485. วิชาเทพ
วิญญาณดั้งเดิมของนางได้รับอิสระจากผนึกที่ขังไว้ภายในธงวิญญาณ ลำแสงสีม่วงลอยออกมาจากปากหวังหลินและเปลี่ยนเป็นร่างหญิงสาวห่างออกไปหลายฟุต
เมื่อนางปรากฎตัวนางคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมาและกระโจนเข้าหาหวังหลิน
หวังหลินไม่ได้เคลื่อนไหวแม้เพียงหนึ่งนิ้วแต่ดวงตาเย็นชาส่องสว่างออกมา
เทียนหยุนเอ่ยขึ้น “พอแล้ว!”
เพียงคำเดียววิญญาณดั้งเดิมของหญิงชุดม่วงก็พังทลายกลายเป็นจุดแสง และด้วยการสะบัดมือหนึ่งครั้ง เทียนหยุนก็เก็บรวบรวมจุดแสงทั้งหมดไว้ใต้แขนเสื้อ
จิตใจหวังหลินสั่นสะท้านและรูม่านตาหดเล็กลงจ้องตำแหน่งที่หญิงชุดม่วงหายไปและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ
“พวกเจ้าทั้งหมดไปได้! หวังหลินอยู่ต่อ!” เทียนหยุนค่อยๆลงมาจากท้องฟ้าและร่อนลงด้านนอกตำหนักไพรม่วง
ป๋ายเวยรีบน้อมรับอย่างเคารพ เขาหันตัวกลับและเหาะเหินออกไปไกล
ส่วนสตรีชั้นแปลงวิญญาณระดับปลาย ใบหน้านางเคารพยิ่งเช่นกันและนางจากไปพร้อมกับป๋ายเวย
ชายกลางคนและจ้าวซิงชาทั้งคู่มีใบหน้าหมองหม่น โดยเฉพาะจ้าวซิงชาที่มีสีหน้าไม่ชอบใจพลันมองหวังหลินอย่างสื่อความหมายก่อนจะจากไป
ศิษย์คนอื่นๆทั้งหมดของกองกำลังสีม่วงค่อยๆจากไปเช่นเดียวกัน ทัศนคติต่อหวังหลินเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ไม่มีใครในกองกำลังสีม่วงกล้าหยาบคายต่อหวังหลินนับตั้งแต่บัดนี้
หวังหลินยืนอยู่ข้างเทียนหยุนอย่างเคารพและก้มศีรษะลงอย่างเงียบเชียบ พลังของเทียนหยุนเกินกว่าที่เขาจินตนาการไปไกล เขาลอบใช้ซือถูหนานมาเปรียบเทียบและต้องยอมรับว่าซือถูหนานก็ยังห่างชั้นกับเทียนหยุนเสียอีก!
นอกจากนั้นแล้วซือถูหนานไม่สามารถทำให้วิญญาณดั้งเดิมแตกสลายด้วยคำพูดเดียวและฟื้นคืนทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่สะบัดมือหนึ่งครั้งนั้น นี่ถือว่าเป็นขอบเขตของวิชาเทพไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เซียนธรรมดาทั่วไปสามารถทำได้
ช่วงเวลาระหว่างหนึ่งเดือนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน ซือถูหนานอธิบายความแตกต่างของรูปแบบวิชาที่พวกเซียนใช้กันและสิ่งที่หวังหลินติดใจมากที่สุดนั่นก็คือวิชาเทพ
วิชาที่ใช้พลังปราณสวรรค์ไม่ได้ถูกนับว่าเป็นวิชาเทพโดยทันที วิชาเทพที่แท้จริงเป็นวิชาทรงพลัง ต้องมีผนึกของสมาพันธ์เซียนซึ่งจะยกให้แก่ผู้นำดาวเคราะห์เซียน!
