451. เสี้ยววิญญาณของหวานเอ๋อ
แต่ไม่ใช่เซียนขั้นเทวะทั้งหมดที่สำเร็จ โอกาสคือครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น
หลังบรรลุระดับเหนือขั้นเทวะขึ้นไปหรือแคว้นระดับห้าขึ้นสู่แคว้นระดับหกเท่านั้นที่จะทำให้เสี้ยววิญญาณได้รับคืนอย่างปลอดภัย
หยุนเซว่จื่อไม่สามารถรับเสี้ยววิญญาณของตัวเองออกมาได้ ความจริงแล้วตั้งแต่ที่แคว้นซูซาคุมาถึงที่นี่ก็ไม่มีใครสามารถเอาเสี้ยววิญญาณของตัวเองออกมาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผนึกของซือถูหนานทำเอาไว้มากมาย
แม้ว่าผนึกบนผลึกดาวเซียนจะป้องกันซูซาคุรุ่นหลังไม่ให้ควบคุมดวงดาว มันยังหยุดทุกคนที่บรรลุขั้นเทวะไม่ให้เอาเสี้ยววิญญาณของตัวเองกลับคืนไปได้อีก
ในดาวเคราะห์เซียนที่ทรงพลังมากกว่านี้จะถูกแคว้นระดับเจ็ดหรือระดับแปดควบคุมเอาไว้ หลายสำนักที่มีทรงพลังเทียบได้กับดาวเคราะห์เซียนระดับหก สำนักเหล่านี้มีหลายวิธีหลบเลี่ยงผลึกดาวเซียน
หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้คงไม่เกิดการประทะกันภายในสมาพันธ์เซียน
ณ บัดนี้ในอวกาศอันห่างไกลบนดาวเคราะห์ใหญ่ดวงหนึ่ง ลำแสงกระบี่หลายเส้นเหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้า คนเหล่านี้ไม่ได้กำลังต่อสู้กันแต่รีบเร่งไปสถานที่แห่งหนึ่ง
ดาวเคราะห์แห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล มันมีขนาดใหญ่มากกว่าดาวซูซาคุถึงสิบเท่าได้และเนื่องจากมันเป็นดาวขนาดใหญ่จึงมีพวกคนธรรมดามากมายโดยธรรมชาติ
ดาวเคราะห์เล็กห้าดวงโคจรรอบดาวใหญ่ดวงนี้ แต่ละดวงมีเหล่าเซียนจำนวนมากอาศัยอยู่
แม้กระทั่งดาวเคราะห์เล็กที่อยู่ห่างไกลออกไปยังมีค่ายกลแข็งแกร่งปกป้องมัน
ดาวเคราะห์ใหญ่ที่อยู่ใจกลางคือดาวเคราะห์เทียนหยุน
ดาวเคราะห์เล็กห้าดวงอยู่ภายใต้การควบคุมของดาวเคราะห์เทียนหยุนซึ่งเป็นดาวเคราะห์ระดับเจ็ด ส่วนดาวที่เล็กกว่านั้นเป็นดาวเคราะห์ส่วนตัวของเหล่าเซียนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้เว้นแต่ว่าจะถูกเชิญเป็นการส่วนตัว
ดาวซูซาคุเปรียบได้ง่ายๆกับดาวเล็กๆพวกนี้
มีหลายสำนักบนดาวเทียนหยุน แต่แน่นอนว่าที่โดดเด่นที่สุดคือสำนักชะตาสวรรค์
สำนักชะตาสวรรค์ได้กล่าวไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตขึ้นอยู่กับโชคชะตา ทุกสิ่งทุกอย่างถูกตั้งไว้แล้ว ดังนั้นเจ้ามิอาจฝืนหรือหลบเลี่ยงมันได้ เป็นคำประกาศิตของสำนักที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความยอดเยี่ยมเหนือธรรมชาติ
คนที่ตั้งประกาศิตนี้คือคนที่เป็นที่เคารพของประชาชนบนดาวเทียนหยุน เขาคือเทียนหยุน
ณ บัดนี้เทียนหยุนลืมตาขึ้นจากการปิดด่านฝึกตน ใบหน้าอ่อนโยนและแม้จะมีผมขาวโลนกลับไม่ดูแก่ชรา สร้างสัมผัสเหนือธรรมชาติ ดวงตาสว่างไสวแสดงพลังงานที่มากกว่าดวงตาของผู้เยาว์หลายคู่
