534. สิบสาม
หวังหลินได้สอนวิธีการสร้างธงวิญญาณให้กับโอวหยางฮัวแล้ว แต่ว่าดินแดนวิญญาณปิศาจขาดแคลนวัตถุดิบ ดังนั้นการสร้างธงวิญญาณจึงค่อนข้างยาก
เมื่อตระหนักเรื่องนี้หวังหลินจึงหาเวลาคิดวิธีแก้ปัญหา เขาจัดการใช้ต้นไม้เหล็ก หนังสัตว์และผนึกบางส่วนเพื่อสร้างวิธีการเลียนแบบผลลัพธ์
ธงทางเลือกนี้สามารถผนึกวิญญาณได้ถึงสิบดวงซึ่งหมายถึงเป็นขีดจำกัดของธงวิญญาณสิบดวง
แต่ของชิ้นนี้ชนะในแง่ของคุณภาพเพราะเมื่อใช้ธงแบบนี้สิบผืนในเวลาเดียวกัน แม้ว่ามันจะไม่ทรงพลังเท่าธงวิญญาณหนึ่งร้อยดวง มันยังมีพลังถึงครึ่งนึง
หวังหลินซ่อนข้อบกพร่องไว้ในธงวิญญาณทดแทนนี้เช่นเดียวกับวิชาของสำนักและมีแต่เขาที่รู้ อีกทั้งหวังหลินเป็นเพียงคนเดียวบนดาวเทียนหยุนที่รู้จักวิชาของสำนักหลอมวิญญาณ
หลังประทับวิธีการสร้างธงวิญญาณแบบใหม่บนหินหยก หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและเรียกหาโอวหยางฮัวและชายหนุ่มที่ชื่อฉือซาน(สิบสาม)
ฉือซานเป็นชายหนุ่มที่หวังหลินติดตามมาจนเจอหุบเขาอย่างลับๆ
คนผู้นี้มีความเข้ากันได้กับวิชาแห่งสำนักหลอมวิญญาณโดยธรรมชาติ หากตุ้นเทียนยังอยู่เขาจะต้องตกใจกับเรื่องนี้แน่นอน
ฉือซานรีบมายืนเบื้องหน้าหวังหลิน เขาทั้งรู้สึกเคารพและประหลาดใจต่อหน้าท่านเทพสูงสุด
ยิ่งเขาฝึกวิชาหลอมวิญญาณก็ยิ่งเกิดความรู้สึกประหลาดใจ ในสามเดือนที่ได้เรียนรู้วิชานี้ เขาจึงสรุปได้ว่าหากสำเร็จจนเชี่ยวชาญ พลังของมันเหนือจินตนาการไปไกลโข
สิบดวงธงวิญญาณ ร้อยดวงธงวิญญาณ พันดวงธงวิญญาณ หมื่นดวงธงวิญญาณ…
ฉือซานสูดหายใจลึกและเผยแววตาตื่นเต้น
โอวหยางฮัวมีประสบการณ์มากกว่าฉือซานดังนั้นเขาจึงยืนอย่างเงียบๆด้วยสายตาเคารพ
ความจริงแล้วตั้งแต่ที่ทุกคนเริ่มฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณ ผู้มีอำนาจที่แท้จริงใจการควบคุมหมู่บ้านค่อยๆเลื่อจากโอวหยางฮัวมาสู่หวังหลิน
แทบทุกคนรู้ว่าหวังหลินคือผู้คุมกฎที่แท้จริงของที่นี่!
“ท่านเทพสูงสุด ชายหนุ่มทั้งหมด 27 คนในหมู่บ้านเริ่มฝึกฝนวิชาปิศาจกันแล้ว ตอนนี้นอกจากฉือซาน ส่วนใหญ่จะติดขัดอยู่ที่ระดับแรก และมีอยู่หกคนที่ยังไปไม่ถึงไหน”
หวังหลินนั่งสมาธิอยู่ในท่านั่งดอกบัวพลางพยักหน้า แม้ว่าวิชาหลอมวิญญาณจะเรียนรู้ง่ายแต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน ความจริงที่ว่าคนจำนวน 27 คนที่นี่เรียนรู้ระดับแรกได้แล้วถือเป็นข่าวน่าตกใจมากหากเกิดขึ้นในซูซาคุ
หลังมองไปที่ฉือซาน หวังหลินรู้สึกพึงพอใจกับความเร็วการฝึกฝนของเด็กคนนี้
เมื่อรับรู้ถึงสายตาของหวังหลิน แผ่นหลังฉือซานตั้งตรงและแววตาตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เขาเอ่ยขึ้น “ท่านเทพสูงสุด ฉือซานบรรลุด่านที่สามเรียบร้อยแล้ว หากข้าสามารถสร้างธงวิญญาณได้ ข้าจะสามารถออกไปหาเสี้ยววิญญาณเพื่อผนึกไว้ข้างในได้แล้ว!”
