Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 482

Cover Renegade Immortal 1

482. ตำหนักไพรม่วง

ชายชราใบหน้าซีดเผือดโดยสิ้นเชิง เขาไม่เคยคิดว่าเซียนจากดวงดาวไร้ค่าซึ่งเขาถือว่าบ้านนอกจะแข็งแกร่เงช่นนี้ คนผู้นี้จับเขาในเวลาชั่วอึดใจและตอนนี้กำลังหล่อหลอมผู้อาวุโสอีกคน

ระดับพลังเช่นนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางสามารถแสดงออกมาได้เท่านั้น!

นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาหายากอันน้อยนิดในชีวิตเขาที่รู้สึกเสียใจ หากเขาไม่ฟังคำพูดของจ้าวซิงชา เขาคงไม่ต้องมาจบลงในสภาวะเช่นนี้

ตอนนี้ไม่ไกลจากชายชรา คู่หูของเขาถูกขังไว้ในระฆังซึ่งกำลังกรีดร้องโหยหวน ชัดเจนว่าเป็นความเจ็บปวดที่ถูกหล่อหลอม

เมื่อเสียงกรีดร้องดังเข้ามาในหูชายชรา เขาถอนหายใจยาวและยอมแพ้ที่จะต่อต้าน เขามองหวังหลินด้วยใบหน้าซับซ้อนและเอ่ยขึ้น “ได้โปรดปลดปล่อยเขาก่อน เรื่องนี้เราเป็นฝ่ายผิดเอง เรื่องอะไรที่ท่านต้องการรู้เราจะบอก!”

หวังหลินไม่ขยับเยื้อนและเพียงจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา

ใบหน้าชายชราเจ็บปวดขึ้น เขามองดาบครึ่งจันทราที่กำลังโฉบเฉี่ยวไปมาด้านหน้าและเอ่ยออกมา “ท่านบรรพชนรับศิษย์ทั้งหมดเจ็ดคนจากกลุ่มเจ็ดสีที่แตกต่างกันและเขายังนำศิษย์จากข้างนอกมาด้วย ทว่ามีเพียงศิษย์คนเดียวในแต่ละกลุ่มที่จะเป็นศิษย์ที่แท้จริง แม้ว่าคนอื่นๆยังถือว่าเป็นศิษย์แต่พวกเขาจะไม่ได้รับมรดกของท่านบรรพชน”

หวังหลินไม่ได้เอ่ยคำใดขณะฟังเรื่องทั้งหมดนี้อย่างเงียบๆ ขณะที่ยืนอยู่ตรงนี้เขาปลดปล่อยสัมผัสแห่งความหยิ่งยโสออกมาด้วย ตอนนี้เขาแตกต่างอย่างมากตั้งแต่ตอนที่เข้ามาสำนักชะตาสวรรค์

“หนึ่งพันปีก่อนในกองกำลังสีม่วงมีอัจฉริยะคนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น เขากลายเป็นศิษย์ชั้นแนวหน้าในกองกำลังสีม่วงแทนที่ศิษย์เก่าหกคนที่เป็นหนึ่งในศิษย์สายตรงของท่านเทียนหยุน”

“ชื่อของเขาคือซุนหยุนและเขาอาศัยอยู่ในตำหนักเมฆาม่วง!”

ดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่เอ่ยถามออกมา “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้ากัน?”

“พูดกันตามปกติแล้วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แต่เมื่อร้อยปีก่อนซุนหยุนทรยศสำนักและหนีออกไปด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่าจะเกิดกรณีนี้ขึ้นท่านบรรพชนก็ไม่ได้ส่งใครไปตามล่าเขาแต่กลับไปหาเป็นการส่วนตัว หลังจากนั้นหนึ่งเดือนท่านบรรพชนก็กลับมาเอง เขาปิดผนึกตำหนักเมฆาม่วงและกระจายข่าวว่าคนต่อไปที่สืบทอดตำหนักเมฆาม่วงจะเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรงของเขา!” ชายชราหยุดชะงักไปชั่วขณะเมื่อถึงส่วนนี้ เขามองหวังหลินด้วยท่าทีซับซ้อนจากนั้นเอ่ยต่อ “ในหมู่เหล่าศิษย์เจ็ดคนของกองกำลังสีม่วง คนอื่นๆอีกหกคนเติบโตบนดาวเทียนหยุน มีเพียงเจ้าที่มาจากดาวเซียนไร้ค่า แม้แต่ในสายตาของศิษย์ธรรมดาเจ้าถือได้ว่าเป็นคนบ้านนอกและมีสถานะต่ำต้อยกว่าพวกเขา หากทุกสิ่งทุกอย่างปกติมันคงไม่ได้แย่นัก แต่เมื่อเจ้าถูกยกตำหนักเมฆาม่วงให้จึงเกิดการแบ่งแยกเป็นธรรมดา!”

