592. ข้าต้องการขั้นเทวะ
ตอนนี้ผู้ชมทั้งหมดทั้งสามฝั่งสนามต่างเงียบกริบ เสียงกลองดังกึกก้องทั่วบริเวณแฝงความโศกเศร้า บาดหัวใจ เมื่อผู้คนได้ยินเสียงนี้จะนึกถึงอดีตที่ผ่านมา
ทุกคนภายในสนามประลองรวมไปถึงหัวหน้าผู้บัญชาการต่างก็เงียบ
สัมผัสอันประเสริฐของเขตแดนค่อยๆเกาะกุมเข้าไปในหัวใจผู้คนผ่านเสียงกลองและสัมผัสเข้ากับจิตวิญญาณ
มือหวังหลินยังอยู่บนกลองปิศาจ เสียงจากกลองได้กระจายเต๋าของเขาออกไปกว้างไกล
ฉากช่วงเวลาของเขากับลี่มู่หวาน…
การฝึกเซียนอันโดดเดี่ยวเจ็ดร้อยปี…
หนึ่งร้อยปีที่เขาใช้เวลากับการทดสอบที่สำนักชะตาสวรรค์…
เดินบนเส้นทางอันเปล่าเปลี่ยวในเมืองปิศาจฟ้า…
ทั้งหมดนี้พลันหยุดลงเมื่อเขาได้ยินเสียงพิณที่ออกมาจากเรือ!
เมื่อเสียงพิณเข้าสู่โสตประสาท มันชำระร่างกายเขา ชำระวิญญาณและหล่อหลอมเต๋า
เสียงพิณบรรเลงที่สตรีผู้นั้นเล่นออกมาและเสียงกลองได้รวมเข้าด้วยกันในตอนนี้ หัวใจของหวังหลินเป็นสะพานเชื่อมให้ทั้งสองเสียงรวมเข้าด้วยกัน หวังหลินใช้มือเพื่อลั่นเสียงกลองและส่งผ่านความเศร้าที่เขาซ่อนไว้ในใจตั้งแต่ที่ลี่มู่หวานจากไป
เสียงกลองสะท้อนไปทั่วสนามประลอง ผู้คนบางส่วนถึงกับเช็ดน้ำตาพร้อมกับครุ่นไปกับเสียงนี้ บางคนโอนเอนไปกับเสียงกลองและจมเข้าไปในโลกจิตใจตนเอง หลายสิ่งหลายอย่างในอดีตปรากฏออกมาในใจแต่ละคน
ทุกผู้คนต่างมีเรื่องราวและเรื่องราวเหล่านั้นฝังอยู่ในใจ ทว่ามีพลังหนึ่งที่สามารถดึงเรื่องราวนั้นขึ้นมา พลังของเสียงสะท้อน
ในชั่วจังหวะที่หวังหลินลั่นเสียงกลอง เขาส่งความรู้สึกตอนที่ได้รับฟังเสียงพิณออกไปด้วย
ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพปิศาจ โม่ลี่ไฮ่เผยใบหน้าหวนรำลึก ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้นแม้กระทั่งฉีเจี้ยนก็ยังเผยใบหน้าแฝงความเศร้าหมอง
มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น และนั่นคือโม่เฟย ขณะนี้เขาสงบนิ่งหรือไม่ก็เรียกได้ว่า ‘ไม่ต่างกัน’ ความเศร้าจากกลองดูไม่เหมือนจะดังก้องในใจเขาเลย
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่เสียงกลองจะหยุด แต่มันใช้เวลาไม่นานก็หายไป ผู้คนค่อยๆเริ่มมีสติขึ้น
ขณะที่พวกเขาเริ่มมีสติ นอกจากหัวหน้าผู้บัญชาการและคนอื่นๆเพียงไม่กี่คน ผู้คนส่วนใหญ่ต่างตกตะลึงเพื่อพบว่าตนเองกำลังร้องไห้
รองผู้บัญชาการซวนถอนหายใจพร้อมกับมองหวังหลินที่อยู่ถัดจากกลองปิศาจ สายตาซับซ้อนของเขาค่อยๆเลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความชื่นชม!
“กระจายเจตนาของตนเองด้วยเสียงกลอง…บางทีเขาคือคนที่ท่านจักรพรรดิปิศาจได้รอคอยมานานหลายปี…ด้วยระดับบ่มเพาะของข้าที่ติดอยู่มานานแสนนาน พึ่งจะแสดงอาการกำลังเพิ่มขึ้นหลังจากได้ยินเสียงนี้…”
นอกจากหัวหน้าผู้บัญชาการสวรรค์แล้ว หัวหน้าคนอื่นๆต่างมองหวังหลินด้วยใบหน้าที่แตกต่าง ทว่าสิ่งเดียวที่จะเห็นได้ทั่วไปคือใบหน้าตื่นตกใจ!
