434. เจ้าอยากนอนกับข้าไหม?
หวังหลินมีสีหน้าไม่ชอบใจขณะจ้องนางอย่างเงียบงัน
ดวงตาฉวี่ลี่กั๋วจ้องนางตาเป็นมันขณะออกมาจากกระบี่และลอยเข้าหานาง “นางฟ้าน้อยไม่ต้องกลัว พี่ใหญ่ฉวี่ของเจ้ากำลังไป!”
นางยิ้มออกมา ดวงตาส่องประกายแสงลึกลับพร้อมกับยกมือเรียวสวยนุ่มนวลขึ้นและชี้ไปที่หน้าผากฉวี่ลี่กั๋ว
จังหวะที่นิ้วมือนางประทับลง ฉวี่ลี่กั๋วเผยใบหน้าเยาะเย้ยและร่างกายหายวับไป แทนที่ด้ยพลังปราณกระบี่เส้นหนึ่ง
“เจ้าสำส่อน ข้าเคยโดนเจ้าหลอกมาครั้งหนึ่งแล้ว ไฉนเลยจะผิดพลาดซ้ำสองเล่า!”
รอยยิ้มของนางกว้างขึ้นและเป่าปราณกระบี่ไปเบาๆ
พลังปราณกระบี่แตกสลายทันทีเมื่อปะทะกับลมหายใจของนาง
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ฉวี่ลี่กั๋วหวาดกลัวอย่างมากโดยทันทีพร้อมกลับไปหาหวังหลินและเข้าไปอยู่ในกระบี่สวรรค์
หวังหลินถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าเป็นใคร?”
นางมองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “ท่ามกลางเหล่าเซียนข้าถูกเรียกว่าเม่ยจี ส่วนในเผ่าละทิ้งอมตะ ข้าเป็นบรรพชนลำดับสาม!”
สายตาหวังหลินสว่างขึ้นมา “เช่นนั้นท่านบรรพชนลำดับสาม ผู้น้อยล่วงเกินท่านแล้ว ขอตัวลา” สิ้นคำเขาเริ่มหันกลับไป
สายตาของนางปรากฎระลอกคลื่นและเอ่ยขึ้น “อย่าเรียกข้าว่าท่านบรรพชนลำดับสาม ข้าชอบคนอื่นเรียกข้าว่าเม่ยจีมากกว่า เจ้าต้องเชื่อฟังข้าถึงจะออกไปจากที่นี่ได้”
นางชี้กลางอากาศและอุโมงค์ซึ่งนำทางสู่ชั้นที่สิบพลันปิดผนึกทันที
หวังหลินขมวดคิ้ว เขาจ้องนางอย่างเย็นชาและเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสหมายถึงสิ่งใด?”
นางวางนิ้วใกลริมฝีปาก สายตาเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนพลันยิ้มขึ้นมา “อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าหมายถึงน่ะหรือ? ข้าเพียงต้องการให้เจ้าลิ้มรสความสุขของชีวิต ข้าได้กลิ่นอายบริสุทธิ์จากร่างกายเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้ายังไม่เคยลิ้มรสสตรีคนใดมาก่อน โชคดีของข้ายิ่งนัก”
ดวงตาหวังหลินเปลี่ยเป็นเย็นชาและเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “การที่ท่านอยู่ที่นี่หมายความว่าท่านบาดเจ็บหนัก ท่านบรรพชนลำดับสาม ท่านจำของสิ่งนี้ได้ไหม?!” สิ้นคำหวังหลินตบกระเป๋าและธงวิญญาณล้านดวงปรากฎขึ้นมา เหล่าดวงวิญญาณลอยออกมาพร้อมกับเสียงครวญครางโหยหวน
เสียงร่ำร้องเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อวิญญาณโดยตรง
สายตาของนางส่องสว่างขึ้น นางจ้องธงวิญญาณและเอ่ยมาทีละคำ “ธงวิญญาณ หนึ่ง ล้าน ดวง!”
