468. สุสานซูซาคุ
รูม่านตาหวังหลินหดเล็กและเอ่ยขึ้น “โม่จื่อ!”
“ข้าเอง น้องชายต้าหนิว เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้าเลย” ชายผู้นั้นถอดหน้ากากออก เขาเป็นคนที่หวังหลินพบในอารามกลางสายฝนค่ำคืนนั้นผู้ซึ่งพูดคุยกับเขาเรื่องชีวิตและความตาย
หวังหลินเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “อนาคตของข้าไม่ได้อยู่บนดาวซูซาคุ!” ตอนนี้หวังหลินเข้าใจแล้วว่าทำไมผลึกสีขาวถึงลอยเข้าหาเขา อาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากฝีมือคนผู้นี้
โม่จื่อมองหวังหลิน ส่ายศีรษะและถอนหายใจ “น่าเสียดาย เมื่อน้องชายต้าหนิวไม่ต้องการ เช่นนั้นข้าจะไม่กดดัน…” สายตาเขาเต็มไปด้วยความงุนงงและไม่ฟื้นตัวอยู่ชั่วขณะ
คราวนี้สายตาจรดลงบนหยุนเซว่จื่อ
“เผ่าละทิ้งอมตะ หนึ่งในสามของดาวซูซาคุจะยกให้พวกเจ้า แต่ทุกๆหนึ่งพันปีเจ้าต้องส่งกะโหลกของเผ่าที่มีเก้าใบไม้หรือสูงกว่าขึ้นมาหนึ่งชิ้น หยุนเซว่จื่อ เจ้าตกลงไหม?”
จิตใจหยุนเซว่จื่อรู้สึกเจ็บปวด เขารู้ว่าตอนนี้ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ คนผู้นี้เป็นตัวแทนของสมาพันธ์เซียน เผ่าละทิ้งอมตะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เลย
เขาพยักหน้าอย่างหนักหน่วง หยุนเซว่จื่อดูคล้ายแก่ชราทันทีและแสงในแววตาสลัวลง
เพียงชั่วขณะนี้เริ่มเกิดคลื่นจากทะเลเบื้องล่างและการล่มสลายของสุสานซูซาคุเริ่มต้นอีกครั้ง ขณะที่ทะเลพิโรธ โม่จื่อยกแขนขึ้นและผลึกสีขาวในมือเริ่มส่องสว่างเจิดจ้าทันที
แสงนี้ปกคลุมทั่วทั้งทะเลและกระจายไปทั้งสุสานซูซาคุ แสงกระจายออกมาราวกับอาชานับหมื่นวิ่งข้ามผ่านท้องทะเล และในไม่ช้าก็ปกคลุมไปทั้งสุสาน
โม่จื่อเอ่ยเบาๆ “ปิด!”
เพียงหนึ่งคำ การล่มสลายหยุดทันที พื้นปฐพีก่อร่างขึ้นและรอยแยกทั้งหมดปิดลงอย่างรวดเร็ว
หลังผ่านไปสิบลมหายใจ ทั้งสุสานซูซาคุก็ฟื้นตัวกลับคืนมา
โม่จื่อมองผลึกสีขาวในมือเป็นครั้งสุดท้ายและโยนมันเข้าไปในทะเล ผลึกสีขาวจมอย่างรวดเร็วและหายไป
จากนั้นชี้ไปที่ร่างศพของจูเซว่จื่อและผลึกรูปหัวใจลอยออกมาจากระหว่างคิ้วของเขา มีรอยแตกร้าวลึกอยู่บนผลึกดูคล้ายสามารถทำลายได้ทุกขณะ
แต่รอยแตกเริ่มปิดลงอย่างลึกลับและในเวลาเพียงสามลมหายใจก็ไม่มีรอยแตกร้าวหลงเหลืออยู่เลย
“ซูซาคุคนต่อไป…” สายตาเลื่อนผ่านหวังหลินและลงบนตำแหน่งโจวหวู่ไท่ในชั่วขณะ
หัวใจโจวหวู่ไท่เริ่มสั่นระรัว เขาตื่นเต้นมากและร่างกายสั่นสะท้านเบาๆ
“สายเลือดมังกรเขียว เจ้ามีคุณสมบัติแต่…น่าเสียดายนักระดับบ่มเพาะของเจ้าไม่ได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณ…” สายตาโม่จื่อเลื่อจากโจวหวู่ไท่ไปบนซื่อฉินซึ่งกำลังบ่มเพาะถัดจากโจวหวู่ไท่
“เตาหลอมเซียน…โชคดีหน่อย นางสามารถฟื้นคืนสถานการณ์ได้ ทั้งยังหายากอีกด้วย…” ดวงตาโม่จื่อส่องสว่างราวกับตัดสินใจได้แล้ว
โจวหวู่ไท่ยิ้มอย่างขมขื่นออกมาและลอบถอนหายใจ เขารู้ว่าระดับบ่มเพาะของเขาไม่สูงเพียงพอและไม่มีความหวังในการได้ฉายาแห่งซูซาคุ