หวังหลินยิ้มบางขณะมือขวายื่นออกไปและหินหยกก้อนหนึ่งปรากฎอย่างเงียบเชียบ เขาโยนหินหยกพลางส่งยิ้ม “วิธีสร้างธงวิญญาณแบบใหม่อยู่ในนี้!”
ฉือซานรับหินหยกและเผยท่าทางปิติยินดี เขาสูดหายใจลึกพลันกดหินหยกต้านกับหน้าผากของตนและเริ่มจินตนาการเหมือนที่โอวหยางฮัวสอน หลังจากนั้นไม่นานร่างเขาจึงสั่นเทาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เขามองหวังหลินและคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้าก่อนจะโขกศีรษะแรงๆสามครั้ง
หวังหลินลับตาและเอ่ยขึ้นช้าๆ “เจ้าไปได้แล้ว เพ่งความพยายามทั้งหมดของเจ้าในการสร้างธงวิญญาณ”
ฉือซานพยักหน้าจากนั้นวางหินหยกลงและจากไปอย่างเคารพ
โอวหยางฮัวลังเลเล็กน้อย เขามองหวังหลินและจากนั้นสายตาก็เลื่อนไปที่หินหยกบนพื้น เมื่อไม่ได้รับทำอนุญาตจากหวังหลิน เขาไม่กล้าหยิบหินหยกขึ้นมาตรวจสอบ
หวังหลินเอ่ยขึ้น “ดูสิ เจ้าก็บรรลุระดับสามแล้ว หากเจ้าสามารถสร้างขึ้นมาได้สำเร็จสักผืน ตอนที่เจ้าใช้พลังปราณปิศาจเพื่อผนึกเสี้ยววิญญาณ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก”
โอวหยางฮัวรีบหยิบหินหยกและกดลงกับหน้าผาก หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงสูดหายใจลึกและกล่าวอย่างเคารพ “ผู้น้อยจะออกไปหาวัตถุดิบเพื่อมาสร้างมัน”
เช่นนั้นเขาขบคิดเล็กน้อยและกล่าวต่อ “ท่านเทพสูงสุด เมื่อข้าและฉือซานสร้างธงวิญญาณได้สำเร็จ ข้าวางแผนจะโจมตีถ้ำแห่งหนึ่งห่างออกไปห้าร้อยลี้ มีอีกหนึ่งเผ่าอยู่ที่นั่นซึ่งด้วยคนไม่กี่สิบคน”
หวังหลินตอบอย่างเฉยเมยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ทำตามที่เจ้าต้องการ!”
โอวหยางฮัวพยักหน้าและรีบจากไป
ข่าวการโจมตีถ้ำในหนึ่งเดือนกระจายไปทั้งหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว สำหรับสมาชิกในหมู่บ้าน ข่าวนี้เป็นการรบขนาดใหญ่ แม้ว่าฝั่งหนึ่งมีจำนวนมากกว่า ต้องขอบคุณวิชาหลอมวิญญาณที่ทำให้โอกาสชนะสูงมากขึ้น
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ ชายหนุ่มทั้งหมดมีพลังงานเต็มเปี่ยมขณะที่ฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณ ฉือซานออกไปจากหมู่บ้านและรวบรวมวัตถุดิบเพื่อสร้างธงวิญญาณได้เพียงพอ
เด็กคนนี้มีความเข้ากันได้กับวิชาหลอมวิญญาณได้มากขึ้น หลังจากล้มเหลวไปสามครั้งในที่สุดเขาก็สร้างธงวิญญาณผืนแรกของตนเองขึ้นมาได้สำเร็จ
ธงวิญญาณผืนนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่ข้างในหมู่บ้าน ทุกคนล้อมรอบฉือซานและธงยาวเจ็ดนิ้วในมือเขากลายเป็นจุดสนใจสายตาของทุกคน
ฉือซานตื่นเต้นอย่างมากที่มีสายตาพวกนั้นจับจ้องเขา
โอวหยางฮัวลูบเคราตนเองและเผยรอยยิ้ม ความจริงเขาสร้างธงวิญญาณได้แล้วไม่กี่วันก่อนหน้าฉือซาน แต่เขาไม่ได้เผยมันให้ทุกคนเห็นและยอมให้ฉือซานมีโอกาสเปล่งประกาย
โอวหยางฮัวเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ดังนั้นเขาจึงรับรู้ได้ว่าฉือซานได้รับความสนใจจากท่านเทพสูงสุด เพิ่มกับการที่เขากำลังแก่ขึ้นและในอนาคตนั้นไม่ตกมาที่เขาแต่ดูเหมือนจะกลายมาเป็นของฉือซาน!