ทว่าผนึกนั้นต้องการการสืบทอดขณะที่วิชาเทพต้องใช้เพียงผนึกและบทร่ายเท่านั้น
หลังจากดินแดนสวรรค์ล่มสลาย วิชาเทพจำนวนมากก็สูญหายไป เมื่อเวลาผ่านไปจำนวนวิชาเทพก็ค่อยๆลดลง วิชาเทพถูกแบ่งออกเป็นระดับต่ำ กลางและสูงและยังมีระดับสุดยอดอีกด้วยแต่มันหายากมากซึ่งซือถูหนานก็ได้ยินเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้นเขาจึงไม่ได้พูดถึงมันมากนัก
ส่วนสามวิชาสังหารที่ซือถูหนานสอนให้แก่หวังหลิน สามสิ่งนี้เขาได้มาจากวิชาเทพระดับต่ำที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งเย่หวูโยวได้มาอีกที
ซือถูหนานไม่สามารถคัดลอกมันออกมาได้เขาจึงทำได้เพียงแค่เลียนแบบมันเท่านั้น หลังจากศึกษาไปหลายปีเขาก็ได้รับสามวิชาสังหารจากมันมา
สามวิชาสังหารมีลักษณะแห่งมารร้ายเพราะซือถูหนานอยู่บนเส้นทางแห่งมาร
เทียนหยุนยืนอยู่เงียบๆนอกตำหนักไพรม่วงและจ้องไปที่คำว่า “ไพร”
รอบด้านเงียบสนิท หวังหลินยืนอยู่ที่พร้อมกับเทียนหยุนและความเงียบ เขาไม่รู้ว่าอาจารย์คนใหม่ของเขามีนิสัยเช่นไรและเขาไม่สามารถมองออกว่าอาจารย์กำลังคิดสิ่งใดอยู่ ทว่าจากใบหน้าของเทียนหยุนเขาไม่ได้ดูโกรธหรือโมโห
หลังผ่านไปเวลานานเทียนหยุนถอนหายใจออกมาและถอนสายตา เขามองหวังหลินและยิ้มขึ้น “คำว่า ‘ไพร’ นั้นไม่เลวนัก มีกลิ่นอายเกรี้ยวภายออกมาจากคำนี้ซึ่งสามารถทะลวงสวรรค์ได้ ใช่แล้วมีคนที่เจ้ารู้จักดีได้ฝึกฝนเส้นทางแห่งการและคนผู้นี้มีเศษเสี้ยวกลิ่นอายแห่งมารร้ายที่เกาะกุมในตัวเจ้า!”
หัวใจหวังหลินสั่นสะท้าน แม้ว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแต่ความคิดแล่นไปไกล ท้ายที่สุดความทรงจำเขาก็เพ่งไปบนศิษย์พี่สองซึ่งเป็นคนที่ใช้วิชาต้องห้ามร่างอวตารเพื่อได้รับร่างกายมารอมตะ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจพยักหน้าอย่างซื่อตรงและเอ่ยขึ้น “ศิษย์รู้จักคนผู้หนึ่งจริงๆแต่เราแยกทางกันตอนที่เดินทางมาที่นี่”
เทียนหยุนลูบเคราสีขาวของตนและเอ่ยยิ้ม “แต่ให้เขามาจากดาวเทียนหยุนมันก็คงดี ในสายตาของอาจารย์เจ้าไม่มีดีหรือชั่วร้าย คนผู้หนึ่งเพียงต้องตามความปรารถนาของตนเท่านั้น! ชะตาสวรรค์ ชะตาสวรรค์! ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกขึ้นอยู่กับโชคชะตา! ตราบใดที่หัวใจกำหนดไว้แน่แล้วเช่นนั้นก็สามารถฝึกฝนเต๋ามีอยู่หลายล้านแบบได้!”
หวังหลินพยักหน้าเห็นด้วย เขาคิดถึงวิชาที่ศิษย์พี่สองใช้ไปซึ่งแทบจะเป็นวิชามารโดยธรรมชาติอยู่แล้ว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจเล่าความจริงแทนที่จะโกหกและถูกเทียนหยุนมองออก
“เจ้าไปพักผ่อนให้ดีเถิด สามเดือนนับตั้งแต่นี้จะเป็นการเฉลิมฉลองวันเกิดของข้า เซียนแข็งแกร่งหลายคนจากดาวเทียนหยุนและดาวใกล้เคียงจะเข้ามา ข้าจะใช้โอกาสนี้ประกาศรับเจ้าเป็นศิษย์และให้ผู้คนบนดาวเทียนหยุนเกิดความประทับใจกับเจ้า ข้ารู้ดีว่าเวลามันสั้นนัก ศิษย์พี่ของเจ้าจะมาบอกเจ้าเรื่องนั้นเพิ่มทีหลัง!” ขณะที่เทียนหยุนเอ่ยออกมาเขาก็เดินขึ้นไปบนอากาศและค่อยๆหายตัวออกไปไกลทีละก้าว