ไม่มีร่องรอยความตายบนตัวเขา เขาเต็มไปด้วยพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุด
ตอนนี้เขาอยู่ที่เจดีย์ชะตาเทพของสำนักชะตาสวรรค์ ดวงตาทั้งสองข้างเผยแสงอันลึกลับและกล่าวพึมพำกับตัวเอง “ตอนที่ข้าไปเยี่ยมสหายเก่า ข้าผ่านดาวเคราะห์กึ่งไร้ประโยชน์และข้าพบกับเด็กคนนึง เด็กคนนี้สามารถรู้แจ้งเขตแดนแห่งชีวิตและความตายของวัฏสงสารและพยายามทะลวงขั้นตัดวิญญาณ มีคนไม่มากนักที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ดังนั้นเมื่อข้าเห็นว่าระดับบ่มเพาะของเขากำลังขาดแคลน ข้าจึงกล่าวเปรยไว้ว่าจะรับเขาเป็นศิษย์พิเศษของข้าเป็นเวลาร้อยปี วันนี้ข้ามีความรู้สึกอันหนึ่ง…ข้าเชื่อว่าเด็กคนนี้จะมาถึงในไม่ช้านี้…ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้เขามีระดับบ่มเพาะอะไรแล้วแต่หากเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้แล้วไม่มีระดับอย่างน้อยขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย ข้าคงผิดหวัง…”
เทียนหยุนขบคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆและหลับตาอีกครั้ง
ภายในสุสานซูซาคุ หวังหลินใช้สัมผัสวิญญาณในระยะแคบลง มีร่างชีวิตมากมายเกินไปรอบๆที่นี่และบางส่วนยากนักที่หวังหลินจะต่อกรด้วย เว้นแต่เขาจะใช้ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง
หวังหลินเคลื่อนร่างอย่างระมัดระวัง เมื่อไหร่ที่ตรวจจับอันตรายได้เขาจะเปลี่ยนทิศทางทันทีและอ้อมออกไป ทำให้การเดินทางของเขาช้าลงไปมาก
วันนี้สิ่งที่ปรากฎเบื้องหน้าหวังหลินคือภูเขาสองลูกที่มียอดเขาแทงทะลุยอดฟ้า ระหว่างภูเขาทั้งสองคือเส้นทางเดินเล็กๆที่มองไม่เห็นจุดปลายซึ่งนำทางเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขาสองลูก
ภูเขาทั้งสองห้อมล้อมด้วยป่าดงดิบ
ขณะที่หวังหลินยืนอยู่ตีนเขาทั้งสองลูก เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและดวงตาเป็นประกาย
หวังหลินมาถึงพื้นที่ชั้นในของสุสานมาหลายวัน ตามการคาดคะเนของเขา ใจกลางของพื้นที่แห่งนี้ควรจะจะผ่านเส้นทางนี้ไป
ทว่าระหว่างทางหวังหลินรู้สึกชัดเจนว่ายิ่งเขาเข้าใกล้ใจกลางมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพวกร่างชีวิตพวกนี้มากขึ้น บางตัวแข็งแกร่งจนหวังหลินไม่สามารถต่อกรด้วยได้
หลังครุ่นคิดไปชั่วขณะ หวังหลินเดินเข้าหาเส้นทางเล็กๆระหว่างภูเขาสองลูก เขาระมัดระวังทุกฝีก้าวและตรวจจับสิ่งรอบข้างตลอดเวลา
สิ่งมีชีวิตพวกนี้มีหลายรูปร่างดังนั้นหากไม่ระมัดระวังดีดีจะเกิดการลอบทำร้ายเอาได้
ระหว่างทางหวังหลินมองไปยังพื้นผิวด้านข้างของภูเขาทั้งสองลูก ผิวภูเขาเรียบเนียนมีหลายจุดที่เปียกชื้นและบางครั้งถึงกับมีหยดน้ำตกลงมาจากฝั่งภูเขา
หลังเดินได้หลายสิบเมตร ท่าทางหวังหลินเปลี่ยนไปและตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ!