มือซ้ายหวังหลินชี้ไปที่กระบี่สวรรค์และมันเริ่มเรืองแสงออกมา จากนั้นกวัดแกว่งกระบี่และผ่าลงบนพื้น
เกิดเสียงตู้ม ร่องลึกเกิดขึ้นบนพื้นดิน
หวังหลินมองนางและเอ่ยขึ้น “ถ้าเพียงแค่ใช้พลังปราณสวรรค์ไปหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น”
“เช่นนั้นนี่มันก็เป็นสมบัติสวรรค์!” ดวงตาของนางเยือกเย็น “เจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารข้าได้ด้วยสมบัติสองชิ้นนี้หรือ?”
“หากท่านมีพลังเต็มที่ ข้าคงไม่มั่นใจนักแต่ข้ามั่นใจว่าท่านบาดเจ็บหนัก ผู้อาวุโสอย่าบังคับข้าเลย มันไม่ได้ดีต่อเราสองคน ส่วนเรื่องในวันนี้ข้าจะทิ้งมันไว้ที่สุสานอมตะและท่านก็สามารถฟื้นตัวต่อไปได้”
เขาไม่มีความมั่นใจในการต่อสู้กับนางเลย นอกจากนั้นนางยังเป็นตัวตนที่คล้ายกับเซียนขั้นเทวะ แม้นางจะบาดเจ็บก็ยังมีวิชาบางอย่างไว้ใช้งาน นางไม่เหมือนกับชาแมนแปดใบไม้พวกนั้นที่หวังหลินสังหารได้ง่ายๆด้วยความช่วยเหลือจากวิญญาณเทวะ
นางยิ้มเบาบาง พลันมองหวังหลินเหมือนกับคนรักและหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก ข้าเพียงต้องการให้ความสุขกับเจ้าเท่านั้น ทำไมถึงผลักข้าออกประตูเล่า? นอกเหนือจากนั้นสุสานอมตะมีทั้งสิ้นสิบเก้าชั้น เมื่อเจ้าผ่านพี่สาวไปได้เจ้าจะเจอความลับของพลังรอยสักแห่งเผ่าละทิ้งอมตะของข้า สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นที่นี่ปกป้องดวงวิญญาณของบรรพชนลำดับหนึ่งไว้ เจ้ามีธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง ไม่ต้องการเก็บรวบรวมวิญญาณบรรพชนลำดับหนึ่ง… ”
หวังหลินจ้องนางพร้อมกับตัดบท “ข้าจะให้เวลาท่านสามลมหายใจ จะปล่อยข้าไปหรือต่อสู้ก็ขึ้นอยู่กับท่าน!”
นางถอนหายใจและชี้กลางอากาศ อุโมงค์ที่หายไปพลันปรากฎขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อเจ้าไม่ต้องการร่วมสุขกับข้า ข้าก็ทำได้แต่ปล่อยเจ้าไปเท่านั้นแต่เจ้าต้องทิ้งวิญญาณเขตแดนดวงนั้นไว้”
หวังหลินล่าถอยและเอ่ยขึ้นท่าทีสงบนิ่ง “เมื่อข้าออกไปจากสุสานอมตะ ข้าจะปลดปล่อยมัน ด้วยระดับพลังของท่านคงจับมันไม่ยากนัก”
เช่นนั้นหวังหลินเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าเข้าหาอุโมงค์
สายตาของนางเยือกเย็น นางแสยะยิ้มและคิดขึ้น ‘ข้าอยากจะเห็นตอนที่เจ้าเดินเข้าไปในกับดัก!’