“นอกจากระดับบ่มเพาะของเจ้าไม่ได้สูงล้ำแล้วเป็นธรรมดาที่ศิษย์พี่ของเจ้าจะคิดว่าเจ้าเป็นสิ่งรกตา เนื่องมาจากท่านบรรพชน พวกเขาไม่สามารถกระทำต่อเจ้าตรงๆได้แต่การหลอกลวงและการตลบหลังเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้! ข้าเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าสามารถทำได้แล้ว เรื่องราววันนี้ถือว่าเป็นความผิดพลาดของเรา นับตั้งแต่วันนี้ต่อไป พี่ของข้าและข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องระหว่างพวกเจ้าอีก!”

เมื่อชายชราพูดเช่นนั้นเขามองไปที่ดาบครึ่งจันทรา เขาหวาดกลัวดาบเล่มนี้มาก

สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดังนั้นเรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้เอง

หวังหลินสะบัดแขนขวาและกระบี่สวรรค์กลับคืนมาหาเขา ฉวี่ลี่กั๋วเรียกหาทำให้ดาบครึ่งจันทราออกมาจากผู้อาวุโสและหมุนรอบกระบี่สวรรค์

ชายชราถอนหายใจอย่างโล่งอกจากนั้นมองกระดิ่งยักษ์ด้านข้าง เสียงกรีดร้องของคู่หูเขาอ่อนลง เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมา “เขา…”

หวังหลินสะบัดแขนและกระดิ่งลอยกลับเข้าไปในฝ่ามือเขาทันที หวังหลินพลิกกระดิ่งทำให้มันหดลง แสงสีเขียวเล็กออกมาจากกระดิ่งและพยายามหลบหนีแต่หวังหลินรีบจับไว้ในมือ

เสียงโหยหวนออกมาจากภายในแสงสีเขียว

“ข้าเป็นผู้อาวุโสคุมประพฤ…” ก่อนที่เขาจะพูดจบ หวังหลินบิดฝ่ามือทำให้แสงสีเขียวแตกสลายเผยออกมาเป็นวิญญาณดั้งเดิมที่อ่อนแอมาก

หวังหลินโยนวิญญาณดั้งเดิมเข้าไปในปากตัวเองโดยไม่ได้มองมัน ขณะที่วิญญาณดั้งเดิมเข้าไปในปากหวังหลินพลังมหาศาลสายหนึ่งสูดเอาวิญญาณดั้งเดิมเข้าไปในธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงข้างในร่างเขา

หลังทำเช่นนี้หวังหลินมองไปที่ชายชราและเอ่ยถามเยือกเย็น “ท่านไม่อยากออกไปหรือ?”

ชายชราจ้องเขาด้วยท่าทางตกตะลึง เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าคนผู้นี้จะกล้าทำลายกฎสำนักโดยการกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมเบื้องหน้าเขา การทำเช่นนี้เป็นหนทางแห่งมาร!

หัวใจเขาสั่นสะท้านรุนแรงขณะก้าวถอยหลังและฝืนยิ้ม “ข้าจะจากไปตอนนี้ ข้าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่วันนี้!” เช่นนั้นเขาหันกลับไปและหลบหนีด้วยพลังทั้งหมด

แสงเยือกเย็นแล่นผ่านนัยน์ตาหวังหลินพร้อมกับเอ่ยบางเบา “สังหารมัน!”