คนอื่นในฝูงชนถามขึ้น ”ฉือซานน้อย ธงวิญญาณนี้มีประโยชน์เมื่อเจ้ามีเสี้ยววิญญาณผนึกไว้ข้างในเท่านั้น เมื่อไหร่เจ้าจะออกไปจับวิญญาณมาผนึกไว้ข้างในเล่า?”
คนอื่นๆทั้งหมดพยักหน้า
ฉือซานพ่นลมหายใจและเอ่ยออกมา “ใครพูดว่าข้าไม่มีวิญญาณผนึกไว้ข้างในกัน? พวกเจ้าทั้งหมดดูให้ดีดี!” เช่นนั้นมือขวาพลันสร้างผนึกและพลังปราณปิศาจรวบรวมจากทุกทิศทางก่อเกิดแสงสีเขียวกระพริบที่ปลายนิ้ว
เขาชี้ไปที่ธงวิญญาณและธงนั้นสั่นเทาทันที ควันสีดำสายหนึ่งพลันลอยออกมาเปลี่ยนเป็นสัตว์ป่าคล้ายสิงโตมีปีก
หลังจากเจ้าอสูรตัวนี้ปรากฎขึ้น มันร้องครามทำให้ทุกคนตกใจ
สายตาโอวหยางฮัวหรี่แคบลงและเขาตื่นตกใจเช่นกัน
ฉือซานเผยท่าทางภูมิใจและชี้ไปที่อสูรตัวนั้นพร้อมกับตะโกน “โจมตี”
เจ้าวิญญาณคล้ายสิงโตเผยสายตาดุดันพลันพุ่งออกไปและกระแทกลงผนัง เกิดเสียงดังสนั่นและรอยร้าวเกิดขึ้นหนังนั้น
วิญญาณสิงโตไม่เกิดความเสียหายเลยสักนิด
เสียงอุทานออกมาจากผู้คนรอบด้าน และสายตาชื่นชมของแต่ละคนทำให้ฉือซานภูมิใจมาก
เขาพบเจ้าสิงโตบินนี้โดยบังเอิญตอนที่เข้าไปในป่าคราวนี้ เจ้าอสูรได้รับบาดเจ็บสาหัสและพึ่งเสียชีวิต ฉือซานกัดฟันแน่นและเสี่ยงใช้วิชาหลอมวิญญาณ หลังพยายามไปหลายครั้งเขาก็สำเร็จการหลอมวิญญาณและผนึกมันไว้ข้างในธงวิญญาณได้
ฉือซานสูดหายใจลึกพลันสะบัดธงและตะโกนออกมา “กลับมา!”
เช่นนั้นเขาโบกธงวิญญาณในมือ แต่จังหวะนี้วิญญาณสิงโตหันมามองฉือซานด้วยสายตาดุร้าย มันเคลื่อนร่างราวกับสายฟ้าแต่ไม่ได้เข้าหาธงวิญญาณทว่าพุ่งเข้าใส่ฉือซานแทน
สายตาดุร้ายของมันเปลี่ยนเป็นจิตสังหาร
ท่าทางฉือซานเปลี่ยนไป เขาถือธงวิญญาณขึ้นและตะโกน “กลับมา!”
