487. เจตจำนงกระบี่
ตำหนักสมบัติคือจุดศูนย์กลางของกองกำลังสีม่วงซึ่งตั้งอยู่บนฐานยักษ์ที่มีกิ่งก้านขยายออกมาจากภูเขา ตำหนักแห่งนี้มีทั้งหมดเก้าชั้นและเมื่อมองไกลออกไปมันมีพลังปราณปลดปล่อยออกมาหนาแน่นมากจนดูเหมือนกับร่มคันใหญ่
ตำหนักสร้างขึ้นจากกระเบื้องหยกเขียว ด้านนอกอาคารให้ความรู้สึกเก่าแก่ราวกับผ่านกาลเวลามานับครั้งไม่ถ้วน กระเบื้องหยกเขียวบางส่วนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีทึบ
เถาวัลย์เขียวบางแห่งเติบโตขึ้นมาจากรอยแตกในกระเบื้องและปกคลุมพื้นที่บางส่วนของตำหนัก เถาวัลย์ที่เติบโตขึ้นทุกชั้นจะมีดอกไม้สีม่วงซึ่งปลดปล่อยกลิ่นหอมจนสั่นสะเทือนไปทั้งจิตใจ
ใต้ตำหนักมีค่ายกลขนาดยักษ์ตั้งอยู่ ค่ายกลแห่งนี้ขยายออกไปครอบคลุมทั้งฐานและรวมถึงตำหนักสมบัติที่อยู่ตรงกลาง
มองไกลออกไปค่ายกลนี้ดูคล้ายกับการรวมกันของหยินและหยางจนก่อเกิดเป็นสัมผัสอันท่วมท้นตรงกลาง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายทรงพลังสามสายภายในค่ายกลที่ดูราวกับพยายามทะลวงมันออกมา
รัศมีทั้งสามจุดนี้เกิดขึ้นมาจากรอยสีขาวที่เคลื่อนไหวภายในค่ายกล แต่แปลกนักที่พวกมันไม่เคยชนกันเลยสักครั้ง
ณ ตอนนี้มีบุคคลผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้านนอกตำหนักสมบัติ เขาเป็นชายวัยกลางคนสวมผ้าคลุมสีดำ คิ้วเรียวยาวราวกับกระบี่ ผิวกายขาวเนียนราวกับหยกและเคราแบ่งออกเป็นสามสายพัดไหวในสายลมให้ความรู้สึกราวกับเทพเจ้า
ระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้ถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด ยากนะที่จะมองทะลุระดับบ่มเพาะของเขาเว้นแต่จะมีคนที่มีระดับสูงกว่า เขานั่งอยู่ที่นี่ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกล้วนสำคัญ ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของเขาเพ่งอยู่กับของที่อยู่บนตัก!
บนตักเป็นกระบี่ยาวเจ็ดฟุต กระบี่เล่มนี้ปลดปล่อยแสงชั่วร้ายและมีสีเขียวล้วนทั้งด้าม ภายใต้แสงอาทิตย์ พื้นที่รอบๆถูกปกคลุมอยู่ในแสงสีเขียวนี้แต่งแต้มทุกสิ่งให้กลายเป็นสีเขียว
หวังหลินยืนอยู่นอกตำหนักสมบัติห่างออกไปหลายสิบฟุต ยืนจ้องเขาที่กำลังนั่งอยู่ด้านนอก
“ระดับบ่มเพาะของเขาเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุดแต่กลับมีเจตจำนงกระบี่ซ่อนไว้ข้างในได้ดีเยี่ยมจริง!”
ชายกลางคนลืมตาขึ้นและมองหวังหลินที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาจดจ้องและรีบยืนขึ้นโค้งคำนับและกล่าวอย่างนอบน้อม “ศิษย์จางเซียงฟานขอคำนับบรรพชนเจ็ด!” กระบี่เขียวเปลี่ยนเป็นลำแสงสีเขียวและหายเข้าไปในร่างกาย
สายตาหวังหลินจรดลงบนหน้าผากจางเซียนฟานและเอ่ยถาม “เจ้าให้ข้าดูกระบี่เหินของเจ้าได้ไหม?”