หวังหลินส่งเทียนหยุนอย่างเคารพและเดินเข้าไปในตำหนักไพรม่วง
ในห้องลับของชั้นที่สามตำหนักไพรม่วง หวังหลินถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะมองไปรอบๆด้วยดวงตาเป็นประกายลึกลับ
“ดูเหมือนข้าจะตั้งหลักในสำนักชะตาสวรรค์ได้แล้ว ยังดูเหมือนว่าข้าไม่สามารถเป็นคนดีได้ คนที่อยู่เหนือขึ้นไปจะได้รับโอกาสที่ดีกว่าในการอยู่เอาตัวรอดที่นี่”
“เป็นไปได้ว่าเทียนหยุนให้ความสนใจตลอดเวลาและเขาเห็นสมบัติที่ช้าใช้ไปทั้งหมดอย่างชัดเจน ราชรถสังหารเทพก็ดีแต่กุญแจสำคัญคือกระบี่สวรรค์…ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในสิ่งที่ข้าคาดการณ์ หากข้าต้องการฝังรากที่นี่อย่างมั่นคงข้าไม่สามารถซ่อนกระบี่สวรรค์ได้ ไม่มีทางที่จะซ่อนกระบี่สวรรค์จากเทียนหยุนและข้าไม่มีสิ่งใดที่สามารถใช้ป้องกันตัวเองจากเขาได้ ข้าเชื่อว่าเทียนหยุนไม่แบกหน้ามาขอจากศิษย์ตัวเอง หากแม้เขาจะขอ ข้าเพียงแค่ยื่นมันให้เขาตรงๆและอาจจะได้รับประโยชน์ดีกว่า วิชาต้องห้ามร่างอวตารของพี่สองนั้นดีเยี่ยมจริงๆ!”
“ตอนนี้ระดับบ่มเพาะของข้าบรรลุขึ้นมาถึงระดับต้นสูงสุดแล้ว ระหว่างบททดสอบมนุษย์ข้าได้พบเจอวงจรนับไม่ถ้วนและทำให้จิตใจแห่งเต่าของข้าเป็นรูปเป็นร่าง”
“ในบททดสอบมนุษย์ข้าจึงสามารถรู้แจ้งเต๋าแห่งสวรรค์และได้รับความกระจ่างในเขตแดนของข้า ทว่าการจะบรรลุระดับกลางนั้นข้าจำเป็นต้องได้หินหยกสวรรค์ จำนวนหินหยกสวรรค์ที่ข้ามีตอนนี้ไม่เพียงพอ”
หลังครุ่นคิดสักพักหวังหลินส่งกฎเกณฑ์ออกไปเพื่อป้องกันตำหนักและเริ่มบ่มเพาะ
ฝั่งทิศตะวันออกของกองกำลังสีม่วงบนฐานหินหยก มีตำหนักหรูหราแห่งหนึ่งสลักไว้ด้วยคำว่า “ตำหนักดาราม่วง”
จ้าวซิงชาเดินเข้าไปในตำหนักดาราม่วงด้วยใบหน้าหมองมัว ขณะที่เขามาถึงข้างในพลันกำหมัดแน่นก่อนจะชกเข้าใส่อากาศธาตุ
“หวังหลิน!! ข้าติดตามอาจารย์มาสองพันปีจนข้าเข้าใจนิสัยของอาจารย์อย่างดี ท่านไม่ได้ให้เจ้าเข้าไปอารามบรรพชนตรงๆและไม่ได้ยกวิชาต้องห้ามสำหรับช่วยชีวิตกับเจ้า มันต้องมีเหตุผลสักอย่างทั้งหมดนี้! หากข้าเดาไม่ผิดนี่คือการทดสอบที่แท้จริงของอาจารย์ หากในงานเฉลิมฉลองอีกสามเดือนเจ้าสามารถแสดงพรสวรรค์ของเจ้าออกมาได้เมื่อนั้นท่านจะรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างแท้จริง…แต่ว่า หวังหลิน ข้าจะไม่ให้เจ้าได้โอกาสนั้น!!!”
“ข้าไม่สนใจเรื่องตำหนักไพรม่วงแต่ตำหนักศิษย์สายตรงภายในกองกำลังสีม่วงจะต้องเป็นของข้าแน่นอน!!! น้องสองได้รับบาดเจ็บและเกลียดการถูกใช้แน่นอน ส่วนน้องสาม…เป็นคนที่คาดเดาไม่ได้จึงน่าจะมีปัญหาเล็กน้อย ยังมีหนทางทำให้เขาฟังข้า”
“น้องสี่…ระดับบ่มเพาะของนางสูงส่งแต่ข้ามีหลายวิธีในการต่อรองกับนาง น้องหกบรรลุขั้นเทวะไปแล้วแต่หลังจากถูกซุนหยุนเอาตำแหน่งไปเขาก็ออกไปจากสำนักชะตาสวรรค์เพื่อฝึกฝนตัวเองข้างนอก หากเขากลับมาข้าไม่อาจทำอะไรได้มาก แต่หากเขาไม่กลับมา ศัตรูของข้ามีเพียงคนเดียวคือหวังหลิน!!”