เขามองผนังของภูเขาสองลูกอย่างระมัดระวังและดวงตาส่องสว่างขึ้น
“หากว่าสถานที่แห่งนี้เปียกชื้นตลอดทั้งปี มันควรจะมีต้นมอสเติบโตขึ้น นอกจากนั้นแล้วสถานที่แห่งนี้คล้ายกับนอกดวงดาว แต่นี่กลับดูเหมือนมันพึ่งเปียกได้ไม่นานมานี้เอง!”
ฝ่ามือขวาหวังหลินชี้ไปที่ผิวของภูเขาลูกนึงและนิ้วมือจิ้มเข้าไปเกิดเป็นหลุมลึกหนึ่งนิ้วทันที
ครึ่งนิ้วแรกเปียกชิ้นแต่ครึ่งนิ้วลึกเข้าไปแห้งสนิท
หวังหลินถอยกลับออกมาโดยไม่ลังเล ในพริบตาเขาก็อยู่ด้านนอกเส้นทางเมื่อครู่ และขณะที่ถอยออกมา น้ำบนผนังภูเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว มันออกมาจากกำแพงและผลึกหยดน้ำใสสะอาดเริ่มลอยขึ้นเหนือเส้นทาง
มีหยดน้ำนับไม่ถ้วนอย่างน้อยหลายหมื่นหยดและทุกชิ้นแสดงถึงวิญญาณหนึ่งดวง
หยดน้ำเหล่านี้ควบแน่นกลายเป็นร่างมนุษย์คนหนึ่ง หยดน้ำเคลื่อนไหวด้วยรูปแบบลึกลับและในที่สุดก็กลายเป็นรูปร่างสตรี
นางดูธรรมดามากแต่ให้กลิ่นอายอันประหลาด หลังจากปรากฎตัวนางจ้องหวังหลินอย่างเยือกเย็นและเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่สามารถเข้าไปข้างในได้!”
หวังหลินถอยกลับช้าๆ ร่างชีวิตรูปแบบหนึ่งที่เขาต้องการก่อกวนให้น้อยที่สุดคือร่างที่สร้างจากน้ำ ร่างชีวิตรูปแบบนี้จัดการยากมากที่สุด แม้ว่าร่างที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเซียนขั้นตัดวิญญาณ มันก็ยังคงยากนักที่หวังหลินจะต่อสู้ด้วย
ธาตุวารีเป็นสสารที่สามารถรวมกันและกระจายออกไปได้ แม้เขาสามารถผนึกมันได้ก็ยากนักที่จะได้มันมาทั้งหมด ไม่กี่วันก่อนหน้านี้หวังหลินเผชิญหน้ากับร่างชีวิตที่มีพื้นฐานจากธาตุวารีและเขาต้องยอมแพ้พร้อมกับอ้อมไปรอบๆแทน
นี่เป็นเหตุผลว่าเมื่อเขารับรู้ว่ามีโอกาสเจอร่างชีวิตธาตุวารีที่นี่จึงถอยกลับไปโดยไม่มีอาการลังเล
ขณะที่ถอยกลับ หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาเพื่อตรวจสอบไปตามเส้นทาง ก่อนหน้านี้สัมผัสวิญญาณของเขาไม่ได้กระจายออกไปมากเพื่อหลบเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น แต่ตอนนี้ร่างชีวิตธาตุวารีเผยตัวตนของมันออกมาเขาจึงกระจายออกไปและนั่นทำให้หวังหลินตกใจอย่างยิ่ง
เส้นทางลึกเข้าไปในภูเขา หวังหลินเห็นคนผู้หนึ่งที่เขารู้จัก ในตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับร่างชีวิตธาตุวารีตัวหนึ่งและกำลังได้เปรียบ
แต่ว่าตอนที่หวังหลินเห็นร่างชีวิตธาตุวารีของคนที่เขาต่อสู้ด้วยนี้ หวังหลินสัมผัสความรู้สึกอันคุ้ยเคยได้ ความรู้สึกนี้ไม่ได้รุนแรงนักแต่ไม่หายไปไหน