ไม่มีใครรู้ความหมายของเจตนาในเสียงกลองได้มากไปกว่าพวกเขา!
นี่คือหนึ่งขอบเขต!
ดวงตาหัวหน้าผู้บัญชาการสวรรค์ส่องประกายดุจสายฟ้า มองหวังหลินและความคิดเรื่อยเปื่อยในสายตาที่อยู่มานานก็จางหายไป
“ชื่อของเขาคือหวังหลิน…”
หวังหลินยกมือขวาขึ้นเบาๆก่อนจะหันกลับมามองรอบด้าน ตอนนี้ทุกคนกำลังจับจ้องมาที่เขา
แต่สายตาหวังหลินตกลงบนชายเกราะทอง
ใบหน้าชายเกราะทองไม่มืดมนอีกต่อไปแต่เป็นซีดขาวอย่างสมบูรณ์ เขาจ้องหวังหลินกลับและไม่อาจะเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้ วันนี้มีเซียนเบื้องหน้าเขาได้ทำให้ตกใจไปหลายครั้ง!
แรกเริ่มเดิมทีเขาลั่นเสียงกลองไปห้าครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปสักนิดและร่างกายไม่ขยับเขยื้อนดุจภูเขายักษ์ จากนั้นลั่นเสียงอีกสามครั้งเพื่อให้ทันโม่เฟย จากนั้นก็ครั้งที่เก้าและลั่นเสียงครั้งที่สิบ หวังหลินถูกผลักถอยไปในครั้งที่สิบ
ขณะที่เขาคิดว่ามันจบลงแล้วแต่ความจริงมันแค่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น!
เสียงครั้งที่สิบเอ็ดออกมาจากกลองขณะที่เขายังตกอยู่ในอาการตกตะลึง
หากเสียงจากกลองเป็นเหมือนกับก่อนหน้าเขาคงไม่ต้องตื่นตระหนกอันใด แต่เสียงกลองครั้งที่สิบเอ็ดกลับใส่เจตนาเข้าไปด้วย ชายเกราะทองถามกับตัวเองและรู้ว่ากระทั่งเขาก็ไม่สามารถบรรลุได้เช่นนี้!
มันไม่เกี่ยวกับระดับบ่มเพาะแต่เป็นขอบเขตความเข้าใจ! ระดับความแตกต่างของเขตแดนและความละเอียดทางวิญญาณ
ชายเกราะทองจะไม่มีวันลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ตลอดชีวิต ตอนนี้เขารู้สึกต่อต้านหวังหลินเข้าแล้วจริงๆและความรู้สึกนี้รุนแรงมาก
“สิบห้าครั้งและท่านจะตัดแขนหนึ่งข้างใช่ไหม?” น้ำเสียงหวังหลินสงบนิ่งแต่ในจังหวะนั้นทุกคนกลับได้ยินอย่างชัดเจน
ชายเกราะทองหนังศีรษะด้านชา เขาอยากจะเข้าไปสู้กับหวังหลินให้รู้แล้วรู้รอดมากกว่าจะมาตอบคำถามที่ออกมาหลังจากเสียงกลองหายไป
หวังหลินไม่ได้ให้ชายเกราะทองตอบสนองนานนัก เขาถอนสายตาและเป็นครั้งแรกที่กวาดสายตาไปที่คนดู ผู้ชมแต่ละคนปรากฏในสายตาเขาและทั้งหมดเลือกที่จะหลีกเลี่ยงหวังหลิน
ส่วนรองผู้บัญชาการหกคน เมื่อหวังหลินมองไปมีหนึ่งในนั้นหลบสายตาหวังหลิน ดวงตาเต็มไปด้วยความกระจ่างใสตอนที่สายตาหวังหลินจ้องมา
คนผู้นี้คือรองผู้บัญชาการสูงสุดแห่งเมืองซวน ดวงตากระจ่างใสและแฝงความเสียใจ จากนั้นคำนับมือให้กับหวังหลิน
หวังหลินพยักหน้าและเลื่อนสายตา คราวนี้สายตาจรกลงบนหัวหน้าผู้บัญชาการทั้งแปดคน แต่ละคนเมื่อเจอสายตาเขาจะดูเหมือนได้เรียนรู้เรื่องราวระหว่างกัน
หัวหน้าผู้บัญชาการสูงสุดแห่งเมืองสวรรค์อ้าปากขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อสายตาหวังหลินตกลงไปที่เขา
“หวังหลิน ข้าจะจดจำชื่อเจ้าไว้!”