“เตาหลอมเซียน…นางมีบางสิ่งบางอย่างแปลกประหลาด!” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เขามีปัญหากับซื่อฉินมาก่อนดังนั้นจึงเป็นศัตรูมากกว่ามิตรสหาย เขารับรู้การเปลี่ยนแปลงในร่างของนางซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างซื่อฉินและเฉียนเฟิง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคน แต่ครั้งหนึ่งซื่อฉินก็เป็นเตาหลอมเซียนของเฉียนเฟิง
หวังหลินสังหารเฉียนเฟิงเพื่อให้หญิงสาวคนนี้ได้ตามสิ่งที่ต้องการซึ่งเป็นสิ่งหวังหลินไม่สามารถมองทะลุได้เลย เขาฝึกเซียนมายาวนานแต่ไม่เคยได้ยินวิชาไหนที่สามารถหล่อหลอมระดับบ่มเพาะเพื่อขโมยมาจากเจ้านายแทนได้ วิชานี้ลึกลับและประหลาดมาก แต่ยิ่งลึกลับและประหลาดเช่นนี้ก็ยิ่งมีข้อเสียร้ายแรงเช่นกัน หวังหลินมองหยุนเซว่จื่อ เขามั่นใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยุนเซว่จื่อแน่นอน
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ท่านผู้ส่งสาส์น…”
โม่จื่อมองหวังหลิน
“แม้ว่าเขายังไม่ได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณ นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เคยจะ…”
หลังจากเคยประโยคนั้น ซื่อฉินซึ่งกำลังหลับตาบ่มเพาะพลันตื่นขึ้นมา สายตาเย็นชาจ้องไปบนหวังหลิน หวังหลินสัมผัสกลิ่นอายหนาแน่นของเฉียนเฟิงอยู่บนตัวนางได้ชัดเจน
ซื่อฉินกล่าวอย่างเยือกเย็น”หวังหลิน เจ้าหมายความว่าอะไร?!”
หวังหลินมองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาสงบนิ่ง “ตอนที่ข้าเริ่มบ่มเพาะ เจ้ายังไม่ได้เกิด กลิ่นน้ำนมแม่เจ้ายังไม่ทันแห้งเลยด้วยซ้ำ หุบปาก!”
ดวงตาซื่อฉินสว่างวาบจากนั้นยืนขึ้นทันทีพร้อมกับรัศมีของเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางกระจายออกมา นางจ้องหวังหลินพลางกล่าว “หวังหลิน ตอนที่เจ้าส่งข้าเข้าไปในรอยแยกอวกาศทำให้ข้าเกือบตาย ข้าจดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ ก่อนนี้ระดับบ่มเพาะของเจ้าสูงกว่าแต่ตอนนี้ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงของเจ้าสูญสิ้นและระดับบ่มเพาะของเจ้าอยู่ที่ขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นเท่านั้น หากข้าต้องการสังหารเจ้ามันง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ!”
หวังหลินมองซื่อฉินด้วยสายตาเย็นชาแฝงอาการเยาะเย้ย “หากข้าตกลงที่จะเป็นซูซาคุคนต่อไปเล่า…”
ขณะที่เอ่ยเช่นนั้น ซื่อฉินตกตะลึง นางระงับอารมณ์ในใจ ท้ายที่สุดแล้วก้มศีรษะลงต่ำและไม่กล่าวอะไร
หากหวังหลินกลายเป็นซูซาคุคนต่อไปจริงๆและใช้ผนึกซูซาคุเพื่อโจมตีนาง นางคงไม่มีทางต่อต้าน…
ขณะนั้นนางพบว่าตนเองยังหวาดกลัวหวังหลิน แม้จะมีระดับบ่มเพาะของเฉียนเฟิง ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่
โม่จื่อมองหวังหลินและยิ้มแย้ม “น้องชายต้าหนิว เจ้าต้องการกลายเป็นซูซาคุคนต่อไปหรือ?”