จางเซียงฟานตกตะลึง เขาพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “กระบี่เหินของศิษย์เป็นเพียงของทั่วไป ข้าได้รับมาจากร้านค้าข้างนอกสำนักและมันไม่มีสิ่งใดพิเศษ หากท่านบรรพชนเจ็ดอยากจะดูนับว่าข้าตาถึง” สิ้นคำเขาชี้ระหว่างคิ้วตนเองและร้องคำรามต่ำออกมา แสงสีเขียวลอยออกเปลี่ยนร่างเป็นกระบี่ยาวเจ็ดฟุตและปลดปล่อยคลื่นเสียงหึ่งๆ
ดวงตาหวังหลินเยือกเย็นขณะพลันยื่นมืออกไป เมื่อกระบี่เขียวถูกเขาจับไว้จึงเริ่มตรวจสอบมันอย่างละเอียด
เพียงก่อนหน้าที่จางเซียงเก็บกระบี่เหินกลับไป เจตจำนงกระบี่ที่หวังหลินสัมผัสก็หายไปด้วย ตอนนี้เขาเรียกกระบี่ออกมาอีกครั้งหวังหลินจึงตระหนักได้ว่าเจตจำนงกระบี่ที่ปรากฎออกมาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ของจางเซียงฟางแต่เป็นกระบี่เหิน
จิตใจหวังหลินเริ่มสั่นเทาเมื่อสัมผัสกระบี่ด้วยมือซ้ายอย่างแผ่วเบา หากเป็นคนอื่นมันคงยากมากที่จะสัมผัสเจตจำนงกระบี่เล่มนี้ได้ หากคนอื่นพบก็คงตระหนักได้ว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ธรรมดา แต่ว่าเมื่อหวังหลินสัมผัสเจตจำนงของกระบี่ จิตใจของเขาก็สั่นสะท้าน ความรู้สึกอันคุ้นเคยเกิดขึ้นในใจ
“โจวยี่…” หวังหลินขบคิด
เศษเสี้ยวเจตกระบี่บนกระบี่เล่มนี้ชัดเจนว่าเป็นเจตกระบี่ของโจวยี่ที่ปลดปล่อยออกมาตอนที่เขาเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณกระบี่!
ตอนนั้นโจวลี่ไล่ตามเซียนกระบี่หลิงเทียนโฮว เขาหายตัวไปมากกว่าร้อยปีนับตั้งแต่นั้นมา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสเจตจำนงกระบี่ของโจวยี่ หากเขาไม่ได้ใช้เวลาอันยาวนานใต้เจดีย์เพื่อทำความเข้าใจเขตแดนของโจวยี่ คงไม่มีทางที่เขาจะรู้ได้เพียงแค่ชำเลืองมอง
เจตจำนงในกระบี่เล่มนี้มีเพียงร่องรอยเล็กๆเท่านั้น หลังจากสัมผัสมันได้หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและลูบคลำกระบี่เหิน กระบี่เริ่มเรืองแสงสีเขียวเจิดจ้าทันทีและลำแสงสีเขียวเส้นหนึ่งลอยออกมาเปลี่ยนเป็นดาวสีเขียวและลอยด้านหน้าหวังหลิน
เมื่อมองไปที่ดวงดาว หวังหลินพลันถอยหายใจและคว้าดวงดาวนั้นมองไปที่จางเซียงฟานซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “มีร่องรอยเจตกระบี่ในกระบี่เล่มนี้ซึ่งมาจากสหายเก่าของข้า ดังนั้นข้าจะเอามันไปแต่ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียเปล่า นี่คือหินหยกที่มีกฎเกณฑ์ 18 ชุดอยู่ข้างใน ใส่มันลงบนกระบี่เหินระดับต่ำหรือระดับสูงจะเพิ่มพลังให้มันอีกหลายเท่า!”
สิ้นคำหวังหลินตบกระเป๋า หินหยกก้อนหนึ่งปรากฎในฝ่ามือและโยนให้จางเซียงฟาน
ส่วนกระบี่เหินสีเขียวหวังหลินก็ยังคืนมันกลับไป แม้ว่าจางเซียงฟานจะเผยใบหน้าเคารพแต่แววตากลับแสดงอาการเจ็บปวดใจขึ้นมา เขารับหินหยกโดยไม่คิดอะไรมากและตรวจสอบมันอย่างลวกๆแต่ก็ตกตะลึงทันที
หลังจากนั้นไม่นานเขาเงยศีรษะขึ้นและเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอบคุณมากท่านบรรพชนเจ็ด!”
จางเซียงฟานฝึกฝนมานานและเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมามากดังนั้นจึงสามารถบอกได้ทันทีว่ากฎเกณฑ์ 18 ชุดนี้ไม่ธรรมดา กฎเกณฑ์ทั้งหมดเป็นกฎเกณฑ์รูปแบบการโจมตีและยิ่งหายากไปกว่านั้นคือมันสามารถซ้อนทับกันและกันได้ จางเซียงฟานระงับความตื่นเต้นในใจ เขาอยากจะปิดด่านฝึกตนเสียตั้งแต่ตอนนี้และประทับกฎเกณฑ์ทั้ง 18 ไว้บนกระบี่เหินซึ่งนั่นจะทำให้เขาไม่ต้องหวาดกลัวสหายเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายเลย!
กฎเกณฑ์ 18 ชุดมีเพียงสองกลุ่มกฎเกณฑ์ที่หวังหลินศึกษามาจากหมวกฟางของหยุนเซว่จื่อซึ่งมันยังไม่เพียงพอที่จะให้ธงกฎเกณฑ์บรรลุระดับถัดไปได้
หวังหลินไม่ต้องการเสียเวลาอันใดและพูดตรงๆ “ข้ามาที่นี่เพื่อมารับหินหยกสวรรค์”
จางเซียงฟานพยักหน้ารวดเร็ว “ท่านบรรพชนเจ็ด ท่านได้รับหินหยกสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนทุกเดือน ส่งป้ายสิทธิ์ให้ข้าและข้าจะเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายให้ท่าน”
หวังหลินเงียบเสียงขณะยื่นมืออกไปและโยนป้ายสิทธิ์ออกไปด้วย
หลังจางเซียงฟานรับมัน เขาก้าวถอยหลังอย่างเคารพจากนั้นตรวจสอบพื้นเล็กน้อยคำนวนด้วยนิ้วมือและในที่สุดก็กดป้ายสิทธิ์รับกับพื้นดิน
หวังหลินเห็นอย่างชัดเจนว่าจางเซียงฟานกดลงไปที่ตำแหน่งรัศมีทั้งสามอยู่
ป้ายสิทธิ์กดลงไปบนค่ายกลไม่นานนัก รัศมีทั้งสามก็พุ่งออกมาเข้าหาป้ายสิทธิ์ เกิดเสียงดังดึกก้องและจางเซียงฟานไม่สามารถทนประคองป้ายสิทธิ์ไว้ได้อีกต่อไปเขาจึงถูกดันถอยหลังไปหลายก้าว
แต่ป้ายสิทธิ์เริ่มลอยกลางอากาศและรัศมีทั้งสามลอยออกมาจากพื้นดินและพุ่งผ่านป้าย พวกมันเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นจนกระทั่งเห็นเพียงแต่ภาพติดตาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
หลังผ่านไปเวลาหลายลมหายใจ ป้ายสิทธิ์ปลดปล่อยแสงสีม่วงอันแข็งแกร่งเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ จากนั้นรัศมีทั้งสามพุ่งออกมาจากป้ายสิทธิ์และรวมเป็นหนึ่ง รัศมีที่รวมกันนั้นลอยเข้าหาตำหนักสมบัติ หยุดลงด้านหน้าชั้นเจ็ดและเปลี่ยนเป็นประตูแสงขนาดใหญ่
จางเซียงฟานรีบเอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านบรรพชนเจ็ด โปรดเข้าไปด้วยป้ายสิทธิ์ของท่าน”
หวังหลินเดินไปข้างหน้าคว้าป้ายสิทธิ์และเหาะเหินตรงไปที่ชั้นเจ็ด
แน่ชัดแล้วว่าประตูแสงให้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับค่ายกลเคลื่อนย้าย ขณะที่หวังหลินก้าวเข้าไปข้างใน สายตาเขาพลันพร่ามัวและเมื่อเห็นชัดเจนอีกครั้งเขาก็อยู่ในโลกที่คล้ายกับดินแดนสวรรค์
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ น้ำใสสะอาดล่องผ่านกระแสน้ำ ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยก้อนเมฆเจ็ดสีและกระทั่งมีกระเรียนที่โบยบินเป็นบางครั้ง
ขณะนี้ก้อนเมฆเจ็ดสีรวมกันในท้องฟ้าก่อเกิดเป็นร่างหนึ่งร่าง หวังหลินไม่อาจใบหน้าของร่างนี้ได้ชัดเจนแต่คลื่นพลังปราณสวรรค์ออกมาจากเขา
“ป้ายสิทธิ์!”
