อยกว่าสิบขวดแล้ว
หวงหลินวางเหล้าลงบนโต๊ะ นั่งลงรินไปหนึ่งถ้วยและดื่มมันหมดในครั้งเดียว
โจวหวู่ไท่ยิ้มขึ้นและหยิบขวดเหล้ารินให้ตัวเองจนเต็มด้วย พลันจิบหนึ่งคราและเอ่ยขึ้น “เหล้ายังรสชาติดีเหมือนเดิมและคนยังเหมือนเดิม แต่ตอนนี้จิตใจของเราแตกต่างกันสิ้นเชิง แม้การนั่งอยู่ตรงนี้จะเหมือนก่อนแต่ว่าเราสองคนเปลี่ยนไปมาก”
หวังหลินขบคิด เขาถือถ้วยชาไว้และไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
“น้องหวัง เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าทำไมข้าถึงไม่ตาย? ข้ายังจำได้ตอนที่เจ้าเอาหม้อพิรุณไปจากข้าได้” โจวหวู่ไท่มองหวังหลินด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้ม
หวังหลินตอบด้วยความสงบ “ยังดีกว่าผีเสื้อสีชาดที่ได้มาราคาถูก แม้ข้าจะไม่ได้มันมาข้าก็เชื่อว่าพี่โจวมีแผนอื่นอยู่แล้ว”
โจวหวู่ไท่หัวเราะ เขารินอีกถ้วยและเอ่ยขึ้น “ไม่พูดถึงเรื่องอดีตดีกว่า ชื่อเสียงน้องหวังบนดาวซูซาคุพุ่งสูงขึ้นหลายปีที่ผ่านมานี้ สำหรับเรื่องนี้แล้วข้าขอดื่มให้สักจอก!”
ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า หวังหลินจึงรินให้ตัวเองหนึ่งถ้วยและดื่มจนหมดลง
สายตาโจวหวู่ไท่ส่องสว่างขึ้นและเอ่ยออกมา “น้องหวัง ข้าขอดื่มจอกที่สองสำหรับการขอบคุณที่เจ้าสังหารหลี่หยวนเฟิงและผนึกเฉว่ยี่!“ สิ้นคำเขาดื่มของตัวเอง
หลังผ่านไปสองถ้วยทั้งสองหลงเหลือแต่ความเงียบสนิท
หลังจากนั้นไม่นานโจวหวู่ไท่มองออกไปไกลและเอ่ยขึ้น “หวังหลิน ผู้อาวุโสต้องการให้เจ้าไปหา…เพื่อที่เขาจะได้สอนเจ้าถึงวิธีใช้ที่แท้จริงของหมวกหยุนเซว่”
หลังเห็นโจวหวู่ไท่มาพร้อมกับหมวกฟาง เขาจึงรู้ว่าโจวหวู่ไท่เกี่ยวข้องกับหยุนเซว่จื่อ จากสิ่งที่เขาเรียนรู้มาก หมวกฟางไม่ใช่สิ่งที่หยุนเซว่จื่อให้ใครได้ง่ายๆ
หวังหลินเข้าใจทันทีว่าทำไมโจวหวู่ไท่ถึงไม่ตายหลังจากเห็นหมวกฟางใบนั้น
หวังหลินเอ่ยขึ้น “บอกหยุนเซว่จื่อว่าข้าจะไม่ไปหาเขา”
โจวหวู่ไท่เผยใบหน้าซับซ้อน “น้องหวัง เราทั้งคู่ต่างก็เป็นเบี้ยในเกมของเขา ผู้อาวุโสให้หมวกฟางนี้อีกคน เจ้าน่าจะรู้จักนาง นางชื่อว่าซื่อฉิน!”
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและเยาะเย้ย
โจวหวู่ไท่ส่ายศีรษะจากนั้นยืนขึ้นหยิบขวดเหล้า เขาดูหดหู่เล็กน้อย “น้องหวัง ครึ่งขวดนี้เจ้าให้ข้าได้ไหม?”