446. ฐาน
หวังหลินเงียบกริบและมองไปที่มู่หรงหยุน
หัวใจมู่หยุนไฮ่เต้นผิดจังหวะ
มู่หรงหยุนยิ้มบางขณะคำนับฝ่ามือ “ผู้น้อยมู่หรงหยุนขอคำนับผู้อาวุโส”
มู่หยุนไฮ่พยักหน้าและถามขึ้น “เจ้ารู้วิธีการเข้าพื้นที่ชั้นในหรือ?”
มู่หรงหยุนพยักหน้าและตอบกลับ “ผู้อาวุโสมู่ ผู้น้อยรู้วิธีการเข้าไปแต่ผู้อาวุโสต้องสัญญาว่าจะพาเราเข้าไปด้วยเช่นกัน หากผู้อาวุโสตกลงข้าสัญญาว่าจะบอกทุกสิ่งที่ข้ารู้”
สายตามู่หยุนไฮ่สว่างวาบและเอ่ยขึ้น “ข้าตกลง พูดมาสิ”
มู่หรงหยุนเผยดวงตาแห่งความสุข “ผู้น้อยจะนำทางไป เป้าหมายของเราคือฐานแห่งหนึ่งมันเป็นทางเดินเข้าสู่พื้นที่ชั้นใน”
มู่หยุนไฮ่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ที่นั่นมีอันตรายไหม?”
มู่หรงหยุนรีบตอบ “มีสิ ผู้น้อยเห็นชาแมนแปดใบไม้เผ่าละทิ้งอมตะตายไปหลายคน มีทั้งหมดแปดคนแต่คนแรกที่เข้าไปไม่พบอันตรายอะไรเลย”
มู่หยุนไฮ่ขมวดคิ้ว จากนั้นมองมาทางหวังหลินและถามขึ้น “สหายเซียนเซิ่ง เจ้าคิดว่าอะไร?”
หวังหลินมองมู่หรงหยุนด้วยรอยยิ้มและพูดกับมู่หยุนไฮ่ “เมื่อมีเราสองคนร่วมมือกัน แม้เราไม่อาจผ่านไปได้ ชีวิตของเราไม่น่าจะตกอยู่ในอันตราย”
มู่หยุนไฮ่หัวเราะพลันพยักหน้าและเอ่ยกับมู่หรงหยุน “เจ้าหนู นำทางไป!”
มู่หรงหยุนรีบพบักหน้าจากนั้นมองหวังหลินและยิ้มคุมเชิง “ผู้อาวุโสไม่ใช่เซียนขั้นตัดวิญญาณแน่ๆ ผู้น้อยไม่รู้มาก่อน ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะไม่กล่าวหา” เช่นนั้นเขาก็เหาะไปข้างหน้า มู่หยุนไฮ่ส่งสัญญาณให้หวังหลินและทั้งสองก็ติดตามไปข้างหลัง
ส่วนสตรีขี้เหร่ นางลังเลเล็กกน้อยก่อนจะติดตามไป
แม้ว่าความเร็วของมู่หรงหยุนจะเร็วมากแต่มันยังช้าเกินไปในสายตามู่หยุนไฮ่ ครึ่งชั่วโมงถัดมามู่หยุนไฮ่พ่นลมหายใจและขยับขึ้นไปคว้ามู่หรงหยุนหันมาหาหวังหลิน “สหายเซียนเซิ่ง เจ้าและข้าช่วยกันพาไปฝั่งละคนและไปฐานแห่งนั้นด้วยความเร็วเต็มที่ หากเราช้าและผลึกดาวเซียนทำลายไป เมื่อนั้นเราทั้งหมดจะตายกันที่นี่”
สิ้นคำเขาคว้าตัวมู่หรงหยุนและเร่งความเร็วขึ้นทันทีก่อนจะหายตัวออกไปไกล
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น เขาโบกแขนขวาและสตรีขี้เหร่ถูกพลังลึกลับสายหนึ่งล้อมรอบไว้ทันที หวังหลินลอยออกไปไกลขณะนำนางไปด้วย
“ผู้อาวุโสคือเซิ่งหนิวหรือ?” นางอยู่ด้านหลังหวังหลินและกลิ่นหอมของนางเตะจมูกหวังหลิน