ฉวี่ลี่กั๋วร่ำร้องอย่างมีความสุขและเคลื่อนไปข้างหน้าราวกับสายฟ้า ทว่าดาบครึ่งจันทราเร็วกว่า ในพริบตาเดียวมันก็หายไปโดยไร้ร่องรอย

เสียงกรีดร้องเบาๆดังออกมาไกลและอีกพริบตาถัดมาดาบครึ่งจันทราก็ลอยเหินกลับ

ฝ่ามือขวาหวังหลินยื่นออกไปและคว้าวิญญาณดั้งเดิมของชายชราจากดาบครึ่งจันทรา ชายชรากำลังกรีดร้องแต่ว่าสายเกินไป หวังหลินโยนวิญญาณดั้งเดิมเข้าไปในปากและผนึกมันภายในธงวิญญาณ

หลังทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จสิ้นไม่เพียงแต่สายตาเย็นเยียบของหวังหลินไม่ลดลงแต่มันกลับเพิ่มขึ้น เขาหันไปทางตำหนักเมฆาม่วงและเริ่มเดินเข้าไปที่นั่น

“เมื่อท่านเทียนหยุนมอบตำหนักเมฆาม่วงให้เข้า ท่านต้องคิดเรื่องทั้งหมดนี้ไว้แล้ว”

หวังหลินเหาะเหินตลอดทางและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงด้านนอกตำหนักเมฆาม่วง สตรีในชุดสีม่วงตอนนี้กำลังนั่งอยู่ข้างใน นางสัมผัสรูปภาพภูเขาและแม่น้ำ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความคิดถึงเรื่องราวในอดีต เมื่อนางรับรู้การมาถึงของหวังหลินจึงขมวดคิ้วจากนั้นร่างกายหายวับและปรากฎตัวนอกตำหนักเมฆาม่วง ขณะที่นางต้องแสงสีแดงที่กำลังเหาะเหินมาทางตำหนัก น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมาให้ได้ยิน “ทุกคนจงรู้ไว้ว่าข้าหวังหลินไม่ใช่คนที่ถูกผลักไสไล่ส่งเช่นนี้ได้”

“ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่อีก? ไปซะ!!!”

ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น ฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ไปที่นาง กระบี่สวรรค์พุ่งออกไปหานางตามด้วยดาบครึ่งจันทราอย่างรวดเร็ว

ใบหน้านางเปลี่ยนไป ในพริบตาเดียวนางก็หายตัวไป ความเร็วของนางเร็วมาก ไม่ได้ช้าไปกว่าดาบครึ่งจันทรา ดาบครึ่งจันทราตวัดหนึ่งครั้งและตัดได้เพียงเส้นผมของนางไม่กี่เส้นเท่านั้น

หวังหลินพ่นลมหายใจเยือกเย็นจากนั้นชี้ไปที่ท้องฟ้าและตะโกน “รวบรวม!”

ปราณสวรรค์ในร่างกายเขารวบรวมไว้ในฝ่ามือ บอลแสงขนาดใหญ่กว้างสิบฟุตพลันปรากฎเหนือฝ่ามือเขา

หวังหลินกดลูกบอลลงไปโดยไม่ลังเล “ออกมาซะ!”

ลูกบอลเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าและตกลงมาจากท้องฟ้า บอลตกปะทะเข้ากับพื้นดินด้วยเสียงดังสนั่นลือลั่นและรวมเข้ากับพื้นดิน ขณะนั้นพื้นดินเคลื่อนตัวราวกับมีมังกรยักษ์กำลังเคลื่อนไหวข้างใน

ห่างออกไปหนึ่งพันฟุต ลำแสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากพื้นเผยออกมาเป็นสตรีใบหน้าตื่นตกใจ

สายตาหวังหลินเย็นยะเยือกจ้องไปที่นางและเอ่ยออกมา “ตั้งแต่วันนี้ต่อไป ตำหนักเมฆาม่วงแห่งนี้จะเปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักไพรม่วง!” สิ้นคำหวังหลินก็โบกสะบัดแขน

ลำแสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาและร่อนลงบนคำว่า ‘ตำหนักเมฆาม่วง’ เมื่อแสงหายไปคำว่า ‘เมฆา’ ถูกเปลี่ยนเป็น ‘ไพร’!

คำว่า “ไพร” ถูกเขียนในเชิงท้าทายและโอหังราวกับมังกรพุ่งทะยานสู่สวรรค์ รัศมีแห่งอำนาจและอหังการสามารถสัมผัสได้จากคำนี้ซึ่งทำให้จิตใจผู้คนสั่นเทาเพียงแค่มองเข้าไป

ดวงตาสตรีชุดม่วงแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงขณะที่จ้องคำว่า “ตำหนักไพรม่วง” หยดน้ำตาสองสายไหลลงจากแก้ม นางเหวี่ยงศีรษะหันกลับมาหาหวังหลินและเอ่ยด้วยน้ำเสียงฉีกกระชาก “ข้าจะไปสังหารเจ้า!!!”

