Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 536

Cover Renegade Immortal 1

536. สาส์นท้าทาย

ผู้คนในหมู่บ้านต่างเตรียมการมาอย่างดีเพื่อการโจมตีครั้งนี้ โอวหยางฮัวเป็นผู้นำอยู่กลุ่มหนึ่ง ฉือซานนำกลุ่มสองและชาวบ้านคนอื่นที่ผ่านระดับสามด้วยเป็นผู้นำกลุ่มสุดท้าย

หลังผ่านไปครึ่งเดือนมีเพียงกลุ่มของฉือซานเท่านั้นที่ไม่กลับมา แม้จะมีจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่บางส่วนแต่รางวัลแต่ละคนถือว่าดีเยี่ยม

อย่างไรก็ตามเพราะกลุ่มของฉือซานไม่กลับมาจึงเกิดข้อสงสัยขึ้นในใจทุกคน

หวังหลินสีหน้าเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สามวันต่อมาปรากฎก้อนเมฆสีดำด้านอกหุบเขา หากมองใกล้ๆแล้วจะเห็นได้ว่ามันคือสิงโตมีปีก

แม้จะไม่มีอาการบาดเจ็บบนร่างกาย มันกลับอ่อนแอมาก ทุกชั่วขณะจะเปลี่ยนกลับเป็นก้อนเมฆดำและกลับคืนร่างเดิม มันคล้ายกำลังแตกดับ

มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนหลังของมันอย่างแน่นิ่งและเต็มไปด้วยรอยบาดแผล อีกทั้งยังน่าตาประหลาด เส้นสีแดงกำลังเคลื่อนไหวข้างในตัวเขาคล้ายกับปรสิต

สิงโตวิญญาณหลักรีบกลับมาหาหุบเขาอย่างเร่งรีบ ยิ่งมันเข้ามาใกล้ขึ้นพลันมีหลายคนปรากฎตัวนำธงวิญญาณของตนออกมาและนำวิญญาณเป็นอาหารให้เจ้าสิงโตทำให้พลังงานของมันเพิ่มขึ้นทันที

หลังเห็นสิงโต แทบทุกคนจดจำได้ทันทีว่านี่เป็นสิงโตของฉือซานและคนที่อยู่บนหลังของมันคือฉือซานเป็นแน่แท้

สิงโตวิญญาณเข้ามาในหุบเขา มันร้องคร่ำครวญจากนั้นแตกกระจายเป็นละอองแสงสีดำและกำลังแตกสลาย

ขณะนั้นน้ำเสียงเยือกเย็นแห่งหนึ่งดังก้องในหุบเขา

“ควบแน่นวิญญาณ!”

สิ้นคำ ละอองแสงสีดำเปล่งประกายสว่างและควบแน่นกลับเข้าหากันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวมันกลับคืนเป็นปกติ

ชาวบ้านทั้งหมดเผยใบหน้าเคารพยิ่งและเปิดทางให้ หวังหลินเดินผ่านพร้อมกันมือไพล่หลัง

หลังจากสิงโตวิญญาณหลักเห็นหวังหลิน มันเริ่มร้องคร่ำครวญราวกับถูกทำร้ายแสนสาหัส หวังหลินชี้นิ้วออกไป เจ้าสิงโตร่ำร้องและพุ่งเข้าหานิ้วของหวังหลิน

ท้ายที่สุดมันเลือนหายไปบนนิ้วและรอยรูปสิงโตปรากฎบนปลายนิ้วหวงหลิน

ผู้คนโดยรอบต่างเคยเห็นหวังหลินควบคุมดวงวิญญาณจึงไม่มีใครตกใจเลยและทั้งหมดก้มศีรษะลงอย่างเชื่อฟัง

หวังหลินเดินเข้าไปทีละก้าวจนมาถึงฉือซาน เมื่อก้มศีรษะเข้ามองใบหน้าหวังหลินจึงมืดมน

เขาเห็นเส้นสีแดงกำลังเคลื่อนไหวคล้ายกับมังกรท่องผ่านร่างกาย ใบหน้าฉือซานซีดเผือดและไม่มีลมหายใจ