หวังหลินตอบด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ใช่”
นางแปลกใจเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นทันที “ผู้อาวุโสจงระวังมู่หรงหยุนให้ดี” หลังจากนั้นนางก็เงียบ
หวังหลินและมู่หยุนไฮ่เร็วมาก ด้วยการนำทางของมู่หรงหยุนพวกเขาจึงข้ามผ่านที่ราบอย่างรวดเร็ว
สามวันถัดมา เทือกเขาไร้ที่สิ้นสุดปรากฎเบื้องล่าง เหนือเทือกเขาเป็นก้อนเมฆสีดำมากมายมหาศาล ก้อนเมฆหมุนปั่นต่อเนื่องและปลดปล่อยกลิ่นอายน่าขนลุกออกมา
ฝั่งตะวันตกของเทือกเขาคือยอดภูเขาสูงตั้งตระหง่าน ส่วนใหญ่ยอดภูเขาถูกซ่อนเอาไว้ใต้เมฆหมอกสีดำ ดังนั้นอีกครึ่งของภูเขาจึงสามารถเห็นได้เบื้องหลังก้อนเมฆเท่านั้น
ภายใต้การชี้นำของมู่หรงหยุน มู่หยุนไฮ่พุ่งเข้าไปในเมฆดำ หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและติดตามเบื้องหลังไปอย่างใกล้ชิด
ภายในก้อนเมฆดำ หวังหลินอ้าปากและพ่นแสงสีดำออกมา แสงสีดำหายวับไปอย่างรวดเร็วภายในเมฆดำ
จากนั้นเขาตบกระเป๋าและนำบางสิ่งออกมา เพียงเขย่าหนึ่งครั้งมันก็หายไปในเมฆดำเช่นกัน เมื่อมีก้อนเมฆดำปกคลุมเขาจึงทำเรื่องทั้งหมดนี้โดยไม่สะดุดตา ดังนั้นจึงไม่มีใครตรวจจับสิ่งใดได้ แม้กระทั่งสตรีที่อยู่ถัดจากเขาก็ไม่สังเกตเห็นเพราะความแตกต่างด้านระดับบ่มเพาะที่มหาศาลเกินไป
ภูเขาในเมฆดำพร่ามัวเล็กน้อยราวกับมีบางสิ่งบางอย่างห่อหุ้มล้อมรอบยอดภูเขาเอาไว้ให้ความรู้สึกอันบริสุทธิ์ บนยอดภูเขามีแท่นขนาดใหญ่แห่งหนึ่งและใจกลางแท่นเป็นฐานสีดำ
ฐานแห่งนี้คือหอคอยที่มีก้าวแต่ละก้าวนำทางขึ้นสู่ยอด บนยอดหอคอยมีรอยโหว่พร้อมกับหมอกสีดำกำลังเข้าไปข้างใน
มู่หยุนไฮ่จับมู่หรงหยุนและร่อนลงบนฐาน
หวังหลินตามหลังมาเพียงไม่นาน
พวกเขาเห็นคราบโลหิตแห้งบนฐานและกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่จางหายไป บางครั้งได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากก้อนเมฆดำราวกับมีภูติพรายกำลังร้องไห้
หลังจากหวังหลินมาถึง เขาปล่อยนางลงไปและดวงตาสว่างวาบมองไปรอบๆ เขาเห็นว่าสถานที่แห่งนี้แตกต่างจากที่ซือถูหนานอธิบายไว้อย่างมาก
ฐานที่ซือถูหนานเล่าให้ฟังเป็นหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีภูเขารายล้อมและไม่ใช่ยอดภูเขา ดวงตารีบเปลี่ยนเป็นเย็นชา
มู่หยุนไฮ่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและมองรอบๆ จากนั้นเอ่ยขึ้น “เจ้าหนูมู่หรง นี่คือฐานที่เจ้าพูดถึงหรือ?”