หวังหลินถอยกลับมาด้วยจิตใจสั่นเทา หลังจากร่างสตรีที่สร้างจากหยดน้ำเห็นหวังหลินถอยกลับนางจึงรีบเคลื่อนร่างเข้าไปส่วนลึกของภูเขา
หวังหลินยืนอยู่ข้างนอกและครุ่นคิด
“มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทำไมร่างวารีนั้นถึงให้ความรู้สึกเช่นนี้? ข้าไม่มีรากวิญญาณวารี ดังนั้นเสี้ยววิญญาณของข้าไม่อาจอยู่ในร่างชีวิตธาตุวารีได้ นี่นับว่าน่าประหลาด”
หวังหลินขมวดคิ้วบาง เขากอดอกและกำลังจะจากไป ทว่าใบหน้าพลันเปลี่ยนไปและหันกลับมาทันที
หวังหลินรู้สึกเจ็บปวดในใจคล้ายกับมีเสี้ยววิญญาณอยู่ที่นี่กำลังเรียกเขาให้ช่วยเหลือ
“หวานเอ๋อ!” หวังหลินตกตะลึงและเข้าใจทันที!
หวานเอ๋ออยู่ในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและการคงอยู่ของลูกปัดก็อยู่ภายในวิญญาณของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถตรวจจับเสี้ยววิญญาณของหวานเอ๋อโดยธรรมชาติ
สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น ครานี้เขาเหาะเหินเข้าไปในส่วนลึกของทั้งสองภูเขาโดยไม่ลังเลใดๆเลย
ขณะที่เข้าเส้นทางไป สตรีที่ขัดขวางหวังหลินก่อนหน้านี้เกิดเป็นรูปร่างเพื่อขัดขวางอีกครั้ง นางยกฝ่ามือขวาขึ้นและโบกสะบัดมัน ในไม่ช้าหยดน้ำจำนวนมากก็เต็มเส้นทางเล็กๆบนพื้น
แววตาหวังหลินเยือกเย็น เขานำกระบี่สวรรค์ออกมาและโยนไปข้างหน้าโดยไม่มีอาการช้าลงเลย หลังจากนั้นใช้มือซ้ายชี้ระหว่างคิ้ว
ร่างกายหวังหลินสั่นสะท้าชั่วขณะพร้อมกับวิญญาณดั้งเดิมออกจากร่างกาย วิญญาณดั้งเดิมของเขาสูงมากกว่าร้อยฟุต มันจับกระบี่สวรรค์ในทันทีและพุ่งข้างหน้าต่อไป
แทบในพริบตาวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินก็พุ่งผ่านร่างสตรีและกระบี่สวรรค์แทงเข้าใส่ร่างของนาง
นางกรีดร้องโหยหวนขณะที่เหล่าดวงวิญญาณก่อเกิดเป็นนางพังทลายและแตกสลายไป แต่วิญญาณดั้งเดิมหวังหลินเข้าสู่ร่างนางไปแล้ว วิญญาณดั้งเดิมเขาแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และจากสี่เป็นแปดจนกระทั่งมีเสี้ยววิญญาณนับไม่ถ้วนเข้าสู่เสี้ยววิญญาณทุกตัวของนาง
ในเวลาเดียวกันวิญญาณดั้งเดิมหวังหลินก็ร้องตะโกนขึ้น
“ผนึก!”
กฎเกณฑ์จำนวนมากปรากฎออกมาจากวิญญาณดั้งเดิมของหวังหลินและผนึกเสี้ยววิญญาณแต่ละดวงเอาไว้ จากนั้นเขาคืนรูปวิญญาณดั้งเดิมและเหาะกลับเข้าหากายเนื้อที่ยังคงเหาะเหินเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขา