553. ผลึกสวรรค์
สำหรับสถานะเช่นเฉาอีโต่วที่รู้เรื่องนี้นับว่าประหลาดพออยู่แล้วและแม้กระทั่งเฉาอีโต่วก็ยังพูดว่าเซียนแทบทุกคนรู้วิธีแยกแยะยานี้
นั่นทำให้หวังหลินยืนยันเรื่องทั้งหมดได้ทันทีว่าเป็นแผนของบรรพชนโลหิต!
“รวมกับความไม่กังวลของเหยาซีเชว่และคำตอบของเฉาอีโต่ว ข้ามั่นใจว่ามีหนทางเดียวในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างเม็ดยาของจริงและของปลอม อย่างไรก็ตามข้ากลัวว่านอกจากบรรพชนโลหิตและลูกสาวของเขาแล้ว ไม่มีคนที่สามที่รู้เรื่องนี้!” ดวงตาหวังหลินส่องประกายแห่งปัญญา
“เม็ดยานี้เป็นของปลอม! หากเม็ดยาของจริงที่สามารถมีชีวิตได้อีกหนึ่งเช่นนั้นเม็ดยาของปลอมจะส่งมันไปสู่ความตาย! เหยาซีเชว่ เมื่อเจ้าชั่วร้ายก็อย่าดุด่าว่าข้าไร้ปราณี!” หวังหลินมองเม็ดยาขี้ผึ้งในมือ เขากำลังบดขยี้แต่ทันใดนั้นเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาและเก็บมันไว้ข้างในประเป๋า
หนึ่งในเหตุผลหลักที่หวังหลินสามารถมีชีวิตรอดได้ยาวนานและกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้ก็เพราะความฉลาดแกมโกงของเขา ตอนที่เขายังเป็นขั้นแกนลมปราณ จ้าวปิศาจหกปรารถนาได้พูดไว้ว่าเด็กคนนี้เหี้ยมโหด ใจกล้า แน่วแน่และเยือกเย็น เขาทั้งยังอดทน รอบคอบและฉลาดแกมโกงราวกับจิ้งจอก
คำพูดนี้อธิบายตัวตนของหวังหลินได้อย่างสมบูรณ์แบบ
การที่สามารถได้รับคำตอบจากท่าทางเหยาซีเชว่และคำพูดสบายๆของเฉาอีโต่ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เซียนส่วนใหญ่ที่อาศัยมาหลายพันปีสามารถทำได้ มีเพียงสัตว์ประหลาดเฒ่าที่บ่มเพาะมาหลายหมื่นปีซึ่งเห็นจิตใจมนุษย์มามากมายเท่านั้นที่สามารถมองทะลุออกเหมือนดั่งหวังหลิน
เหมือนกับตอนที่หวังหลินอยู่บนดาวซูซาคุและสามารถมองทะลุเขตแดนพันจินตภาพไร้ปราณีของลิ่วเหมยจากนิสัยที่แตกต่างสองบุคลิกจากศิษย์สตรีสองคน
แม้ว่าฟ้าดินไม่ได้ให้พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะที่ยอดเยี่ยมแก่หวังหลิน ความฉลาดหลักแหลมของเขาได้รับการขัดเกลาผ่านกาลเวลาเพื่อทำให้เขามีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบมากกว่าใคร ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผลของการสร้างสมดุลในสวรรค์
หวังหลินโบกสะบัดแขนและกระเป๋าที่เหยาซีเชว่ทิ้งไว้ให้ลอยเข้าสู่กำมือ หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและพบหินหยกจำนวนมากและเพียงพอให้เขาบรรลุขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายเหมือนที่นางพูดไว้จริงๆ