วิญญาณสิงโตเมินเฉยคำสั่งอย่างสิ้นเชิงขณะพุ่งตัวเข้ามาและคนอื่นๆกระจัดกระจาย โอวหยางฮัวกัดฟันแน่นและพุ่งตัวออกไป ตอนนี้มีธงยาวสามนิ้วในมือเขา
ด้วยการสั่นหนึ่งครั้งพลันเกิดแสงสีเขียวกระพริบวาบและนกกระจอกตัวเล็กพลันบินออกมาพุ่งเข้าหาสิงโต
ขณะที่วิญญาณสิงโตกำลังพุ่งมา มันหันกลับทันทีและคำรามใส่นกตัวนั้น เสียงคำรามมีผลโดยตรงทำให้นกตัวนั้นช้าลงทันที
วิญญาณสิงโตใช้จังหวะนี้เคลื่อนร่างราวกับสายฟ้าและมาถึงข้างฉือซาน มันอ้าปากกระหายเลือดของมันและพยายามกลืนกินฉือซาน
ใบหน้าฉือซานซีดเผือดอย่างสมบูรณ์ เขาต้องการหนีถอยแต่เหมือนกับมีพลังลึกลับสายหนึ่งป้องกันไม่ให้เขาขยับตัว เขาทำได้แค่มองปากสีเลือดนี้กว้างขึ้นและกว้างเหมือนปกคลุมโลกทั้งใบของเขา
ชั่วขณะนั้น ลมหายใจเย็นเฉียบออกมาจากหุบเขาราวกับสายฟ้าฟาด
สิ่งที่ตามมาหลังจากลมหายใจนั้นคือน้ำเสียงที่เย็นเยียบยิ่งกว่าฤดูหนาว “เจ้าอสูรสวะ เจ้ากล้าดียังไง!?”
เมื่อเสียงเข้าสู่โสตประสาทของฉือซาน มันเหมือนกับเสียงจากสวรรค์ เขารีบตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ท่านเทพสูงสุด ช่วยข้า…”
น้ำเสียงเดียวกันนั้นร่อนลงในหูของเจ้าสิงโตราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ร่างมันสั่นรุนแรงและแทบสูญสลาย
เหตุผลที่มันไม่ได้แตกสลายไปไม่ใช่เพราะมันแข็งแกร่ง แต่เพราะหวังหลินไม่ต้องการให้มันแตกสลาย!
มันหยุดพุ่งเข้าใส่โดยสิ้นเชิงและร้องโหยหวนก่อนจะหันตัวหนีโดยไม่ลังเล ตอนนี้มีคนหนึ่งเดินออกมาจากข้างในหุบเขา
เพียงก้าวเดียวหวังหลินข้ามผ่านหลายฟุตและปรากฎตัวกลางท้องฟ้า
วิญญาณสิงโตสั่นสะท้าน มันรู้สึกได้ว่ามีพลังอำนาจที่มันไม่สามารถต่อต้านได้ออกมาจากคนทั้งหมดเบื้องหน้า
เมื่อเผชิญหน้ากับคนผูนี้ มันไม่สามารถต่อต้านได้เลย ความรู้สึกหวาดกลัวค่อยเข้าสู่จิตใจของมันจนกระทั่งถูกกดลงอย่างสมบูรณ์
วิญญาณสิงโตร่ำร้องออกมาอย่างน่าสงสาร มันไม่พยายามหลบหนีและนอนลงด้วยท่าทางอ่อนน้อม ความหวาดกลัวในดวงตาของมันรุนแรงมาก
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตกตะลึงโดยสิ้นเชิง
แม้กระทั่งโอวหยางฮัวก็ตะลึงงัน ความเคารพในตัวหวังหลินเพิ่มพูนขึ้นในใจส่วนลึก ความเคารพรูปแบบนี้กินเวลาหลายร้อยปี…
ในสายตาฉือซานตื่นเต้นขึ้นอย่างล้ำลึก ตอนที่มันมองหวังหลิน ในใจเต็มไปด้วยความเคารพยิ่ง
หากคนทั้งสองเป็นแบบนี้คงไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นๆ
ความจริงแล้วเหตุผลที่วิญญาณสิงโตหวาดกลัวหวังหลินมากมายเหตุผลหลักเนื่องมาจากข้อผิดพลาดที่หวังหลินทิ้งไว้บนวิชาและธงวิญญาณ
วิญญาณทั้งหมดที่พวกเขาเรียนรู้จากวิชาดัดแปลงของหวังหลินจะถูกข่มเอาไว้และถูกหวังหลินควบคุมได้!