น้ำเสียงองอาจออกมาจากร่างยักษ์ตนนี้
หวังหลินโยนป้ายสิทธิ์ออกไปด้วยดวงตาสงบนิ่ง ป้ายลอยเข้าหายักษ์อย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าไปใกล้มันก็แตกสลายเป็นละอองแสงสีทองและรวมเข้าไปในตัวยักษ์
ไม่นานนักเจ้ายักษ์ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“ศิษย์ลำดับเจ็ดของกองกำลังสีม่วงไม่ได้ถอนหินหยกสวรรค์มาร้อยสามปี เจ้าต้องการรรับไปหมดครั้งเดียวเลยหรือไม่?”
หวังหลินตกตะลึง แม้จิตใจเขาจำแข็งแกร่งก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ เขาสูดหายใจลึกและเอ่ยออกมา “ข้าต้องการถอนมันทั้งหมด”
“มีทั้งสิ้น 123,600 ชิ้น!” น้ำเสียงยักษ์ดังกึกก้อง หินหยกสวรรค์นับไม่ถ้วนลอยออกมาจากร่างยักษ์และกองรวมกันด้านหน้าหวังหลิน
หวังหลินจ้องกองหินหยกสวรรค์ขณะที่มันกำลังกองพะเนินขึ้นอย่างรวดเร็วและรู้สึกคอแห้งผาก เขาไม่เคยคิดว่าสำนักชะตาสวรรค์จำหน่ายหินหยกสวรรค์ได้ขนาดนี้
“หากศิษย์สักคนคงเหลือไว้เป็นหมื่นปี เช่นนั้นคงไม่เก็บรวบรวมหินหยกสวรรค์มากมายเกินจินตนาการไปเลยหรือ? หินหยกสวรรค์เป็นของหายากมาก ทำไมสำนักชะตาสวรรค์ถึงมีมากมาย…” หวังหลินสูดหายใจลึก ขณะนั้นหินหยกสวรรค์ก็กองสูงเป็นภูเขาย่อมๆแล้ว ดวงตาส่องสว่างขึ้นและรีบเก็บพวกมันเข้าไปในกระเป๋า
หลังเสร็จสิ้นเขาตบกระเป๋า หวังหลินยังรู้สึกเหมือนกับนี่ไม่ใช่เรื่องจริง
เขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ ไม่สงสัยเลยที่ผู้คนจะคิดว่าเขาบ้านนอก ความรอบรู้ของเขาตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ด้วยหินหยกสวรรค์มากกว่าแสนชิ้นนี้นับว่าเพียงพอให้ดวงตาเขาแดงฉาน หากใครก็ตามพยายามหยุดเขาก่อนหน้านี้ ไม่ว่ามันจะเป็นใครหวังหลินคงโจมตีโดยไม่มีอาการลังเล
เขาสูดหายใจลึกและดวงตาสว่างชัดเจนอีกครั้ง ตอนนี้เขาเพียงฟื้นฟูอาการตกใจจากหินหยกสวรรค์มาได้แล้ว
ร่างยักษ์ในท้องฟ้าค่อยๆเลือนหายไปและเปลี่ยนกลับเป็นก้อนเมฆเจ็ดสี ละอองแสงสีทองหลายจุดในท้องฟ้าค่อยๆกลับคืนเป็นป้ายสิทธิ์และลอยเข้าหาหวังหลินราวกับสายฟ้า
หวังหลินยกมือขวาขึ้น ขณะที่สัมผัสกับป้ายสิทธิ์ พลังล่องหนสายหนึ่งผลักเขากลับไปหลายสิบฟุตและหายตัวไปจากสถานที่แห่งนั้น