มู่หรงหยุนรีบพยักหน้าและเอ่ยด้วยความมั่นใจ “ใช่ที่นี่แล้วผู้อาวุโส แต่ว่าท่านควรระมัดระวังตัว นอกจากชาแมนแปดใบไม้คนแรกแล้ว คนที่ตามเขาไปทั้งหมดต่างก็ตายอย่างลึกลับ”
มู่หยุนไฮ่มองไปยังมู่หรงหยุนก่อนจะคว้ามู่หรงหยุนและกดฝ่ามือบนหน้าผากเขาไว้ ดวงตามู่หยุนไฮ่สว่างขึ้นและเอ่ยเบาบาง “ค้นวิญญาณ!”
มู่หรงหยุนกรีดร้องโหยหวนและร่างกายเริ่มสั่นเทา ดวงตามู่หยุนไฮ่สว่างมากขึ้นจากนั้นชั่วขณะจึงปล่อยมู่หรงหยุนไป
มู่หรงหยุนล้มลงไปราวกับกองโคลน ร่างกายปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายและแน่นิ่งไม่ไหวติง
“สหายเซียนเซิ่ง มันไม่ได้โกหก!” เช่นนั้นเขากระโดดขึ้นไปบนฐาน “สหายเซิ่ง ข้าจะไปสอดแนมดู ป้องกันให้ด้วย!”
“ตกลง!” ดวงตาหวังหลินแฝงอาการเยาะเย้ย
มู่หยุนไฮ่มาถึงยอดฐานเกือบพริบตา หลังยืนอยู่ที่นี่สักพักสีหน้าท่าทางเปลี่ยนเป็นประหลาดใจทันที ดวงตาเผยแสงประหลาดขณะมองไปที่รอยแหว่งบนยอดฐาน
หลังจากนั้นไม่นานจึงเผยความสุขทางแววตาและหัวเราะ “ใช่ที่นี่! สหายเซียนเซิ่ง ข้าจะนำไปก่อน!” เช่นนั้นเขาเดินเข้าสู่ใจกลางฐานและหายตัวไป
สตรีขี้เหร่ลังเลเล็กน้อย นางมองหวังหลินและหันไปมองมู่หรงหยุนก่อนจะครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ
หวังหลินเยาะเย้ย เขาไม่ได้มองไปทางฐานแต่กลับมองมู่หรงหยุนแทนพร้อมกับสะบัดวิชาเซียนเข้าหาหน้าผากเขา
วิชาเซียนเข้ามาถึงในไม่ช้า มู่หรงหยุนลืมตาขึ้นทันทีพลันคว้าเอาไว้และบดขยี้มัน จากนั้นยืนขึ้นมองหวังหลิน ควันสีดำปรากฎและปกคลุมใบหน้าเขาพลันใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที
“ท่านดูออกได้อย่างไรกัน?!” น้ำเสียงแฝงพลังอำนาจลึกลับ
หวังหลินเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาสงบนิ่ง “ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าสักสองสามข้อ”
ดวงตามู่หรงหยุนส่องสว่างวาบและเอ่ยขึ้น “น่าสนใจ ท่านตอบข้ามาก่อน”
“เซียนทั้งหมดชอบทำให้ตัวเองสะอาดสะอ้าน ดังนั้นจึงมีเสื้อผ้าเก็บไว้หลายชุดในกระเป๋า หายากนักที่จะมีใครกระเซอะกระเซิงเช่นเจ้า”
มู่หรงหยุนเหยียดยิ้ม “เพียงแค่เรื่องนั้นหรือ?”
ท่าทางหวังหลินยังคงสงบ เขาจ้องมู่หรงหยุนและเอ่ยขึ้น “แน่นอนว่ามีเรื่องอื่นอีกแต่ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเป็นตัวอะไร”
มู่หรงหยุนพ่นลมหายใจ “ข้าเกิดขึ้นจากเสี้ยววิญญาณ! บอกข้ามาว่ามีอะไรอีก!”
หวังหลินเอ่ย “เสื้อผ้าของเจ้าเก่าเกินไปและไม่ใช่สิ่งที่เหล่าเซียนที่พึ่งเข้ามาในนี้ใส่กัน เป้าหมายของเจ้าคืออะไร?”
“ข้าไม่มีเป้าหมาย ข้าเพียงไม่ต้องการให้พวกเจ้าได้ผลึกดาวเซียนไป มีแค่สองจุดหรือ?” มู่หรงหยุนขมวดคิ้ว
หวังหลินถอนหายใจและส่ายศีรษะ “เหตุผลสุดท้ายคือสัญลักษณ์เสื้อผ้าของเจ้า…” เช่นนั้นฝ่ามือขวาหวังหลินขยับทันที เขากระตุ้นพลังปราณสวรรค์ในร่งากายและวิชาเซียนที่บรรจุพลังปราณสวรรค์ปรากฎเบื้องหน้าทันที ฝ่ามือขวายกขึ้น วิชาเซียนพุ่งออกไปหามู่หรงหยุน
มู่หรงหยุนเยาะเย้ยและไม่ขยับ แต่ขณะที่วิชาเซียนร่อนลง ร่างเขาแตกสลายกลายเป็นควันสีดำหลายเส้นและหายวับเข้าไปในเมฆดำรอบๆ
หวังหลินไม่ไล่ตาม สายตาเยาะเย้ย ในไม่ช้าเสียงกรีดร้องหนึ่งดังออกมาจากภายในก้อนเมฆดำและหมอกควันดำหลายเส้นลอยกลับมาควบแน่นกลับเป็นมู่หรงหยุน ใบหน้าน่าเกลียดมองรอบๆและเอ่ยกับหวังหลิน “เจ้าไม่ใช่เซียนขั้นแปลงวิญญาณธรรมดา!”
ธงยาวสามสิบฟุตผืนหนึ่งลอยออกมาจากก้อนเมฆดำ ผืนธงเคลื่อนไหวราวกับคลื่นข้างในก้อนเมฆ ดวงวิญญาณจำนวนมากเข้าและออกภายในธงนั้น มีดวงวิญญาณหลักสิบดวงภายในควันดำสายตาจดจ้องลงบนมู่หรงหยุน
ท่ามกลางเหล่าดวงวิญญาณหลักมีกิเลนสีม่วงทองอยู่หนึ่งตัว สายตาของมันจดจ้องอย่างดุร้าย
หวังหลินหล่อหลอมธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงอีกครั้งระหว่างทางมาที่นี่กับซือถูหนาน เขารวมธงวิญญาณอีกสองผืนเข้าด้วยกันจนตอนนี้กิเลนและหลี่หยวนเฟิงได้กลายเป็นวิญญาณหลักของธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงไปแล้ว
ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงมีวิญญาณหลักถึง 28 ดวง!
“เจ้าคิดว่าจะสามารถกักขังข้าไว้ได้รึ?” มู่หรงหยุนเยาะเย้ยและพุ่งออกมาอีกครั้ง เขาเปลี่ยนไปเป็นสายหมอกสีดำอีกครั้งและเหาะเหินเข้าหากายทวารของหวังหลิน
หวังหลินถอยกลับและดวงตาเย็นชา เขายกฝ่ามือขึ้นและเอ่ยเบาๆ “ผนึก!”
ขณะนั้นธงอีกผืนลอยออกมาจากก้อนเมฆดำ ไม่นานนักที่มันปรากฎ กฎเกณฑ์จำนวนมากลอยออกมา พวกมันเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วและสร้างเป็นกรงขังขนาดเท่าคน กักขังสายหมอกสีดำทั้งหมดไว้ข้างใน กรงนั้นหดลงอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเท่ากำปั้น
ทรงกลมนี้สร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์หลายแถวได้ผนึกหมอกดำข้างในไว้อย่างสมบูรณ์