หวังหลินคุกเข่าลงและกดนิ้วลงบนหน้าอกฉือซานเบาๆ เสียงบาดลึกพลันออกมาจากร่างกายและในเวลาเดียวกันเส้นสีแดงก็พุ่งออกมาจากจุดที่หวังหลินกดไปพร้อมกับพุ่งใส่เขาตรงๆ

สายตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นชาและพลังล่องหนสายหนึ่งปรากฎรอบร่างกาย เกิดเสียงดังสนั่นราวกับเส้นสีแดงกระทบเข้ากับแผ่นเล็กและถูกบังคับให้กระดอนกลับ

ชั่วขณะนั้นหวังหลินขยับฝ่ามือและจับเส้นสีแดงเอาไว้ได้ เพียงดึงหนึ่งครั้งจึงเกิดเสียงร้องและเส้นสีแดงถูกดึงออกจากร่างฉือซานทันที

เส้นสีแดงนี้ยาวมากกว่าสิบฟุตและเคลื่อนไหวไปรอบๆคล้ายกับอสรพิษ อีกฝั่งหนึ่งเคลื่อนเข้าหาหวังหลินแต่ถูกหยุดไว้ได้อีกครา

สายตาเย็นชาหวังหลินเพิ่มพูนขึ้นและพลังปราณสวรรค์ในร่างพรั่งพรูอย่างบ้าคลั่ง เขาบิดมือรุนแรงจนเกิดเสียงดังป๊อก เส้นสีแดงแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงในเวลาสามลมหายใจ

หลังจากเส้นสีแดงหายไป ใบหน้าฉือซานค่อยๆกลับมาสีแดง แม้จะยังอ่อนแอมากแต่ถือว่ารอดชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตามสีหน้าหวังหลินยิ่งมืดดำขึ้น

เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าฉือซานเสียชีวิตแล้ว!

ปราณปิศาจสามดาวของฉือซานที่รวบรวมจากการฝึกฝนวิชาปลอมวิญญาณได้สูญสิ้นไปหมด หากเป็นแค่กรณีนี้กก็คงดีแต่เส้นชีพจรบนร่างกายของเขาแตกสลายและธงวิญญาณถูกขโมยไป

อีกฝั่งกระทำการอย่างโหดเหี้ยมแต่ไม่ได้ฆ่าเขา พวกมันปล่อยสิงโตของฉือซานกลับมาแทนนั่นหมายความว่าคนอีกฝั่งมีจุดประสงค์อื่นอย่างชัดเจน

ดวงตาหวังหลินสว่างไสวและชี้นิ้วไปที่หน้าผากฉือซาน ผลึกปิศาจในร่างกายหวังหลินกระตุ้นขึ้นและเส้นปราณปิศาจเส้นหนึ่งเข้าสู่หน้าผากฉือซาน

ร่างฉือซานสั่นเทาจากนั้นลืมตาขึ้นทันทีและเห็นหวังหลิน มันต้องการทำความเคารพแต่พบว่าขยับไม่ได้และเกิดความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างกายราวกับคลื่นทะเล

ฉือซานพยายามอ้าปาก ในสถานะปัจจุบันเขาพลันเรียกร้องหวังหลินในใจมาตลอด “อาจารย์…”

สายตาหวังหลินสว่างขึ้นแต่ไม่ได้กล่าวอะไร

“ระหว่างทางกลับ เราพบกับเผ่าใหญ่แห่งหนึ่ง เราพยาพยามอ้อมไปแต่พวกมันยังโจมตีเรา มีชายชุดขาวคนหนึ่งที่นำธงวิญญาณของข้าไปและปลูกปิศาจข้างในตัวข้า เขาทิ้งข้อความให้ข้าไว้ว่าหากอยากได้ธงวิญญาณคืนก็หาเขาให้เจอ”