ท่ามกลางเหล่าแม่ทัพปิศาจ ทุกคนหลีกเลี่ยงสายตาหวังหลิน ทว่าฉีเจี้ยนส่งเสียงคำรามและบังคับสายตาให้ปะทะกัน
เขาเผยเจตนาต่อสู้แต่กลับถูกหวังหลินเมินเฉยอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับเคลื่อนสายตาไปทางอื่น
ในที่สุดสายตาหวังหลินก็หยุดลงที่โม่เฟย!
ท่าทางของเขาที่มองหวังหลินยังคงแตกต่าง
หลังจากถอนสายตาออกมา หวังหลินหลับตาอย่างเชื่องช้าและวางฝ่ามือลงบนกลอง ตอนนี้เป้าหมายของเขาไม่ต้องลั่นเสียงกลองอีกต่อไป!
ขณะที่เสียงกลองดังขึ้นในครั้งแรก หวังหลินรู้สึกกำลังเรียกหาขั้นเทวะ! เขาได้สัมผัสชายขอบของขั้นเทวะเมื่อตอนนั้น!
“ข้าต้องการ…ขั้นเทวะ!” หวังหลินไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่ขณะนั้นทั้งร่างเติมเต็มด้วยสัมผัสแห่งความมุ่งมั่นรุนแรง!
หวังหลินวางมือขวาไว้บนกลองปิศาจ
ตึงงงง…..ตึงงงง….แม้ว่ามือเขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่เสียงกลองกลับดังขึ้น เสียงกลองเปลี่ยนเป็นฟ้าคะนองและตกลงสู่โลกใบนี้
ความโศกเศร้าจากเสียงที่สองรุนแรงกว่าครั้งแรก เมื่อรวมความเศร้าสองเสียงเข้าด้วยกันยิ่งทำให้เสียงกลองแฝงความเศร้าหมองไว้อย่างดี
หวังหลินเอ่ยบางเบา “ยังขาดอีกเล็กน้อย…” ขณะที่กล่าวเช่นนั้น อีกเสียงดังออกมาจากกลองปิศาจ!
เสียงที่สามดังขึ้น! กลายเป็นสิบสอง สิบสาม และเสียงที่สิบสี่ดังสะท้อนไปทั่วชั้นฟ้า!
เสียงกลองรวมเข้าด้วยกันบังเกิดพลังที่ทรงพลังมากกว่าก่อนหลายเท่า พลังที่ออกมาจากกลองปิศาจได้ตรงเข้าร่างหวังหลินผ่านฝ่ามือ
ขณะที่ทุกคนได้ยินเสียงนี้ มันเป็นเสียงจากสิ่งที่กำลังระเบิดออกมาจากข้างในร่างหวังหลิน เสียงนี้แจ่มใสมากและเทียบไม่ได้กับเสียงกลองที่กำลังดังออกมา ทว่าทุกคนที่ได้ยินมันต่างรู้สึกถึงความสะบายที่ออกมาจากไขกระดูกของตนเอง
หยดของเหลวสีดำออกมาจากรูขุมขนทั้งหมดบนร่างหวังหลิน
“ชำระไขกระดูก!” ดวงตาหัวหน้าผู้บัญชาการแห่งเมืองสวรรค์ส่องประกายเจิดจ้าและเผยใบหน้าชื่นชมที่ไม่เคยเผยที่ไหนมาก่อน
“นี่มันชำระไขกระดูกของจริง ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่ชำระผิวเผิน!”
หัวหน้าผู้บัญชาการคนอื่นๆทั้งหมดมองหวังหลินด้วยแววตาริษยารุนแรง ไม่มีรู้ดีไปกว่าพวกเขาว่าทำไมกลองปิศาจถึงเป็นสมบัติด้อยกว่าทะเลสาบมังกรนิดเดียวเท่านั้น!
ทะเลสาบมังกรมีวิญญาณของปิศาจโบราณและมันจะกลายเป็นอาจารย์สั่งสอนเต๋า
กลองปิศาจนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากหนังปิศาจโบราณและแฝงพลังอำนาจของปิศาจโบราณเอาไว้ เล่าลือกันว่าจักรพรรดิปิศาจทุกคนสืบทอดวิชาที่ลั่นเสียงกลองเพื่อปลดปล่อยพลังปิศาจโบราณออกมาช่วยปกป้องแคว้นปิศาจฟ้าได้!