เช่นนั้นนางขยับเขยื้อนและหายตัวไปอย่างสิ้นเชิง ลมโชยพัดมาและหวังหลินขมวดคิ้ว เขาถอยกลับอย่างรวดเร็ว ลมโชยเต็มไปด้วยจิตสังหาร หลังจากนั้นเสียงดังปัง จุดที่หวังหลินพึ่งยืนอยู่เต็มไปด้วยรอยร้าวขนาดใหญ่!

ขณะที่หวังหลินถอยตัว สตรีในชุดสีม่วงปรากฎจากภายในสายลม สายตาของนางแดงฉานและเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน นางสัมผัสกระเป๋าและลำแสงสีแดงพุ่งออกมาเปลี่ยนเป็นนกฟินิกซ์พุ่งทะยานขึ้นสู่อากาศ นกฟินิกซ์ร้องเสียงแหลมและทันใดนั้นพื้นที่ก็ถูกปกคลุมด้วยทะเลเพลิง ทว่าไม่มีเพลิงใดสัมผัสกับตำหนักไพรม่วงแต่กลับพุ่งเข้าหาหวังหลินราวกับคลื่นโหมกระหน่ำ

สายตาหวังหลินส่องสว่าง เขายื่นมืออกไปและกระบี่สวรรค์ปรากฎในฝ่ามือ พลังปราณสวรรค์รวบรวมในกระบี่สวรรค์กระที่เขากวัดแกว่งมันออกมา ปราณกระบี่พุ่งออกมาปะทะเข้ากับเปลวเพลิงเสียงดังตูมมม

เสียงนี้ดังรุนแรงและกึกก้องไปทั้งภูเขา ปราณกระบี่ได้เปิดรอยแยกทะเลเพลิง ตอนที่หวังหลินเดินออกมาจากทะเลเพลิงอย่างสงบนิ่ง นิ้วโป้งขวากดลงไปข้างหน้า

ขณะที่นิ้วโป้งเขากดไปข้างหน้า แสงสีของฟ้าดินพลันเปลี่ยนแปลง แสงทั้งหมดดูเหมือนจะหายไปทิ้งไว้แต่เพียงนิ้วโป้งนี้

นี่คือหนึ่งในสามวิชาสังหารที่ซือถูหนานสอนเขาก่อนที่จะแยกจากกัน

ดัชนีแห่งความตาย!

สามวิชาสังหารเป็นวิชาที่ทรงพลังอย่างมากและเป็นวิชามารที่ซือถูหนานสร้างขึ้นจากการบ่มเพาะมาหลายหมื่นปี ในทั้งชีวิตของเขา เขาสอนแต่เพียงหวังหลินผู้เดียว

เพียงหนึ่งนิ้ว ใบหน้าสตรีนางนั้นก็ซีดเผือดและความบ้าคลั่งในสายตาพลันหายไป นางต้องการล่าถอยทันทีแต่นางหวาดกลัวเมื่อพบว่าพื้นที่รอบตัวนางเป็นอวกาศอันบอบบางและไม่สามารถเคลื่อนที่พริบตาได้

หากนางพยายามเคลื่อนที่พริบตา นางจะหลงทางอยู่ในมิติว่างโดยที่หวังหลินไม่ต้องทำสิ่งใดเลย

ดวงตาหวังหลินเย็นชาอย่างยิ่งขณะที่นิ้วโป้งเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าเข้าหาคิ้วของนาง

สตรีชุดม่วงกัดฟันกรอด ร่างกายสั่นเทาและร่างอวตารของตัวเองเดินออกมา ร่างอวตารปะทะกับเข้ากับร่างของหวังหลินและกรีดร้องโหยหวน ร่างอวตารแห้งผากอย่างรวดเร็วจากนั้นเปลี่ยนเป็นลำแสงสีขาวที่ถูกนิ้วโป้งหวังหลินดูดซับ

ครั้งนี้พลังของนิ้วโป้งหวังหลินแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!

สีหน้าสตรีชุดม่วงซีดเผือดมากกว่าก่อน นางกระอักโลหิตออกมาขณะที่ร่างกายสั่นเทาและร่างอวตารอีกร่างปรากฎขึ้น

นางร้องเสียงหลง “ระเบิด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!