หวังหลินพยักหน้า จากนั้นยกนิ้วขึ้น ร่างฉือซานสั่นเทาชั่วขณะก่อนจะสลบอีกครั้ง

“พาเขาไปพักผ่อน!” เมื่อกล่าวเสร็จพลันก้าวออกและเลือนหายไป

คนในเผ่ารอบๆพาร่างฉือซานออกไปอย่างรวดเร็วและมีคนดูแล

หลังจากหวังหลินออกมา เขาเคลื่อนร่างออกไปไกลราวกับสายฟ้า สีหน้ามืดมนและสายตาเยือกเย็น

เดิมทีฉือซานออกไปโจมตีเผ่าอื่น หากล้มเหลวและตายไปหวังหลินคงไม่สนใจไยดี ชีวิตและความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และสำหรับคนที่ฝึกฝนเขตแดนแห่งความตายและชีวิตแล้วหวังหลินถือว่าชัดเจนในเรื่องนี้อย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตามไม่ใช่กรณีนี้ ฉือซานอยู่ระหว่างทางกลับทว่ากลับผ่านไปเจอเผ่าพันธ์อื่นและถูกโจมตี ศัตรูไม่ได้สังหารแต่ปลูกปิศาจไว้ในร่างกายเขา หากเป็นเช่นนั้นคงเป็นบทเรียนอย่างดีแต่พวกเขายังทำลายเส้นชีพจรและกล่าวไว้ว่าหากต้องการธงวิญญาณคืนก็ต้องไปหาพวกเขาให้เจอ

เป็นผลให้ความหมายเปลี่ยนไป นี่คือการยั่วยุหรือกล่าวอีกมุมได้ว่าเป็นสาส์นท้าทาย!

ฉือซานกลายเป็นสาส์นท้าทายของคนอื่น!

เมื่อถูกส่งสาส์นท้าทายมาเช่นนี้ หวังหลินอยากเห็นจริงๆว่าคนเช่นไรที่อาศัยอยู่ในเผ่าที่กล้าท้าทายเขา!

หวังหลินเป็นคนฉลาดหลักแหลม หากระดับบ่มเพาะของคนผู้นี้สูงส่งมากกว่าเขาหวังหลินเพียงแค่หันหัวกลับไปในหมู่บ้าน หาทางรักษาฉือซานและเพียงแค่หลบเลี่ยงเผ่านี้

แม้จะมีความเป็นไปได้ในเรื่องนี้มันก็ต่ำมาก จากวิชาที่หวังหลินเห็นบนตัวฉือซาน คนผู้นี้ระดับราวๆขั้นตัดวิญญาณเท่านั้น

เมื่อคิดเช่นนี้ได้เขาพ่นลมหายใจเย็นออกมาและเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วข้ามผ่านท้องฟ้าราวกับอุกกาบาต

เผ่าวารีสวรรค์อาศัยอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของดินแดนวิญญาณปิศาจ มีพื้นที่ราบล้อมรอบบริเวณและเดิมทีไม่ใช่สถานที่ใช้สำหรับอยู่อาศัย แต่กลับมีค่ายกลโบราณตั้งอยู่ที่นี่

ค่ายกลนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง เมื่อมันเปิด ทุกสิ่งทุกอย่างภายในรัศมีห้าลี้จะปลอดภัย แม้ระหว่างคืนวิญญาณปิศาจมันก็ยังปลอดภัยข้างในอย่างสมบูรณ์

กุญแจสำคัญสำหรับเผ่าพันธ์ในดินแดนวิญญาณปิศาจเพื่อเอาตัวรอดนั่นก็คือไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเขาต้องหาค่ายกลเพื่อปกป้องตัวเอง ในดินแดนวิญญาณปิศาจมีค่ายกลแบบนี้หลายแห่งแต่มีไม่มากนักที่สามารถปกคลุมรัศมีห้าลี้ได้

ยิ่งสามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างใหญ่ ค่ายกลก็ยิ่งแข็งแกร่ง นั่นหมายความว่าเผ่าพันธ์ที่อาศัยอยู่ในนี้ก็จะได้รับการเติบโตที่ดีขึ้น