“สามวัน…” หวังหลินสูดหายใจลึก เขากดฝ่ามือลงบนพื้นพลันเกิดแสงสีดำกระพริบขณะที่ทั้งร่างเขาเข้าไปในพื้นดินและเลือนหายไป
หวังหลินหลับตากำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ดิน เขาล้อมรอบด้วยหินหยกสวรรค์ที่เหยาซีเชว่ให้มาและกำลังดูดซับปราณสวรรค์อย่างบ้าคลั่งจนทำให้หินหยกสวรรค์หลายก้อนเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นผง
ขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายจำเป็นต้องใช้หินหยกสวรรค์จำนวนมาก หวังหลินเพ่งสมาธิดูดซับปราณสวรรค์อย่างบ้าคลั่งเข้าร่างกายโดยไม่หยุดพักเลย เขาไม่มีเวลารวมมันเข้าไปในร่างกายและใช้การควบแน่นให้เป็นสิ่งที่คล้ายกับผลึกปิศาจ
หวังหลินศึกษาผลึกปิศาจมาเป็นเวลานานตอนที่อยู่เผ่าหลอมวิญญาณดังนั้นเขาจึงรู้โครงสร้างของมันเป็นอย่างดี หากปราณปิศาจสามารถควบแน่นกลายเป็นผลึกได้ เช่นนั้นปราณสวรรค์ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากเสียหินหยกสวรรค์เพื่อทดลองแต่ตอนนี้เขามีเพียงพอแล้ว หวังหลินเริ่มพยายามลองดู เมื่อสะสมปราณสวรรค์ได้จำนวนมากจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
หลังควบแน่นเป็นเวลานาน ผลึกที่คล้ายกับผลึกปิศาจก็ได้ถูกสร้างขึ้นแต่สิ่งที่ว่านี้ปลดปล่อยปราณสวรรค์อย่างช้าๆภายในตัวหวังหลิน
ปราณสวรรค์ข้างในผลึกสวรรค์มีอยู่ราวหนึ่งในสิบส่วนเทียบกับหินหยกที่เหยาซีเชว่ให้เขามา
การดูดซับดำเนินต่อไป
สามวันถัดมา ค่ำคืนปิศาจม่วงอีกวันก็ได้มาถึง เหยาซีเชว่ยืนอยู่ที่ยอดภูเขาโบราณซึ่งห่างจากค่ายประมาณพันลี้ แสงสีม่วงส่องประกายบนพื้นจนเกิดเป็นบรรยากาศชั่วร้าย
สายตาของเหยาซีเชว่ทอดมองออกไปไกลและเผยอาการกังวล
“ถึงเวลาแล้ว เขาจะเปลี่ยนความคิดจริงหรือ?” เหยาซีเชว่ขมวดคิ้ว
ขณะนั้นลำแสงสายหนึ่งพลันลอยเข้ามาหานางตรงๆราวกับสายฟ้า ดวงตาเหยาซีเชว่ส่องสว่างขึ้น ลำแสงนั้นขยับรวดเร็ว มันมาถึงภูเขาและหยุดชะงักหนึ่งจังหวะก่อนจะร่อนลงบนยอด เผยเป็นร่างหวังหลิน
หวังหลินสวมชุดสีขาวเหมือนเหยาซีเชว่และเส้นผมพริ้วไสวในแรงลม ทำให้เขาดูสมสง่า
“เจ้ามาได้ถูกเวลาเสียจริง ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องเปิดค่ายกลเพื่อไม่ให้ใครรับรู้สิ่งผิดปกติที่นี่!” เหยาซีเชว่เอ่ยขึ้น นางตบกระเป๋าและนำรูปปั้นสีเลือดออกมาหลายชิ้น
แต่ละชิ้นสูงแค่เพียงสามนิ้วเท่านั้น ทั้งหมดแกะสลักเป็นอสูรดุร้ายที่หวังหลินจำแนกไม่ออก กลิ่นอายโลหิตค่อยๆกระจายออกมาจากรูปปั้นเหล่านั้น
เหยาซีเชว่สร้างผนึกและสวดพึมพำ จากนั้นนางกัดลิ้นเล็กน้อยเพื่อพ่นโลหิตออกมาใช้มันวาดสัญลักษณ์กลางอากาศ นางใช้ฝ่ามือกระแทกสัญลักษณ์ทำให้มันขยายใหญ่ขึ้นทันทีและประทับลงบนพื้น