“เดิมทีข้ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเป็นภัยคุกคามแต่วันนี้ข้าเห็นวิชาที่มันใช้ไม่ได้แย่นัก สมบัติก็ดีและแม้ระดับบ่มเพาะอยู่ขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นก็ยังสามารถคุกคามระดับปลายได้ เขาเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้า น่าเสียดายที่หลายปีมานี้อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่ฟื้นตัว ไม่เช่นนั้นแค่เซียนแปลงวิญญาณระดับต้นไม่พอให้อยู่ในสายตาข้าแน่นอน!”
ดวงตาของจ้าวซิงชาเผยประกายแสงชั่วร้ายขณะมองออกไปที่ตำหนักไพรม่วงและเผยใบหน้าอันน่ากลัว
“น้องเจ็ด ข้าจะให้เจ้าต่อสู้กับน้องสี่ก่อน! ข้าจะไม่สังหารเจ้าแต่ข้าจะให้เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักจนต้องใช้เวลาหลายปีฟื้นตัว จากนั้นข้าจะกลายเป็นหนึ่งในเจ็ดศิษย์สายตรงและระดับบ่มเพาะของข้าจะเพิ่มขึ้นจนเจ้าไม่คู่ควรที่จะอยู่ในสายตาข้าอีกต่อไป!”
ฝั่งทิศตะวันตกของกองกำลังสีม่วงมีตำหนักสีขาวน้ำนมและงามสง่า ที่นี่คือตำหนักเวยม่วง! ป๋ายเวยนั่งอยู่ภายในตำหนักอย่างเงียบๆ ด้านหน้าเขาเป็นกิ่งไม้หนึ่งกิ่ง
นี่คือกิ่งไม้ที่พึ่งหักออกมาจากต้น มันยังมีใบอ่อนที่ยังเติบโตอยู่เลย
ป๋ายเวยมองกิ่งไม้และเผยใบหน้าครุ่นคิด
“ระดับบ่มเพาะของหวังหลินคนนี้น่าประหลาดใจนัก! ตอนที่ข้าพบเขาในดาวแลกเปลี่ยนข้ารู้สึกว่าเขามีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับที่พึ่งแสดงออกไปและเมื่อตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้สมบัติและวิชาเซียนทั้งหมด น้องเจ็ดคนนี้ต้องมีความลับมากมายแน่นอน…แต่ยิ่งมีความลับมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าสนใจ…” ป๋ายเวยพึมพำขณะที่สายตาเผยท่าทางที่ยากจะคาดเดา
นิ้วชี้ขวาค่อยๆบรรจงลงบนมุมปาก…
ค่ำคืนย่างกรายเข้ามา กองกำลังสีม่วงเงียบสงัดภายใต้แสงจันทรา คืนนี้สิ่งเดียวที่ศิษย์กองกำลังสีม่วงพูดคุยกันเป็นเรื่องหวังหลิน
หวังหลินเป็นเสมือนอุกกาบาตที่น่าเฝ้าจับตาดูซึ่งโค้งข้ามท้องฟ้าจนทุกคนอดไม่ได้ที่เงยศีรษะขึ้นไปมอง คำถามก็คืออุกกาบาตนี้จะคงอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวหรือดำเนินอยู่ตลอดไป?
หวังหลินนั่งในท่านั่งดอกบัวและบ่มเพาะข้ามคืน
ยามเช้าของวันที่สอง แสงแรงสาดเข้ามาจากหลังคาตำหนัก หวังหลินลืมตาออกมา ดวงตาเปล่งประกายแสงสว่างเจิดจ้าขณะยืนขึ้นและเดินลงไปจากชั้นสาม
“หินหยกสวรรค์…” หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองออกไปนอกตำหนัก
หลังจากนั้นไม่นานน้ำเสียงอ่อนโยนหนึ่งดังออกมาจากข้างนอก
“น้องเจ็ด เจ้าพอมีเวลาว่างไหม?”
ใบหน้าหวังหลินเปลี่ยนเป็นประหลาดใจทันที ในกองกำลังสีม่วงเขาไม่ได้กลัวจ้าวซินชาหรือน้องสี่ แต่ต่อหน้าป๋ายเวยเขารู้สึกอยากจะหลีกเลี่ยงเขา