ยกตัวอย่างเช่นในหุบเขานั้นเพียงแค่ขนาดใหญ่ ดังนั้นเมื่อประชากรมีจำนวนถึงจุดหนึ่งจะไม่สามารถรับคนใหม่เพิ่มขึ้นได้ แต่ค่ายกลบนพื้นที่ราบมีความกว้างถึงห้าลี้ดังนั้นจึงมีประชากรสามารถอาศัยได้มากขึ้น

ชายชราสองคนนั่งอยู่ข้างในบ้านธรรมดาหลังหนึ่งในเผ่าวารีสวรรค์

หนึ่งในนั้นสวมชุดสีเทาและอีกคนสวมชุดสีขาว ระหว่างทั้งสองมีชุดชาสีม่วงตั้งอยู่บนโต๊ะ

ชายชราชุดขาวหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม “ของทั้งหมดที่คนต่างถิ่นนำมา มีเพียงแค่ชุดชานี้เท่านั้นที่เหมาะกับรสชาติของข้า”

ชายชราชุดเทาหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่มเช่นกัน “เมื่อไหร่ท่านจะกลับ?”

ชายชราชุดขาวครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยออกมา “พรุ่งนี้ ข้าไม่สามารถจากเมืองปิศาจโบราณได้นานเกินไป ข้าพักอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนแล้วเพื่อมาเยี่ยมบ้าน หากข้าพักอยู่นานกว่านี้คงยากนักที่จะอธิบายให้แม่ทัพปีกซ้ายฟัง”

ชายชราชุดเทาพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “เจ้าทำร้ายศิษย์คนอื่นให้บาดเจ็บและนำธงประหลาดนั้นมา หากพวกเขามาหา ข้าจะทำอย่างไรเล่า?”

ชายชราชุดขาวดวงตาสว่างวาบและเอ่ยขึ้น “หมายความว่าอย่างไรว่าเจ้าควรจะทำอะไร? แค่ใช้ค่ายกลสังหารเขาก็ได้แล้ว!”

ชายชราชุดเทาขมวดคิ้วและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “คนพวกนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนใหญ่มีพลังปราณปิศาจหนึ่งดาวและทั้งหมดเรียนรู้วิชาปิศาจ โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้า ด้วยธงเล็กๆนั่นเขาสามารถควบคุมวิญญาณปิศาจให้โจมตีได้ ตอนแรกพวกมันกำลังอ้อมเราไปแต่เจ้ากลับสนใจธงผืนนั้น ไม่เพียงแค่เจ้าสังหารพวกมันเพื่อเอาสมบัติมาแต่เจ้ากลับปล่อยหัวหน้ามันไปส่งสาส์นท้าทายเพื่อล่อเบื้องหลังพวกมันออกมา สิ่งที่เจ้าทำมันเกินไป”

ชายชราชุดขาวหัวเราะร่า “ข้าเป็นกองเกียรติยศใต้แม่ทัพปีกซ้ายของเมืองปิศาจโบราณ การสังหารคนป่าเถื่อนไม่กี่คนจะมีค่าอันใด? รวมถึงข้าสรุปได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกมันไม่ได้แข็งแกร่ง ทำไมเขาจะอยู่แถวนี้เล่า? เขาควรจะไปเมืองปิศาจโบราณเพื่อได้ตำแหน่งที่ดีกว่าหากแข็งแกร่งจริง ข้าล่อเขามาที่นี่เพราะข้าอยากได้วิธีใช้ธงผืนนี้จากเขา หากเขามานั่นถือว่าเป็นเรื่องดี หากไม่มาข้าจะตามรอยที่ข้าทิ้งไว้บนเจ้าหนุ่มนั่นและขโมยเอา!”

ชายชราชุดเทาถามขึ้น “บทร่ายในใจเจ้าหนุ่มนั่นเป็นของปลอม?”

ชายชราชุดขาวดวงตาสว่างขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย “มันไม่ใช่ของปลอมแต่มันไม่สมบูรณ์ มันควรมีมากกว่านี้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version