ในขณะเดียวกัน รูปปั้นก็ขยับเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง แต่ละตัววางลงบนจุดที่แตกต่างกันเจ็ดแปด จากนั้นเกิดแสงสีแดงโลหิตกระพริบวาบและพวกมันรวมเข้าไปในพื้นดิน
รูปปั้นที่รวมกับพื้นดินได้ล้อมรอบทั้งภูเขาโบราณด้วยพลังลึกลับ หวังหลินเห็นสัญลักษณ์นั้นเป็นเพียงตัวเร่งเท่านั้น ส่วนพลังที่แท้จริงมาจากรูปปั้นทั้งเจ็ดตัว
พลังสายนี้ล่องหนและหากหวังหลินไม่ได้อยู่ภายในระยะหนึ่งร้อยฟุตเขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้เลย
หวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและตกตะลึงทันทีเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถมองเห็นตัวเองด้วยสัมผัสวิญญาณได้
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินเผชิญบางสิ่งเช่นนี้ สัมผัสวิญญาณเป็นเสมือนสิ่งภายนอกที่เขาสามารถควบคุมมันได้ตามต้องการแต่ไม่ว่าเขาพยายามมากขนาดไหนก็ไม่สามารถค้นหาตัวเองบนภูเขาได้
เหมือนกับคนที่มองไปที่กระจกและเห็นทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นเงาสะท้อนของตัวเอง
เหยาซีเชว่เอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ ไม่มีทางตรวจพบได้เว้นแต่จะมีคนที่มีระดับบ่มเพาะเท่ากับแม่ทัพปิศาจ”
หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณออกมาและชื่นชมค่ายกลนี้อย่างมาก “ค่ายกลนี้พ่อของเจ้าสร้างขึ้นมาหรือ? บรรพชนโลหิต?”
“ใช่แล้ว!” นางตอบพลันสัมผัสกระเป๋าและปรากฎเข็มทิศสีแดงโลหิตในฝ่ามือ นางคำนวณตำแหน่งวางไว้บนพื้น หันกลับมาหาหวังหลินและเอ่ยออกมา “จดจำข้อตกลงของเรา! เมื่อแสงจันทราคืนปิศาจม่วงเพิ่มขึ้นจนถึงสุดสูงสุด ลำแสงสีแดงโลหิตจะออกมาจากเข็มทิศ มีเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น เจ้าต้องติดตามข้าอย่างใกล้ชิด!”
หวังหลินพยักหน้าเงียบๆ
เหยาซีเชว่ครุ่นคิดและพูดออกมา “เมื่อเรากลับมา ข้าจะให้หินหยกสวรรค์ที่เหลือและป้ายสิทธิ์โลหิต! รวมถึงข้าจะให้วิธีใช้เม็ดยาวิญญาณโลหิตที่ถูกต้องกับเจ้า!”
ขณะที่นางเอ่ย แสงสีม่วงจากดวงจันทร์ก็พุ่งขึ้นจุดสูงสุด เหมือนกับสวรรค์กำลังกลืนกินดวงจันทรา แสงสีม่วงกระจายออกทันทีและทั้งผืนปฐพีก็ปกคลุมด้วยแสงสีม่วง
ฟ้าดินเต็มไปด้วยสีม่วง!
ในเวลาเดียวกันเข็มทิศบนพื้นก็ปลดปล่อยแสงสีแดงโลหิตหนาแน่น เทียบกับแสงสีม่วงแล้ว แสงสีแดงโลหิตเหมือนกระบี่ที่ทะลวงผ่านสีม่วง แม้ว่าเมื่อเทียบกันแสงสีเขียวจะขนาดเล็กมากแต่มันเหนียวแน่นมากกว่า!