ทว่ารอยยิ้มของนางพลันแข็งค้าง
นางเห็นหวังหลินหยุดลงนอกอุโมงค์ ฝ่ามือเคลื่อนไหวและพลังปราณสวรรค์ล้อมรอบร่างไว้ ค่ายกลปรากฎขึ้นใต้ฝ่าเท้าและเขาหายตัวไป
เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขาก็อยู่ในค่ายกลที่วางไว้ในชั้นที่สิบ หลังปรากฎตัวหวังหลินเคลื่อนที่หลบหนีต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก
“เซียนตัวน้อยที่ระมัดระวังอะไรเช่นนี้…เขาทำให้ข้าชอบเขาเสียจริง หากข้าดูดเขาจนแห้งคงทำให้พลังรอยสักฟื้นฟูได้เล็กน้อยเท่านั้น” นางเลียริมฝีปากและสายตาเผยดวงแสงอ้อมไปมาอย่างประหลาด
“หากเขาต่อสู้ที่นี่มันคงยุ่งยาก ถ้าทำลายที่นี่ข้าจะแข็งใจสังหารเขา นั่นคงต้องเสีย….ตอนนั้นเขาออกไปจากที่นี่แล้ว ข้าใช้พลังข้าจับเขาได้อย่างอิสระ ไม่มีใครจะหนีรอดพี่สาวไปได้…” นางชี้ไปที่ม้วนคัมภีร์เบื้องหน้าและเอ่ยขึ้น “จับเขาและพาเขากลับมาที่นี่”
เช่นนั้นม้วนคัมภีร์ปิดลงและหายวับไป
“ขั้นแปลงวิญญาณที่ไม่เคยผ่านสตรีมาก่อน…” นางจับริมฝีปากของตนเอง ดวงตาจดจ้องดังนางมารร้ายและกระซิบ “รีบกลับมานะหนูน้อย พี่สาวรอไม่ไหวแล้ว…”
หวังหลินเหาะเหินอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระจายสัมผัสวิญญาณออกมา เขาไม่เชื่อว่านางจะปล่อยเขาไปง่ายๆดังนั้นจึงเคลื่อนไหวให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่นานนักก็มาถึงชั้นที่สอง
เขาเห็นอุโมงค์ขึ้นสู่ชั้นแรกและกำลังจะเคลื่อนที่พริบตาไป ทว่าใบหน้าพลันเปลี่ยนสีและกวัดแกว่งกระบี่สวรรค์ไปด้านหลัง
เสียงปะทะดังขึ้นเมื่อปราณกระบี่โดนเข้ากับอะไรบางอย่างกลางอากาศด้านหลัง ม้วนคัมภีร์ที่อยู่เหนือศีรษะของนางพลันเผยร่างมายาของมันกลางอากาศ
หวังหลินหันกลับไปมองคัมภีร์ด้วยใบหน้ามืดมน
ควันปิศาจสีดำกำลังลอยออกมาจากคัมภีร์ มันค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆเผยเป็นจุดสีม่วงทองจำนวนสิบจุดจนสร้างเป็นวงกลมหนึ่ง
จุดเหล่านี้ปลดปล่อยพลังลึกลับและจากนั้นแปรเปลี่ยนในทันที
จุดแสงทั้งสิบเปลี่ยนเป็นรูปร่างรอยสักอสรพิษและลอยออกมา ควันสีดำเปลี่ยนเป็นมังกรดุร้ายยาวกว่าพันฟุต
กลิ่นอายที่ออกมาจากมังกรตัวนี้มีระดับเดียวกับอสูรเดียวดาย จังหวะที่มันปรากฎจึงส่งเสียงร้องคำรามและพุ่งเข้าหวังหลินโดยพลัน
รอยสักที่ปรากฎก่อนหน้านี้กระพริบวาบบนหน้าผากเจ้ามังกร
หวังหลินตวัดกระบี่สวรรค์ ปราณกระบี่พุ่งผ่านร่างมังกรราวกับมันไม่มีตัวตนจริงๆ
“เป็นไปได้อย่างไรที่ปราณสวรรค์จะไร้ประโยชน์?!” หวังหลินตื่นตกใจ
กลิ่นคาวลอยโชยมาพร้อมกับเจ้ามังกรพุ่งเข้าหาเขา ฝ่ามือหวังหลินสร้างผนึกอย่างรวดเร็วเกิดเป็นกฎเกณฑ์หนึ่ง กฎเกณฑ์นี้บรรจุพลังปราณสวรรค์เอาไว้ มันร่อนลงบนเศียรมังกรทันที
ตู้มมม!