การชำระไขกระดูกด้วยกลองปิศาจนั้นเดิมทีเอาไว้เพื่อให้ชนเผ่าของแคว้นปิศาจฟ้าผู้มีชื่อเสียงเท่านั้น คนต่างถิ่นที่ทำคุณประโยชน์ไว้อย่างมากถึงจะยอมให้มีการชำระไขกระดูก
หัวหน้าผู้บัญชาการทุกคนได้รับโอกาสลั่นกลองตอนที่ได้รับตำแหน่ง รางวัลของการลั่นกลองก็คือการชำระไขกระดูก
อย่างไรก็ตามพวกเขาจะสามารถประสบผลสำเร็จชำระไขกระดูกได้มากแค่ไหนขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะของแต่ละคน
สามเสียงกลองรวมเป็นหนึ่งได้กลายเป็นพลังรุนแรงพุ่งพล่านภายในร่างกายหวังหลิน ร่างหวังหลินไม่ได้มีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่มากนักและมันได้ถูกชำระอีกครั้ง
“สิบสี่ครั้ง…” ใบหน้าชายเกราะทองยิ่งซีดมากกว่าเดิม
นอกจากชายเกราะทองแล้ว คนอื่นๆดูเหมือนจะหลงลืมความสำคัญไป ทุกคนต่างจมลึกลงไปในเสียงกลองที่เข้าสู่โสตประสาทและเขย่าจิตใจ
นี่มันเป็นเสียงของการชำระไขกระดูก!
เมื่อคนกำลังผ่านการชำระไขกระดูก เสียงที่กำลังเข้ามาจึงเขย่าร่างกายของคนที่ได้ยิน การเกิดความผันผวนในร่างกายผู้ฟังนั้นอ่อนกว่าความผันผวนของคนที่กำลังชำระไขกระดูกอย่างมาก
เมื่อหวังหลินลืมตาขึ้น สิ่งสกปรกทั้งหมดในร่างกายได้ถูกบังคับออกไปแล้ว ตอนนี้เขารู้สึกราวกับร่างกายกำลังถูกดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นมองไปที่กลองปิศาจด้วยสายตากระจ่างสดใส
“ข้าหวังหลินได้ฝึกฝนเซียนมาเจ็ดร้อยปี ระดับบ่มเพาะของข้าบรรลุขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายสูงสุดและเต๋ารวมเข้ากับร่างกายไปแล้ว ในที่สุดข้าก็รู้ได้ว่าทำไมข้ายังไม่บรรลุขั้นเทวะ ขั้นเทวะนั้น….แม้เขตแดนของข้าจะหลอมรวมกับร่างกาย แต่เต๋าแห่งจิตใจไม่ได้สมบูรณ์ ท้ายที่สุด…ลึกลงในใจจ้ายังมีร่องรอยแห่งความเศร้า ความเจ็บปวด รอยแผลที่ปิดผนึก…”
“ตอนลี่มู่หวานตาย เขตแดนข้าได้บรรลุระดับใหม่และเข้าสู่ร่างกาย…แต่หวานเอ๋อกลายเป็นผนึกทางความคิดในใจข้า…”
“นี่คือเหตุผลที่ข้ารู้สึกเศร้าเมื่อฟังเสียงพิณของสตรีคนนั้น ข้ารู้สึกเห็นอกเห็นใจ…หากข้าฟังเสียงพิณอีกร้อยปีจนกระทั่งสตรีที่เล่นพิณตายไป ในตอนที่นางตายข้าจะได้รับความเข้าใจ ความเศร้าในใจข้าจะหายไปพร้อมกับเสียงพิณ…ทิ้งไว้แต่เพียงเครื่องหมายที่จะรวมเข้ากับวิญญาณของข้า…”
“แต่วันนี้ด้วยการหยิบยืมพลังของกลองปิศาจ ข้าสามารถรับรู้ประสบการณ์ผ่านเวลาหนึ่งร้อยปีด้วยช่วงเวลาอันสั้น ข้าได้รวมความเศร้าของข้าทั้งหมดไปกับกลองและปลดปล่อยมันผ่านเสียงกลอง เมื่อไม่มีความเศร้าหลงเหลือในใจข้าแล้ว เต๋าของข้าก็จะสมบูรณ์และข้าจะบรรลุขั้นเทวะ…”
หวังหลินยกมือขึ้นและปล่อยมันตกลงเบาๆ ในตอนนี้ ด้วยความคิดเขา ความโศกเศร้าและทุกอย่างเกี่ยวกับลี่มู่หวานกำลังออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ พุ่งเข้าหากลองปิศาจไปพร้อมกับมือ
“แต่การทำแบบนี้หมายความว่าข้าเลือกที่จะลืม…ข้าต้องการลืมจริงๆหรือ…” จังหวะนั้นมือหวังหลินก็สั่นเทา