หวังหลินเอ่ยเยือกเย็น”ท่านผู้ส่งสาส์น แม้ข้าจะกลายเป็นซูซาคุ ข้าคงแค่ส่งมันให้เขาเท่านั้น” หวังหลินชี้ไปที่โจวหวู่ไท่
โจวหวู่ไท่พูดไม่ออก ร่างกายสั่นเทาและสายตาจ้องไปทางหวังหลินเต็มไปด้วยความขอบคุณ
โม่จื่อยิ้มบาง ในสายตาเขานามแห่งซูซาคุนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ไม่ว่าเขาจะยกมันให้ใครก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรต่อเขาเลย
ในทางตรงกันข้าม มันเป็นหวังหลินที่สนใจเขา หลังครุ่นคิดเล็กน้อยโม่จื่อก็ชี้ไปที่โจวหวู่ไท่ ผลึกรูปทรงหัวใจลอยออกไปและพุ่งเข้าหาโจวหวู่ไท่
ร่างโจวหวู่ไท่สั่นสะท้านรุนแรงขณะที่หัวใจผลึกค่อยๆจมเข้าไปในร่างกายตรงระหว่างคิ้วเขาอย่างช้าๆ
“พักอยู่ที่นี่หนึ่งปีและรู้แจ้งผนึกซูซาคุ ตั้งแต่วันนี้ต่อไปเจ้าคือซูซาคุรุ่นที่สิบห้า! แต่ว่าข้าไม่ได้ทำลายผนึกบนผลึกดาวเซียน ปล่อยมันไว้เช่นนั้น!” ขณะที่โม่จื่อเอ่ยประโยคนั้น เขาโบกแขนเสื้อ หยุนเซว่จื่อและซื่อฉินหายตัวไป
ในเวลาเดียวกันร่างของโจวหวู่ไท่ก็จมลงเข้าไปในทะเลอย่างช้าๆและหายไป
ตอนนี้เหลือเพียงแค่โม่จื่อและหวังหลินเท่านั้น
หวังขบคิดเล็กน้อยก่อนคำนับฝ่ามือพลางกล่าว “ขอบคุณท่านมาก!”
โม่จื่อหัวเราะ “น้องชายต้าหนิว ในอนาคตอาจมีบางสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าช่วย ถึงตอนนั้นอย่าปฏิเสธข้า ข้าต้องออกจากดาวซูซาคุและรายงานกลับไปที่สมาพันธ์เซียน หากมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเราจะพบกันอีกครั้ง ตอนนี้เราออกจากที่นี่กันเถอะ”
หวังหลินแววตาส่องสว่าง เขาส่ายศีรษะและเอ่ยออกมา “ท่านผู้ส่งสาส์น ข้ายังมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการในสุสานซูซาคุ”
โม่จื่อเผยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้มแย้มและพยักหน้า เขาขยับฝ่ามือและสัญลัษณ์แดงปรากฎ “จดจำสัญลักษณ์นี้ไว้ เมื่อเจ้าต้องการออกจากที่นี่จงใช้พลังปราณของเจ้าสร้างรูปแบบผนึกนี้ขึ้นและเจ้าถึงจะออกไปได้”
โม่จื่อมองหวังหลินด้วยสายตาครุ่นคิดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันตัวกลับ ก้าวหนึ่งครั้งและหายตัวไปโดยไร้ร่องรอย
ครานี้เหลือหวังหลินเพียงคนเดียวที่นี่
“ข้าได้ทั้งเสี้ยววิญญาณของข้าและหวานเอ๋อ ซูซาคุคนต่อไปคือโจวหวู่ไท่และเขาเป็นคนกตัญญู ข้าช่วยเขาเอาไว้และแม้ข้าจะไม่อยู่ที่นี่ เขาจะมองหาคนที่ข้ารู้จักและเช่นนั้นข้าค่อยสบายใจหน่อย”
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องการให้โจวหวู่ไท่กลายเป็นซูซาคุคนต่อไป เพื่อให้ไม่มีสิ่งใดให้เขากังวลในอนาคต
หวังหลินเหาะเหินออกไป
เขาไม่ได้ไปไกลนักก่อนจะเห็นลำแสงสีดำสามเส้นเหาะเข้ามาหาเขาจากระยะไกล ลำแสงสามเส้นเปลี่ยนกลายเป็นวิญญาณหลักสามดวงเบื้องหน้าหวังหลิน หนึ่งในนั้นคือเจ้ากิเลน ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขณะนำธงวิญญาณออกมาโบกสะบัด ดวงวิญญาณหลักทั้งหมดเข้าไปในธงของเขา
“หลิวเหม่ยมีทักษะบางอย่างแน่นอน นางถูกวิญญาณหลักสี่ดวงไล่ล่าและสามารถทำลายไปได้หนึ่ง…นางออกไปจากสุสานซูซาคุแล้ว เมื่อข้าจากที่นี่ไปข้าต้องสังหารนาง!