“กันไปเถอะ!” เหยาซีเชว่ตะโกนออกมาพลันก้าวเข้าไปในแสงสีแดงเลือดอย่างรวดเร็ว หวังหลินติดตามนางไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ทั้งสองเข้ามา แสงสีแดงโลหิตก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย หายไปพร้อมกับเข็มทิศ
แสงสีม่วงค่อยๆจางหายไปจนกระทั่งหายไปในที่สุด
ค่ำคืนปิศาจม่วงส่องสว่างขึ้นจนผ่านไป
หวังหลินผ่านประสบการณ์การเคลื่อนที่หลายครั้งและมีอาการต่อต้านรุนแรงต่อความไม่สะดวกสบายเช่นนี้ ตอนที่เขาเข้ามาในแสงสีแดงโลหิต หวังหลินจึงตระหนักได้ทันทีว่านี่เป็นการเคลื่อนย้ายแบบเจาะจง
นั่นหมายความว่ามีคนวางจุดเคลื่อนย้ายไว้ที่ตำแหน่งที่เหยาซีเชว่พูดถึง ตราบใดที่สามารถเข้าถึงจุดตำแหน่งเคลื่อนย้ายนี้ได้ พวกเขาก็สามารถเข้าสู่สถานที่แห่งนั้นจากที่ไหนก็ได้
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าจุดหมายปลายทางนั้นต้องอยู่ในดินแดนวิญญาณปิศาจเพื่อให้การเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์
หลังจากผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยเวลาอันสั้น หวังหลินก็เห็นโลหิตขยับเป็นสายอยู่ใต้ฝ่าเท้า สายโลหิตนี้เกิดจากค่ายกลโลหิต
เหยาซีเชว่คืนสติได้ช้ากว่าหวังหลินไปครึ่งลมหายใจ ตอนที่นางฟื้นตัวมา สายโลหิตใต้ฝ่าเท้าของนางก็หายไปเรียบร้อยแล้ว
“การเคลื่อนไหวของค่ายกลโลหิตนี้ค้ายคลึงกับค่ายกลที่สร้างจากรูปปั้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันสร้างมาจากคนเดียวกัน บรรพชนโลหิตไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆที่สามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ได้ ทว่าหากมีเวลาเียงพอ ข้าก็สามารถวางค่ายกลเคลื่อนย้ายที่นี่ได้เช่นกัน!” หวังหลินตรวจสอบรอบด้านอย่างเงียบๆ
สถานที่แห่งนี้เหมือนอวกาศ ท้องฟ้าและพื้นดินไม่แตกต่างกัน มีเศษแสงสว่างอยู่และภายใต้แสงนั้นทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัดสู่สายตา
มีเส้นทางคดเคี้ยวกว้างราวๆสิบฟุตซึ่งนำทางเข้าสู่ที่แห่งนั้น ที่นี่มีทางเดินเพียงเส้นเดียวและไม่คงที่แต่กลับขยับซ้ายขวาด้วยความสม่ำเสมอ
หวังหลินยืนอยู่บนแท่นกว้างราวพันฟุต ค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกสลักไว้บนแท่นแห่งนี้
หวังหลินมองออกว่าเหยาซีเชว่มาที่นี่หลายครั้ง นางนั่งสมาธิลงบนแท่นและกล่าวกับหวังหลิน “ทำสมาธิเพื่อรู้แจ้งเขตแดนของเจ้า มีเพียงการได้เครื่องหมายรับรองคุณสมบัติเท่านั้นจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางแห่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้!” นางไม่กล่าวต่ออีก พลันหลับตาและเริ่มบ่มเพาะ
หวังหลินมองรอบๆและเดินไปข้างหน้า เขาหยุดลงด้านหน้าสายลมและเส้นทางว่างเปล่าพร้อมกับมองมันด้วยท่าทีเคร่งขรึม
เพียงมองหนึ่งครั้ง รูม่านตาหวังหลินก็หดแคบ นี่มันไม่ใช่เส้นทางเล็กๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นร่างของอสูรคล้ายมังกรที่กว้างใหญ่เกินประมาณ เมื่อคิดถึงคำพูดของเหยาซีเชว่ นั่นก็แปลว่าอสูรตัวนี้คืออสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน!
“อสูรตัวนี้ไม่มีอยู่ในความทรงจำของเทพโบราณตู่ซือ มันปรากฎขึ้นหลังจากเขาไม่ก็ตู่ซือไม่รู้จักมัน สถานที่แบบไหนกันถึงมีอสูรใหญ่โตขนาดนี้…”
“เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่าและถูกสร้างโดยคนบางคน ใครกันแน่ที่มีพลังแข็งแกร่งจนสามารถใช้ร่างอสูรตัวนี้เป็นทางผ่านได้?!”
หวังหลินอ้าปากค้าง ดวงตาส่องสว่างขึ้นและเริ่มครุ่นคิดทันที เขามองไปที่เหยาซีเชว่และคิดกับตัวเอง ‘ข้าต้องคิดหาทางได้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับที่นี่มาจากนาง!’
เขาคิดอย่างเงียบๆไปสักพักก่อนจะนั่งทำสมาธิ หวังหลินสงบจิตใจตนเองและขณะที่กำลังจะจมลึกเข้าไปในเขตแดนของตน ความคิดหนึ่งพลันอุบัติขึ้นในใจ