เสียงดังสนั่น เจ้ามังกรถอยกลับไปด้วยความเจ็บปวด กฎเกณฑ์ครอบปากมังกรราวกับเป็นตาข่ายยักษ์จนมันไม่อาจอ้าปากได้นานนัก
มันส่งเสียงร้องพร้อมกับพุ่งเข้าหาหวังหลินราวกับสายฟ้า
สายตาหวังหลินสว่างวาบและขยับกระบี่สวรรค์เพื่อขวางด้านหน้า เจ้ามังกรกระแทกใส่กระบี่สวรรค์และหวังผลินใช้แรงส่งนี้พุ่งเข้าสู่อุโมงค์ไปชั้นแรก จากนั้นหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย
ชั่วขณะหนึ่ง จุดทั้งสิบบนม้วนคัมภีร์หมุนอีกครั้งและรอยสักพยัคฆ์ปรากฎออกมา มันเปลี่ยนกลายเป็นพยัคฆ์ดำยาวกกว่าพันฟุต จัวหวะนั้นมันโบกอุ้งมือและทำลายกฎเกณฑ์บนปากเจ้ามังกรทันที
เจ้ามังกรและพยัคฆ์รีบไล่ตามหวังหลินไปสู้ขั้นที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังพวกมันเป็นม้วนคัมภีร์ปลดปล่อยแสงชั่วร้ายและติดตามไปอย่างช้าๆ
ขณะที่หวังหลินมาถึงชั้นแรก เจ้ามังกรและพยัคฆ์ก็ไล่ตามทัน
“พยายามขังข้าด้วยสมบัติ เจ้าประเมินข้าต่ำไป!” หวังหลินตบกระเป๋าและของชิ้นหนึ่งปรากฎในฝ่ามือ
ของชิ้นนี้คือม้วนคัมภีร์ที่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้กระทั่งบัดนี้
เมื่อเห็นม้วนคัมภีร์เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หวังหลินรวบรวมความกล้าและลองเปิดคัมภีร์ออกมา!
ตอนที่ม้วนคัมภีร์นี้ปรากฎขึ้น เจ้ามังกรและพยัคฆ์หยุดกึกและไม่กล้าเข้ามาใกล้ พวกมันหยุดห่างออกไปหนึ่งพันฟุตและเริ่มร้องคำราม ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
สายตาหวังหลินสว่างวาบขณะกุมม้วนคัมภีร์และเปิดมันออก ม้วนคัมภีร์ของเขาเป็นสีดำล้วนและมีเพียงแค่จุดสีม่วงทองจุดเดียว
จังหวะที่ม้วนคัมภีร์เปิดออก เจ้ามังกรและพยัคฆ์หยุดร้องคำครามทันที พวกมันจ้องม้วนคัมภีร์พร้อมกับแสงลึกลับในแววตาพวกมัน จังหวะนี้เองม้วนคัมภีร์ที่มีแสงม่วงทองสิบจุดก็ไล่ตามทัน
ฉากเหตุการณ์นี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
ม้วนคัมภีร์ทั้งสองห่างกันระหว่างเจ้ามังกรและพยัคฆ์อยู่หลายพันฟุต พวกมันมองคัมภีร์ทั้งสองด้วยแววตางุนงง
ที่ชั้นสิบเอ็ด สีหน้าบรรพชนลำดับสามเปลี่ยนไป
“สมุดรอยสักอสูร ทำไมเขาถึงมีสมบัติของเผ่าละทิ้งอมตะกัน?! หรือว่าบรรพชนจะทิ้งมันไว้ข้างนอกงั้นหรือ?!” ดวงตานางสว่างขึ้นและกระซิบ “กลับมา!”
ขณะที่นางเอ่ยคำนั้น ม้วนคัมภัร์ที่มีจุดสิบจุดจึงสั่นเทา เจ้ามังกรและพยัคฆ์เปลี่ยนเป็นลำแสงสองเส้นลอยเข้าหาคัมภีร์
เหลือเพียงแค่ม้วนคัมภีร์ของหวังหลินกระพริบวาบและปรากฎรูปร่างสตรีผู้หนึ่ง มิอาจเห็นรูปร่างสตรีคนนี้ชัดเจน มีเพียงแต่ภาพเงาของนางเท่านั้น