จนกระทั่งตอนนี้ข้ายังไม่มีเรื่องขุ่นเคืองร้ายแรงกับนาง แต่นางกลับตอแยข้าอีกครั้งและอีกครั้ง นางกระทั่งร่วมมือกับเฉียนเฟิงเพื่อสังหารข้า! ข้าไม่อาจปล่อยนางให้รอดชีวิตไปได้” หวังหลินคิดขึ้นในใจขณะที่ดวงตาสว่างวาบ
“ความฝัน” ครั้งนั้นกับหลิวเหมยไม่อาจมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของหวังหลินแม้เพียงน้อยนิด เหมือนกับหลิวเหมยได้กล่าวว่า นอกจากลี่มู่หวานแล้วหวังหลินเป็นคนโหดหินต่อหน้าสตรี
“ความสูญเสียในการเดินทางในซูซาคุครั้งนี้นับว่ามหาศษลเกินไป เหลือวิญญาณหลักเพียงสามดวงและดวงวิญญาณทั้งหมดนั้นถูกทำลาย…พลังของธงวิญญาณอ่อนแอมาก…แต่เมื่อมีวิญญาณเพียงพอข้าสามารถซ่อมแซมมันให้มีพลังเต็มที่ได้ โชคร้ายนักเหล่าวิญญาณเร่ร่อนไม่สามารถใช้ได้ไม่เช่นนั้นการซ่อมมันคงง่ายดายมากยิ่ง!”
“ผลึกดาวเซียนคือของสำคัญในการใช้พัฒนาขอบเขตจวี่ต้องเป็นเรื่องโกหก! ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือค้นหาฉวี่ลี่กั๋ว ข้าต้องได้กระบี่ครึ่งจันทรานั้นมา!” หลังจากหวังหลินปลดปล่อยฉวี่ลี่กั๋ว เขาจึงเฝ้าระวังดูอยู่ได้ ตอนนี้จ้องไปบนฉวี่ลี่กั๋วพลันเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวเปลี่ยนเป็นควันสีเขียวและพุ่งออกไป
เรื่องราวของสุสานซูซาคุจบลงที่นี่
ส่วนเรื่องเผ่าละทิ้งอมตะ หลังหยุนเซว่จื่อออกมา พวกเขาทั้งหมดล่าถอยไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและตั้งฐานที่มั่นตรงนั้น พวกเขาไม่ได้โต้ตอบกับพวกเซียนเลย
เซียนหลากหลายคนตายไประหว่างสงครามบนดาวซูซาคุ สำนักหลายแห่งถูกทิ้งไว้จนย่ำแย่และดังนั้นสำนักต่างๆจึงเริ่มรับสมัครศิษย์มากหน้าหลายตา
มีหลายคนที่ไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนต่างถูกหลายสำนักนำไปฝึกเซียน
สำนักบางแห่งถึงกับลากคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งออกจากบ้าน ล่อด้วยสมบัติและอาจารย์ชั้นยอดที่จะสอนพวกเขาเป็นการส่วนตัวเพื่อเตรียมการในการกลายเป็นศิษย์หลักในสำนัก
บนดาวซูซาคุหลงเหลือเซียนขั้นเทวะระดับต้นเพียงหนึ่งคนเท่านั้น เขาคือบรรพชนสำนักทลายปฐพีผู้ซึ่งใช้เวลาทั้งวันปิดด่านฝึกตนและไม่สนใจใยดีกับโลก แม้เขาไม่ค่อยสุขใจนักที่โจวหวู่ไท่ถูกแต่งตั้งขึ้นโดยสมาพันธ์เซียน เขาแค่ยอมรับมันเท่านั้น
หนึ่งปีให้หลัง โจวหวู่ไท่ออกมาจากสุสานซูซาคุ แม้ระดับบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุด ทว่าด้วยผนึกซูซาคุ เขาจึงสามารถคุกคามเหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณได้
เขากลายเป็นคนที่มีระดับบ่มเพาะน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของการกลายเป็นนามแห่งเซียน
เขารู้ว่าระดับบ่มเพาะของตัวเองต่ำมากดังนั้นหลังปรากฎตัวจึงรีบปิดด่านฝึกตนบ่มเพาะในภูเขาซูซาคุ
ดวงดาวซูซาคุทั้งดวงเผยสัญญาณแห่งสันติสุขอันยาวนานที่ครั้งหนึ่งเคยมี…